rossoVINITALIA
for Italian wine lovers

| แนะนำตัว | เรื่องของไวน์ | ประเทศอิตาลี | เขตการผลิตไวน์ | พันธุ์องุ่น | ไวน์นานาชนิด | ไวน์ระดับสูง | เขต DOC และ DOCG | ผู้ผลิตไวน์ชั้นนำ| ไวน์ที่ได้รับรางวัล | ภาษาอิตาเลียน| กระดานข่าว | เรื่องน่ารู้ | คุยกับเรา |

 

 

ไวน์นานาชนิด

ไวน์อิตาเลียนมีมากมายกว่า 13,000 ชนิด การทำไวน์สามารถทำได้แทบทุกพื้นที่ของประเทศ ไวน์อิตาเลียนที่มีความโดดเด่นที่รู้จักกันทั่วโลกจะมาจากแคว้น Piemonte และแคว้น Toscana ดังจะเห็นได้จากการบันทึกลงใน Wine vintage chart ของ The International Wine & Food Society ร่วมกับไวน์จากทั่วโลกอีก 9 แห่ง

คงจะไม่สามารถนำเอาไวน์นานาชนิดมาลงได้หมดเนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่บน web master แต่จะขอนำเอาไวน์ที่น่าสนใจมานำเสนอให้มากที่สุด

 

 

แคว้น Piemonte

แคว้นนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เป็นแคว้นที่ยังคงมีศักยภาพอีกมากมายในเรื่องของการทำไวน์ มีไวน์ที่โดดเด่นที่อยู่ในระดับ Top class อยู่แทบทุกหมู่บ้าน

ไวน์แดงตัวเก่งคงเป็นไวน์ Barolo ซึ่งทำจากองุ่นพันธุ์ Nebbiolo แหล่งผลิตจะอยู่ที่หมู่บ้าน Barolo หมู่บ้าน La Morra หมู่บ้าน Monforte d'Alba เมือง Cuneo เป็นส่วนใหญ่ และกระจัดกระจายไปตามเมือง Asti เมือง Alessandria บ้างเป็นส่วนน้อย เป็นไวน์ที่มีการบ่ม[aging]ไม่ต่ำกว่า 2 ปีในถังไม้โอ๊ค มีระดับแอลกอฮอล์ ไม่ต่ำกว่า 13% vol ตามกฏหมาย มีผู้นำเข้ามาขายในเมืองไทยหลายหลากและราคาค่อนข้างสูง ที่อิตาลีจะมีราคาตั้งแต่ Euro 15-20 สำหรับไวน์ Barolo คุณภาพดีถึงดีมากใน vintage 1998 แต่ที่ระดับเยี่ยมยอดที่สุดก็ต้องแพงกว่านี้แน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ vintage ของการปลูกองุ่นด้วยอย่างเช่นไวน์ Barolo vintage 1996 จะมีราคาตั้งแต่ Euro 50 ขึ้นไป

ไวน์ Barbaresco แทบจะเป็นคู่แฝดของไวน์ Barolo ก็ว่าได้ ทำจากองุ่นพันธุ์ Nebbiolo เช่นกัน ต่างกันตรงที่ถูกกำหนดให้มีระดับแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 12.5% vol และการบ่มในถังไม้โอ๊คจะใช้เวลาสั้นกว่า แหล่งผลิตจะอยู่ที่หมู่บ้าน Barbaresco หมู่บ้าน Neive เมือง Cuneo ในเรื่องของราคาควรจะต่ำกว่าไวน์ Barolo เล็กน้อย ดูเหมือนว่าบริษัท Angelo Gaja จะเป็นผู้ผลิตไวน์ Barbaresco ได้ดีที่สุด

ปี 1997 และ 1998 เป็น vintage ที่ดีที่สุดของไวน์ทั้งสอง แต่หากย้อนกลับไปอีก 20 ปี ขอให้เลือกหา vintage 1982 1985 1988 1989 1990 และ 1996

ไวน์ Gattinara จากหมู่บ้าน Gattinara ในเขตเมือง Vercelli ที่อยู่ทางตอนบนของแคว้น ทำจากองุ่นพันธุ์ Nebbiolo อย่างน้อย 90% ผสมกับพันธุ์ Bonarda di Gattinara และพันธุ์ Vespolina รวมกันอีกไม่เกิน 10% กำหนดระดับแอลกอฮอล์เท่ากับไวน์ Barbaresco แต่ถ้าเป็นไวน์ Gattinara riserva จะมีระดับแอลกอฮอล์เท่ากันกับไวน์ Barolo

ไวน์ Barbera เป็นไวน์ที่ทำจากองุ่นพันธุ์ Barbera ล้วนๆมีระดับแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 12% vol คุณภาพใช้ได้ แต่อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับไวน์ที่กล่าวถึงข้างต้น ในเมืองไทยมีขายมากมาย ราคาก็พอที่จะยอมรับได้ แต่ถ้าจะดูความแตกต่างก็ลองหาไวน์ Barbera del Monferrato ที่ใช้องุ่นพันธุ์ Barbera 85% ที่เหลือเป็นพันธุ์ Grignolino พันธุ์ Dolcetto และพันธุ์ Freisa รวมกัน 15%

 

 

ไวน์ขาวของแคว้นนี้ก็มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ ไวน์ Gavi ทำจากองุ่นพันธุ์ Cortese 100% มีระดับแอลกอฮอล์ ไม่ต่ำกว่า 10.5% vol เป็น dry wine ที่เยี่ยมยอดมาก ในเมืองไทยมีขายมากเช่นกันราคาไม่แพงนัก แต่หากชอบไวน์มีฟองก็จะมีไวน์ Gavi Frizzante ที่มีฟองเล็กน้อยและไวน์ Gavi Spumante ที่เป็น Sparkling wine

ไวน์ Langhe Arneis ที่ทำจากองุ่นพันธุ์ Arneis 100% ก็เชื่อว่าชาวไทยต้องรู้จัก

ไวน์ Langhe Favorita ที่ทำจากองุ่นพันธุ์ Gavorita อาจจะไม่คุ้นเคยสำหรับในบ้านเรานัก

ไวน์ Piemonte Moscato ที่ใช้องุ่นพันธุ์ Moscato bianco ทั้งหมด เป็น sweet wine ที่น่าแสวงหาเช่นกัน

แต่ที่ยอมรับกันว่าสุดยอดในบรรดา Sparling Wine ของแคว้น คือไวน์ Asti Spumante ที่ใช้องุ่นพันธุ์ Moscato bianco ล้วนๆ

 

 

แคว้น Valle d'Aosta

แคว้นเล็กๆที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศที่มีเขตแดนติดกับฝรั่งเศสและสวิสเซอร์แลนด์ เป็นแคว้นที่เคยรวมอยู่กับแคว้น Piemonte มาก่อน เพิ่งแยกตัวออกไปเมื่อปีค.ศ.1947 นี่เอง

ไวน์ที่พอจะมีชื่ออยู่บ้างก็จะเป็นไวน์ขาว ไวน์ Valle d'Aosta Chardonnay ที่ใช้องุ่นพันธุ์ Chardonnay 90% ผสมกับพันธุ์อื่นๆที่ผู้ผลิตกำหนดเองอีก 10%

ไวน์ Valle d'Aosta Chambave Moscato ที่ทำจากองุ่นพันธุ์ Moscato bianco ล้วนๆก็เป็นไวน์ขาวชั้นดี

สำหรับไวน์แดงยังไม่มีที่โดดเด่นเท่าใดนัก

 

 

แคว้น Lombadia

เป็นแคว้นที่อยู่ติดกับแคว้น Piemonte มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมากมาย ทะเลสาบ Como ทะเสาบ Garda ทะเลสาบ Maggiore มีชาวอิตาเลียนและชาวต่างชาติไปชมกันตลอดทั้งปี มีเมือง Milan หรือเมือง Milano ในภาษาอิตาเลียน เป็นเมืองหลวงของแคว้น

มีไวน์แดงที่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างเหมือนกันเช่น ไวน์ Franciacorta ไวน์ Traccia Rossa และไวน์ Oltrepo Pavese

 

 

ส่วนไวน์ขาวก็มีไวน์ Ca' del Bosco เป็น sweet wine ที่เป็นหน้าเป็นตาของแคว้น และในค.ศ.2003 บริษัท Ca' del Bosco S.p.A แห่งเมือง Brescia ซึ่งเป็นผู้ผลิตไวน์นี้ ได้รับรางวัล winery of the year ของอิตาลีจากสำนักพิมพ์ Gambero Rosso

 

 

แคว้น Liguria

เป็นแคว้นที่อยู่ติดกับทะเล Ligurian มีแนวชายฝั่งทะเลที่ยาวและสวยงามมาก บางคนถึงกับยกให้เทียบเท่าชายหาด Riviera ของฝรั่งเศสเลยทีเดียว จากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบทำให้ท่าเรือที่เมือง La Spezia มีความสำคัญในการขนส่งทางทะเล

แคว้นนี้จะทำไวน์ขาวเป็นส่วนใหญ่ ไวน์ Cinque Terre ใช้องุ่นพันธุ์ Bosco ไม่น้อยกว่า 60% ผสมกับพันธุ์ Albarola และพันธุ์ Vermentino ไม่เกินกว่า 40% เป็นไวน์ที่ไม่ค่อยคุ้นหูในเมืองไทยนัก

 

 

แคว้น Trentino-Alto Adige

เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ตอนบนสุดของประเทศเขตแดนติดต่อกับสวิสเซอร์แลนด์และออสเตรีย เป็นแคว้นที่มี 2 วัฒนธรรมผสมผสานกัน แคว้นนี้มีเมือง Bolzano อยู่ทางตอนบนและเมือง Trento อยู่ทางตอนล่าง ทำให้ชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวเมือง Alto Adige เป็นแบบคนเยอรมันและคนส่วนใหญ่ใช้ภาษาเยอรมันในการสื่อสาร

แคว้นนี้ทำไวน์แดงได้มากพอสมควรแต่สวนใหญ่จะมีชื่อเป็นภาษาเยอรมัน

 

 

แคว้น Friui-Venezia Giulia

ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเขตแดนติดต่อกับออสเตรียและยูโกสลาเวีย ความเป็นอยู่ของคนที่นี่จะมีความเป็นเยอรมันอยู่บ้างคล้ายกับคนในแคว้น Trentino-Alto Adige เป็นแคว้นที่แทบจะไม่ปลูกองุ่นพันธุ์พื้นเมืองเลย

ไวน์จากแคว้นนี้มีเพียงไวน์ขาวเท่านั้นที่มีชื่อ ไวน์ Colli Chardonnay และไวน์ Colli Tocai เป็น 2 ไวน์ขาว ที่น่าสนใจ ใช้องุ่นพันธุ์ Chardonnay และพันธุ์ Tocai ตามชื่อไวน์

แต่สำหรับไวน์แดง ลองเลือกไวน์ COF Merlot ที่ใช้องุ่นพันธุ์ Merlot ดูก็ได้ ไวน์ COF Merlot '99 เป็นไวน์ที่ได้รับรางวัล Three Glasses Awards จาก Gambero Rosso เหมือนกัน [COF ย่อมาจาก Colli Orietale del Friuli]

 

 

แคว้น Veneto

อยู่บริเวณภาคเหนือตอนล่าง เขตแดนส่วนหนึ่งติดกับออสเตรีย เป็นแคว้นที่มีศักยภาพในการทำไวน์ได้ดีและมีปริมาณสูงเนื่องจากมีที่ราบลุ่มแม่น้ำ Po ที่มีความอุดมสมบูรณ์ ปัจจัยทางเศรษฐกิจอยู่ที่ภาคการเกษตรเป็นหลัก

มีไวน์แดงที่มีชื่อเสียงมากมาย ไวน์ Valpolicella เป็นไวน์ที่ได้รับการตอบรับจากนักดื่มเป็นอย่างดี ใช้องุ่นพันธุ์ Corvina Veronese 40-70% พันธุ์ Rondinella 20-40% และพันธุ์ Molinara 5-25% เป็นหลัก ตามสัดส่วนที่แตกต่างกันบ้างเล็กน้อยของผู้ผลิตแต่ละราย และมีหลายบริษัทที่นำเอาองุ่นพันธุ์อื่นมาผสมบ้าง ใช้เวลาบ่มในถังไม้โอ๊คประมาณ 6 เดือนและในขวดอีกระยะสั้นๆ ในเมืองไทยมีผู้นำไวน์ Valpolicella vintage 2001 เข้ามาขายมากมายราคาไม่แพง แต่คุณภาพก็เดินตามราคาเช่นกัน

อีกทางเลือกหนึ่งที่ต้องการไวน์ที่ดีขึ้นอีกระดับหนึ่งก็อาจจะเลือก ไวน์ Valpolicella " Ripasso " เป็นไวน์ที่มีการ referment ตามแบบอย่างของชาว Venetian ชาวอิตาเลียนบางคนไม่เคยเห็นคำว่า Ripasso มาก่อน แต่ในเมืองไทยมีขาย ใช้องุ่นพันธุ์ Corvina Veronese 70% พันธุ์ Rondinella 20% และพันธุ์ Molinara 10% มีระดับแอลกอฮอล์ 13% vol บ่มในถังไม้โอ๊ค 2 ปี และบ่มในขวดไม่ต่ำกว่า 1 ปี เป็นไวน์ที่ขอบอกว่าน่าสนใจมากๆทีเดียว ทั้งนี้เพราะคุณภาพกับราคาไปกันได้เลย

ไวน์ Amarone della Valpolicella เป็นไวน์ Valpolicella ที่มีกรรมวิธีการผลิตที่สลับซับซ้อนกว่าปกติ โดยองุ่นสดจะถูกนำไปเก็บในโรงเรือนที่มีอากาศ ถ่ายเทได้เพื่อให้องุ่นแห้งลงและเกิดความเปลี่ยนแปลง ทางชีวภาพ โดยปกติแล้วจะมีระดับแอลกอฮอล์สูงกว่าไวน์ Valpolicella และมีการบ่มในถังไม้โอ๊คยาวนานกว่า ใช้องุ่น 3 พันธุ์หลัก แต่ผู้ผลิตบางรายใช้องุ่นพันธุ์อื่นผสมด้วย เป็นไวน์ที่ชาวไทยรู้จักกันดี ราคาไม่สูงนัก พอซื้อมาดื่มบ่อยๆได้

ไวน์ Bardolino ใช้องุ่นพันธุ์ Corvina Veronese พันธุ์ Rondinella และพันธุ์ Molinara เช่นเดียวกันกับไวน์ Valpolicella แต่เพิ่มพันธุ์ Negrara เข้ามาอีกพันธุ์หนึ่ง มีระดับแอลกอฮอล์ต่ำกว่าไวน์ Valpolicella เล็กน้อย เป็นไวน์ที่น่าดื่ม ราคาไม่แพง ในเมืองไทยมีผู้นำเข้ามาขายกันมากมาย

 

 

ไวน์ขาวของแคว้นนี้มีอยู่มากไวน์ Soave เป็น dry wine ที่มีรสชาตินุ่มนวล ใช้องุ่นพันธุ์ Garganega เป็นหลัก ผสมกับพันธุ์ Trebbiano di Soave พันธุ์ Chardonnay และพันธุ์ Pinot bianco เป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ชื่นชอบไวน์ขาว

ไวน์ Bianco di Custoza เป็น dry wine ที่ใช้องุ่นพันธุ์ Trebbiano toscano ผสมกับพันธุ์ Garganega และพันธุ์ Tocai friulano ในสัดส่วนที่ลงตัว เป็นไวน์ที่ท่านผู้รู้บอกว่าเยี่ยมยอดทีเดียว

ไวน์ Gambellara ที่ทำจากองุ่นพันธุ์ Garganega ไม่น้อยกว่า 80% ที่เหลือเป็นพันธุ์อื่นๆที่ผู้ผลิตเลือกสรรเอง

หากชอบไวน์ขาวชนิดหวาน คงจะต้องเลือกไวน์ Recioto di Soave ที่มีทั้ง sweet wine และ spumante-dolce

 

 

แคว้น Emilia-Romagna

เมือง Bologna เป็นเมืองหลวงของแคว้นนี้ที่มีความเจริญมาตั้งแต่ยุคจักรวรรดิ์โรมันเรืองอำนาจ เป็นเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญของแคว้น ชื่อแคว้นมาจากชื่อของถนน Via Emilia ถนนสายแรกที่โรมันสร้าง เริ่มต้นจากเมือง Rimini ที่อยู่ริมฝั่งทะเลอาเดรียติค ผ่านเมือง Forli เมือง Modena เมือง Parma สิ้นสุดที่เมือง Piacenza

ไวน์ Lambrusco เป็นไวน์แดงรสหวานมีฟองที่เรียกว่า Vino Frizzante Amabile มีระดับแอลกอฮอล์ต่ำเพียงแค่ 8.5% vol ไวน์ Lambrusco Grasparossa di Castelvetro ที่ใช้องุ่นพันธุ์ Lambrusco Grasparossa ไม่น้อยกว่า 85% ที่เหลือเป็นพันธุ์ Fortuna เป็นไวน์ที่ดื่มง่ายเหมาะสำหรับท่านสุภาพสตรี ในเมืองไทยมีผู้นำเข้ามาขายแล้ว ราคาไม่แพง

ทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับไวน์ Lambrusco คือไวน์ Lambrusco di Sorbara ที่ทำจากองุ่นพันธุ์ Sorbara ก็มีรสชาติเช่นไวน์ Lambrusco Grasparossa di Castelvetro

 

แคว้น Toscana

ชาวอิตาเลียนกล่าวกันว่าแคว้น Toscana เป็น The most beautiful region in Italy เลยทีเดียว ไวน์จากแคว้นนี้เป็นที่รู้จักของนักดื่มไวน์ทั่วโลกควบคู่ไปกับไวน์จากแคว้น Piemonte

ไวน์ Bolgheri Sassicaia ทำจากองุ่นพันธุ์ Cabernet sauvignon ไม่น้อยกว่า 80% ที่เหลือเป็นพันธุ์อื่นๆที่ผู้ผลิตเลือกสรรมา บ่มในถังไม้โอ๊ค 2 ปี และบ่มในขวดอีกไม่ต่ำกว่า 1 ปี ราคาที่อิตาลีน่ากลัวมาก ในเมืองไทยมีผู้นำเข้ามาขายขณะนี้เช่นกัน เป็น vintage 1999 น่าสนใจที่สุด

ไวน์ Brunello di Montalcino เป็นไวน์ที่ชาว Toscana ภูมิใจมาก ใช้องุ่นพันธุ์ Sangiovese 100% บ่มในถังไม้โอ๊คหรือไม้เชสนัท 3 ปี และในขวดอีก 1 ปี แต่สำหรับชนิด riserva จะบ่มในขวด 2 ปีตามกฏหมาย มีระดับแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 12.5% vol ทำจากตำบล Montalcino ที่อยู่บนยอดเขา ราคาค่อนข้างสูงหากเทียบกับไวน์ Barolo ของแคว้น Piemonte ราคาที่อิตาลีจะเริ่มที่ขวดละ Euro 33 ขึ้นไป

ไวน์ Nobile di Montepuciano จากตำบล Montepulciano ใช้องุ่นพันธุ์ Sangiovese ไม่น้อยกว่า 60% พันธุ์ Canaiolo nero ระหว่าง 10-20% ส่วนที่เหลือเป็นพันธุ์อื่นๆที่ผู้ผลิตเลือกสรร บ่มในถังไม้โอ๊คไม่ต่ำกว่า 1 ปี และบ่มในขวดอีก 1 ปี เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของไวน์จากแคว้นนี้ ราคาน่าจะย่อมเยากว่าไวน์จากแคว้นเดียวกัน แต่หากมีโอกาสไปเยือนอิตาลีก็ลองไปดูทิวทัศน์ของตำบล Montepulciano บ้างก็ได้ อยู่บนเขาที่สวยงามเช่นเดียวกับตำบล Montalcino

ไวน์ Carmignano จากตำบล Carmignano เมือง Prato ใช้องุ่นพันธุ์ Sangiovese เป็นหลัก ส่วนที่เหลือใช้พันธุ์ Canaiolo nero พันธุ์ Cabernet franc พันธุ์ Trebbiano toscano และพันธุ์อื่นๆอีก

ไวน์ Chianti Classico (ขอให้ออกเสียงว่า เคียน-ติ) มีขายในเมืองไทยมากมายหลายหลาก ทั้งระดับราคาและคุณภาพ ใช้องุ่นพันธุ์ Sangiovese เป็นหลัก ผสมด้วยพันธุ์ Canaiolo nero พันธุ์ Malvasia bianca พันธุ์ Trebbiano toscana และองุ่นแห้งตามที่ทางการกำหนดไม่เกิน 15% สังเกตให้ดีว่านี่คือสูตรดั้งเดิมของท่านบารอน Bettino Ricasole ที่มีการผสมทั้งองุ่นแดง องุ่นขาว และองุ่นแห้ง

ไวน์ขาวก็มีให้เลือกมากมายเช่นกัน ไวน์ Vin Santo เป็น sweet wine ที่ใช้น้ำองุ่นแดงพันธุ์ Sangiovese(ขอให้ออกเสียงว่า ซาน-โจ-เว-เซ่)ไม่น้อยกว่า 50% ผสมกับองุ่นแห้งตามที่ทางการกำหนดไม่เกิน 50% ในบ้านเราก็เห็นมีขายมาก แต่ให้สังเกตที่ฉลากด้วยเพราะอาจเจอระดับแอลกอฮอล์ถึง 18% vol

ไวน์ Colli dell'Etruria Centrale ไวน์ขาวที่เป็น sweet wine เช่นกัน แต่ใช้องุ่นพันธุ์ Trebbiano toscano และพันธุ์ Malvasia dell Chianti รวมกันไม่น้อยกว่า 50% ผสมกับพันธุ์อื่นที่ทางการกำหนดไม่เกิน 50% ระดับแอลกอฮอล์สูงเช่นกัน

ส่วน dry wine ก็มีไวน์ Vernaccia จากตำบล San Gimignano ที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง Siena ใช้องุ่นพันธุ์ Vernaccia di San Gimignano ไม่น้อยกว่า 90% ที่เหลือเป็นองุ่นที่ผู้ผลิตเลือกสรรเอง ระดับแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 11.5% vol เป็นไวน์ที่น่าสนใจทีเดียว ไม่แน่ใจว่าในเมืองไทยพอหาได้หรือไม่

 

 

แคว้น Umbria

แคว้น Umbria เป็แคว้นหนึ่งที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ มีที่ราบกว้างใหญ่เหมาะแก่การเกษตรกรรม

ไวน์แดงก็พอมีชื่ออยู่บ้างเช่นกัน ไวน์ Torgiano ใช้องุ่นพันธุ์ Sangiovese เป็นหลัก ผสมกับพันธุ์ Canaiolo nero และพันธุ์ Trebbiano toscano เป็นไวน์ประเภท medium-bodied ที่มีระดับแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 12% vol

ไวน์ Montefalco Sagrantino เป็นไวน์ที่ทำจากองุ่นพันธุ์ Sagrantino 100% ระดับแอลกอออล์ไม่ต่ำกว่า 13% vol เป็นไวน์ที่เริ่มโด่งดัง แต่หากเป็นชนิด riserva จะใช้องุ่นพันธุ์ Sangiovese มาผสมด้วย เป็นไวน์ที่น่าสนใจและน่าติดตาม

ในแคว้นนี้มีไวน์ขาวที่เลื่องชื่อด้วยเหมือนกัน ไวน์ Orvieto d'Umbria ทำจากองุ่นหลายๆพันธุ์ผสมกันโดยมีพันธุ์ Trebbiano toscano เป็นหลัก นอกนั้นก็มีพันธุ์ Verdello พันธุ์ Canaiolo bianco พันธุ์ Grechetto พันธุ์ Malvasia toscana ในเมืองไทยมีขายมากมาย

 

 

แคว้น Marches

เป็นแคว้นที่มีชายฝั่งที่ยาวประมาณ 160 กิโลเมตรอยุ่ทางด้านทะเลอาเดรียติค มีเทือกเขา Apennines ทอดยาวตามแนวด้านทิศตะวันตก มีไวน์แดงที่เชิดหน้าชูตาได้เหมือนกัน

ไวน์ Rosso Conero ใช้องุ่นพันธุ์ Montepulciano ไม่น้อยกว่า 85% ที่เหลือเป็นพันธุ์ Sangiovese ระดับแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 11.5% vol โครงสร้างบึกบึน full-bodied ผู้ผลิตทั้งหลายพยายามที่จะทำให้เป็นไวน์ระดับหัวแถว ส่วนไวน์ Rosso Conero Riserva ก็ใช้องุ่นอย่างเดียวกัน เป็นไวน์ที่ชาวไทยรู้จัก

ไวน์ Lacrima di Morro เป็นไวน์น้องใหม่ที่มีโครงสร้าง medium-bodied ระดับแอลกอฮอล์ไม่สูงมากนัก ใช้องุ่น 3 พันธุ์ ผสมกันอย่างลงตัว มีพันธุ์ Lacrima ไม่น้อยกว่า 85% ที่เหลือเป็นพันธุ์ Montepulciano และพันธุ์ Verdicchio รวมกันไม่เกินกว่า 15%

สำหรับไวน์ขาวแล้ว นักดื่มไวน์อิตาเลียนต้องรู้จักไวน์ Verdicchio dei Castelli di Jesi ที่มาจากองุ่นพันธุ์ Verdicchio ไม่น้อยกว่า 85% และพันธุ์ Malvasia toscana รวมกับพันธุ์ Trebbiano toscano ไม่เกิน 15%

 

 

แคว้น Lazio

สภาพภูมิประเทศของแคว้น Lazio หรือเรียกแบบเก่าว่า Latium ค่อนข้างหลากหลาย มีเทือกเขา Apennines ทางทิศตะวันตก ตอนกลางของแคว้นมีเนินเขาและทะเลสาบที่เกิดจากปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้วมากมาย บางท้องถิ่นยังคงมีดินที่เกิดจากเถ้าถ่านของ lava

ไวน์แดงของแคว้นนี้จะยึดเอาองุ่นพันธุ์ยอดนิยม Sangiovese เป็นหลัก บางชนิดใช้องุ่นแห้งเป็นส่วนผสมด้วย ไวน์ Montiano เป็นไวน์ที่ยังไม่คุ้นหูนัก แต่มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง คาดว่าอีกไม่นานผู้รักไวน์อิตาเลียน คงจะมีทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง

ไวน์ขาวของแคว้น Lazio มีให้เลือกมากมาย ไวน์ Frascati Superiore ที่ใช้องุ่นพันธุ์ Trebbiano toscano รวมกับพันธุ์ Malvasia bianca di Candia ไม่น้อยกว่า 70% ส่วนที่เหลือเอาพันธุ์ Greco และพันธุ์ Malvasia del Lazio เป็นตัวประกอบ

ไวน์ Ovieto ของแคว้นนี้เป็นทางเลือกของผู้ชื่นชอบ dry wine เพราะใช้ส่วนผสมเดียวกันกับไวน์ Ovieto d'Umbria จากแคว้น Umbria คือมีทั้งพันธุ์ Trebbiano toscano พันธุ์ Verdello พันธุ์ Canaiolo bianco พันธุ์ Grechetto พันธุ์ Malvasia toscana

หากไม่กล่าวถึงไวน์ Est! Est!! Est!!! di Montefiascone ก็คงจะเหมือนกับไปทะเลแล้วไม่ยอมลงทะเล ไวน์ชื่อแปลกๆนี้มีความหมายในตัวเอง คำว่า est มาจากประโยคในภาษาละติน vinum est bonum ที่แปลว่าไวน์ดี เป็นไวน์เก่าแก่ของชาว Lazio ก็ว่าได้ เป็น dry wine ที่ใช้องุ่นพันธุ์ Trebbiano toscano เป็นหลัก ผสมกับพันธุ์ Malvasia bianca Toscana และพันธุ์ Rossetto เป็นไวน์มีกลิ่นหอมอ่อนๆของผลไม้ ระดับแอลกอฮอล์ไม่สูงเกินไป ผู้ที่ชื่นชอบไวน์ขาวบอกว่าไวน์ Est ของแท้ต้องมีเครื่องหมายตกใจเรียงลำดับ 1-2-3 Est! Est!! Est!!!

 

 

แคว้น Abruzzo

เป็นแคว้นที่นักเดินป่าและนักปีนเขาชื่นชอบกันมาก สภาพทางภูมิศาสตร์เป็นภูเขาสูงสลับกับป่าไม้ มีฝนตกชุกโดยเฉลี่ย 40 นิ้วต่อปี อุณหภูมิโดยเฉลี่ย 13 องศาเซลเซียส มีหมี Apennines สีน้ำตาลชุกชุม มีเลียงผา Abruzzo ที่มีแผงคอสีขาวสลับดำ มีแมวป่าและสุนัขจิ้งจอกโดยทั่วไป

ไวน์แดงที่มีชื่อของแคว้นนี้คงไม่หนีไปจากไวน์ Montepulciano d'Abruzzo ที่ใช้องุ่นพันธุ์ Montepulciano เป็นหลัก ส่วนไวน์ขาวก็มีไวน์ Trebbiano d'Abruzzo เป็นพระเอกที่ใช้องุ่นพันธุ์ Trebbiano toscano รวมกันกับพันธุ์ Trebbiano d'Abruzzo ไม่น้อยกว่า 85% เป็น dry wine ที่ดื่มง่าย รสชาติกลมกล่อม ในเมืองไทยมีให้เลือกมากเหมือนกัน

 

 

แคว้น Molise

ในอดีตเคยรวมอยู่กับแคว้น Abruzzo เพิ่งแยกออกมาเมื่อปีค.ศ.1965 นี่เอง มีสภาพภูมิประเทศคล้ายคลึงกับแคว้น Abruzzo ไม่ค่อยจะมีไวน์ดีมาให้เราได้ชื่นชมกันมากนัก ไวน์ของแคว้นนี้จะใช้องุ่นพันธุ์ Sangiovese เป็นหลัก

 

 

แคว้น Campania

เป็นแคว้นที่อยู่ติดกับทะเล Tyrrhenian มีเมืองชายฝั่งทะเลที่สวยงามหลายเมือง ไม่ว่าจะเป็นเมือง Napoli ที่เป็นเมืองหลวงของแคว้น หรือเมือง Salerno หรือแม้แต่เมืองเล็กๆอย่างเมือง Sorrento เมืองเหล่านี้ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีผู้มาเยือนมากมายเกือบตลอดทั้งปี รวมไปถึงเกาะ Capri ในทะเล Tyrrhenian ด้วย

จะว่าไปแล้วไวน์แดงของแคว้นนี้เป็นไวน์ที่มีคุณภาพไม่ด้อยกว่าที่ใดๆเลย ไวน์ Taurasi เป็นไวน์ในเขต DOCG ที่ถูกยกระดับตั้งแต่เมื่อปีค.ศ.1993 ใช้องุ่นพันธุ์ Aglianico ไม่น้อย กว่า 85% ที่เหลือเป็นพันธุ์ Barbera พันธุ์ Piedirosso และพันธุ์ Sangiovese เป็นไวน์ที่มีโครงสร้างแน่น full-bodied มีความสมดุลดีมาก มี aftertaste ที่ยาวนาน บาง vintage สามารถเก็บไว้ได้นานถึง 20 ปี ในปีนี้ไวน์ Taurasi Vigna Macchia del Goti '99 เป็นไวน์ที่ได้รับรางวัล Three Glasses Awards จากสำนักพิมพ์ Gambero Rosso ด้วย ในเมืองไทยน่าจะมีขาย

ในค.ศ.2003 ไวน์ Patrimo '00 ของบริษัท Feudi di San Gregorio ตำบล Sorbo Serpico แห่งเมือง Avelino ที่ใช้องุ่นพันธุ์ Merlot เป็นหลักผสมกับองุ่นพันธุ์ดีของแคว้นที่เลือกสรรอย่างดีเยี่ยม ได้รับการยกย่องให้เป็น The best red wine of the year จากสำนักพิมพ์ Gambero Rosso ไวน์ตัวนี้ยังไม่เห็นมีขายในเมืองไทย

ไวน์ Serpico '00 เป็นไวน์คู่แฝดที่ทำจากบริษัทเดียวกัน ทำจากองุ่นพันธุ์ Aglianico ล้วนๆ จากไร่ปลูกเฉพาะสำหรับพันธุ์นี้

สำหรับไวน์ขาว ไวน์ Ischia Biancolella เป็น dry wine ที่พอจะมีชื่อของแคว้น

 

 

แคว้น Puglia

มองในแผนที่ของคาบสมุทรอิตาลีแคว้นนี้จะอยู่บริเวณส่วนที่เป็นส้นของรองเท้าบูททอดไปตามแนวยาวของชายฝั่งทะเลอาเดรียติค พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบเหมาะแก่การเกษตรกรรม เป็นดินแดนที่ชาว Phoenician อพยพมาตั้งถิ่นฐานเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล และนำเอาความรู้เรื่องการทำไวน์มาเผยแพร่ ในปัจจุบันนี้มีนักลงทุนจากต่างประเทศรวมทั้งจากในอิตาลีเองเข้ามาดำเนินกิจการไวน์ในแคว้น Puglia กันมาก

องุ่นที่ใช้ทำไวน์จะเป็นองุ่นพันธุ์พื้นเมืองเกือบทั้งหมด เช่น พันธุ์ Primitivo พันธุ์ Malvasia nera พันธุ์ Uva di Troia พันธุ์ Negroamaro เป็นต้น ไวน์นับร้อยชนิดออกสู่ตลาดโดยใช้องุ่นเหล่านี้ ถึงกับมีการพูดกันเล่นๆว่าไวน์จากแคว้นนี้พูดภาษาอิตาเลียนได้เลย หรือในประโยคที่ว่า " speak their own language "

ไวน์แดงที่มีชื่อเสียงก็มีมากพอสมควร ไวน์ Salento ที่ทำจากองุ่นพันธุ์ Primitivo 100% เก็บบ่มในถังไม้ 6-8 เดือน เป็นไวน์ที่มีโครงสร้าง full-bodied เป็นไวน์ที่น่าสนใจ

ไวน์ขาวของที่นี่ก็เห็นจะมีเพียงไวน์ Salento Bianco เท่านั้นที่พอจะเป็นที่รู้จัก

 

 

แคว้น Basilicata

ตั้งอยู่บริเวณอุ้งเท้าของรองเท้าบูทบริเวณอ่าว Tarantino ที่สวยงามเหมาะแก่การพักผ่อน การทำไวน์จะใช้องุ่นพันธุ์ Agianico เป็นหลัก พื้นที่ปลูกองุ่นจะอยู่ตามเชิงเขา Monte Vulture ซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่ปลูกองุ่น ที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป

ไวน์ Aglianico del Vulture เป็นไวน์แดงที่ทำจากองุ่นพันธุ์ Aglianico ล้วนๆ มีรสหวานเล็กน้อยเนื่องจากมี ปริมาณน้ำตาลในน้ำองุ่นถึง 10 กรัมต่อลิตร เป็นไวน์ที่มีระดับแอลกอฮอล์ไม่สูงนัก แต่หากเป็นชนิด riserva จะมีระดับแอลกอฮอล์ถึง 12.5% vol ไวน์ Aglianico del Vulture มีผู้ผลิตหลายราย ที่นับว่าใหญ่ ที่สุดเห็นจะเป็นบริษัท Fratelli d'Angelo และบริษัท Paternoster

ไวน์ขาวของแคว้นนี้จะใช้องุ่นพันธุ์ Moscato เป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก

 

 

แคว้น Calabria

ตั้งอยู่ตรงส่วนปลายของรองเท้าบูทใกล้กับเกาะ Sicily ห่างกันเพียงแค่มีช่องแคบ Messina ขวางอยู่ ในอดีตเคยถูกเรียกว่า Sounthern Puglia

มีไวน์แดงที่น่าสนใจเพียงแค่ไวน์ Scavigna ที่ใช้องุ่นพันธุ์ Gaglioppo ไม่น้อยกว่า 50% พันธุ์ Nerello cappuccio ไม่เกิน 30% ที่เหลือเป็นพันธุ์ Aglianico และองุ่นแห้งอีกจำนวนหนึ่งตามที่ทางการเมือง Catanzaro เป็นผู้กำหนด

ไวน์ขาว dry wine ก็มีไวน์ Scavigna Bianco ที่ใช้องุ่นพันธุ์ Trebbiano toscano เป็นหลัก ผสมกับพันธุ์ Chardonnay พันธุ์ Malvasia bianca และพันธุ์ Greco

 

 

แคว้น Sicily

เกาะรูปสามเหลี่ยมในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ 5 กิโลเมตรบริเวณช่องแคบ Messina เดิมมีชื่อเรียกว่า Trinacria มีความหมายว่า พื้นที่ที่รายรอบด้วยทะเล 3 ด้าน ซึ่งเป็นทะเล Tyrrhenian ทะเล Ionian และทะเล Mediteranean พื้นที่ 80% เป็นภูเขาและเนินเขา มีที่ราบเพียงเล็กน้อยสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยและทำการเกษตร จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ขุดค้นพบบริเวณหมู่เกาะ Aeolian มีการพบเหรียญ ที่มีรูปถ้วยไวน์ถูกนำไปสักการะเทพ Zeus ซึ่งชี้ให้เห็นว่าชาว Sicilian รู้จักการทำไวน์มาตั้งแต่ 700 ปีก่อนคริสตกาล

ไวน์ Faro เป็นไวน์แดงที่ใช้องุ่นหลายๆพันธุ์รวมกัน โดยมีพันธุ์ Nerello mascalese พันธุ์ Nerello cappuccio เป็นตัวเอก ส่วนพันธุ์ Nocera พันธุ์ Calabrese พันธุ์ Gaglioppo และพันธุ์ Sangiovese เป็นตัวประกอบ มีโครงสร้าง medium-bodied ไวน์ Faro จากองุ่นใน vintage ดีๆจะเก็บไว้ได้ถึง 5 ปี

คงต้องกล่าวถึงไวน์ Marsala ไวน์ขาวจากตำบล Marsala เมือง Trapani ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของแคว้น เป็นไวน์ที่จัดอยู่ในประเภท Fortified wine โดยเติมด้วยบรั่นดีและน้ำองุ่นเข้มข้นที่มีความหวานมากลงไป การทำไวน์จะใช้องุ่นพันธุ์ Grillo เป็นหลัก ผสมกับพันธุ์ Ansonica พันธุ์ Catarratto และพันธุ์ Damaschino ในบางครั้งจะมีพันธุ์ Pignatello พันธุ์ Garganega พันธุ์ Calabrese พันธุ์ Nerello และพันธุ์ Inzolia ผสมด้วย

ไวน์ Marsala จะมีทั้ง dry wine หวานเล็กน้อย[sweetish wine] และหวาน[sweet wine] ยิ่งไปกว่านั้นยังมีทั้งสีทอง[oro] สีทองอำพัน[ambra] และสีแดงทับทิม[rubino]

การทำไวน์ Marsala ยังมีการทำเป็น 4 ชนิด คือไวน์ Marsala Fine ไวน์ Marsala Superiore ไวน์ Marsala Vergine และไวน์ Marsala Sorelas

ไวน์ Marsala Fine เป็นเกรดต่ำสุด มีการบ่ม 1 ปีในถัง stainless steel หรือในถังไม้โอ๊ค มีระดับแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 17% vol

ไวน์ Marsala Superiore เป็นเกรดที่สูงขึ้นมาอีก จะทำการบ่มอย่างน้อย 2 ปีในถังไม้โอ๊ค และหากเป็น riserva จะใช้เวลา 4 ปี มีระดับแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 18% vol

ไวน์ Marsala Vergine เป็นเกรดที่สูงกว่า จะบ่มอย่างน้อย 5 ปีในถังไม้โอ๊คและจะบ่มนานถึง 10 ปี หากเป็น riserva หรือ stravecchio มีระดับแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 18% vol ในเกรดนี้จะทำเฉพาะ dry wine เท่านั้น

ไวน์ Marsala Sorelas เป็นเกรดสูงสุด จะบ่มอย่างน้อย 5 ปีในถังไม้โอ๊คและจะบ่มนานถึง 10 ปี หากเป็น riserva หรือ stravecchio เช่นเดียวกับไวน์ Marsala Vergine มีระดับแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 18% vol และมีแต่ dry wine เช่นกัน

ผู้ผลิตไวน์ Marsala ที่มีชื่อได้แก่ บริษัท Cantina de Bartoli บริษัท Florio Carlo และบริษัท Pellegrino

 

 

แคว้น Sardinia

เป็นเกาะใหญ่อีกเกาะหนึ่งในทะเล Mediteranean มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีขนาดที่เล็กกว่าเกาะ Sicily เล็กน้อย พันธุ์องุ่นส่วนใหญ่เป็นพันธุ์พื้นเมือง เช่น พันธุ์ Malvasia พันธุ์ Moscato และพันธุ์ Nasca เป็นต้น และยังคงมีพันธุ์องุ่นเก่าแก่ที่นำมาจากสเปนในช่วงศตวรรษที่ 15-17 คือพันธุ์ Cannonau และพันธุ์ Monica

ไวน์ Carignano del Sulcis เป็นไวน์ที่มีชื่อของแคว้น ทำจากองุ่นพันธุ์ Carignano ไม่น้อยกว่า 85% ที่เหลือเป็นองุ่นที่ผู้ผลิตคัดสรรเอง เป็นไวน์ที่มีสีแดงทับทิม ระดับแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 12% vol มีทั้งชนิด riserva ชนิด novello และชนิด superiore

 

 

 

 

 

| แนะนำตัว | เรื่องของไวน์ | ประเทศอิตาลี | เขตการผลิตไวน์ | พันธุ์องุ่น | ไวน์นานาชนิด | ไวน์ระดับสูง | เขต DOC และ DOCG | ผู้ผลิตไวน์ชั้นนำ| ไวน์ที่ได้รับรางวัล | ภาษาอิตาเลียน| กระดานข่าว | เรื่องน่ารู้ | คุยกับเรา |

rossoVINITALIA

e-mail rosso19517@hotmail.com