นายปรีดี
เดินทางกลับจากฝรั่งเศส เมื่ออายุได้ ๒๖ ปี เป็นดุษฎีบัณฑิตคนไทยคนแรก
จากมหาวิทยาลัยปารีส ได้รับตำแหน่งผู้พิพากษา กระทรวงยุติธรรม และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงประดิษฐ์มนูญธรรม
นอกจากนี้
เขายังรับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนกฎหมายที่โรงเรียนสอนกฎหมาย และรับสอนทบทวนวิชากฎหมายที่บ้านสีลม
โดยไม่คิดเงิน และเปิดโรงพิมพ์นิติสาส์น เพื่อเผยแพร่งานเขียน ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของอาจารย์หนุ่มทางกฎหมายขจรขจาย
และยังทำให้เขามีโอกาสได้เผยแพร่แนวคิดทางการเมืองให้กับนักเรียนกฎหมายอีกด้วย
วันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะราษฎร์ได้ทำการยึดอำนาจได้สำเร็จ
ด้วยการจับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เป็นตัวประกัน นายปรีดีเป็นผู้ร่างประกาศคณะราษฎร์ด้วยตนเอง
และพิมพ์เผยแพร่ไปทั่ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในขณะนั้น
เสด็จแปรพระราชฐาน อยู่พระราชวังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ยินยอมที่จะมอบพระราชอำนาจ และกลับคืนสู่กรุงเทพฯ พร้อมกับลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติธรรมนูญปกครองแผ่นดินสยาม
๒๔๗๕ ที่นายปรีดีเป็นผู้ร่าง สยามได้เข้าสู่ยุคการปกครองระบอบประชาธิปไตยนับแต่บัดนั้น
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เขาได้เสนอชื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดาให้เป็นนายกรัฐมนตรี
เป็นอนุกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๗๕ และพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง
๒๔๗๕ ที่ให้สตรีมีสิทธิ์เลือกตั้งได้ทัดเทียมบุรุษ นับว่าก้าวหน้ากว่าการปฏิวัติอื่นในโลกด้วยซ้ำ
งานสำคัญของนายปรีดีชิ้นถัดมาก็คือการเสนอเค้าโครงร่างทางเศรษฐกิจ
ซึ่งหลักการใหญ่ก็คือการประกันสังคม และการกระจายทรัพย์สิน ทั้งยังเสนอตั้งธนาคารชาติ
และกองสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ความเห็นของนายปรีดี ถูกโจมตีว่าเป็นคอมมิวนิสต์
เป็นอันตราย เพราะเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่เจ้าและขุนนางต้องเสียผลประโยชน์
นายปรีดีจึงต้องเดินทางออกนอกประเทศไปฝรั่งเศสในวันที่ ๑๒ เมษายน
๒๔๗๖ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ถึงปี
ต่อมาพระยาพหลพลพยุหเสนาได้ยึดอำนาจจากพระยามโนปกรณ์นิติธาดา
และได้โทรเลขเชิญนายปรีดีกลับมาร่วมรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีนายปรีดีถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์
ผลสอบสอนปรากฎว่านายปรีดีบริสุทธิ์ จากนั้นจึงได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย
ระหว่างที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยนี้ นายปรีดีได้พยายามออกกฎหมายอันเป็นหลักของการกระจายอำนาจการปกครอง
เพื่อให้ท้องถิ่นและภูมิภาคมีอำนาจปกครองตนเอง ก่อตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา
วางรากฐานเรื่องศาลปกครอง ที่มีหน้าที่พิจารณาข้อพิพาทระหว่างราษฎรกับรัฐ
ซึ่งความคิดนี้มาสำเร็จเป็นจริงหลังจากนั้นในอีกเจ็ดสิบกว่าปีถัดมา
เดินทางไปเจรจากับต่างประเทศเพื่อขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ แทนที่จะเก็บภาษีและดุลคนออกจากราชการ
ดังที่ผู้ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชได้ใช้เป็นวิธีการแก้ปัญหา
การเจรจากับแต่ละประเทศล้วนประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี
นอกจากนี้เขายังได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง
เพื่อให้ราษฎรมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาอย่างเต็มที่ เพราะในขณะนั้นสยามมีประชากร
๑๒ ล้านคน มีนักเรียนนักศึกษาเพียงแปดแสนคน จบระดับอุดมศึกษาเพียงสองพันกว่าคน
ทั้งนี้ ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ผลิตนักศึกษาออกมา
๖๘ คน เท่านั้น ในปีแรกที่เปิดรับสมัคร มีผู้สมัครเข้าเรียนถึงเจ็ดพันกว่าคน
ทำให้สามารถกระจายการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้มาก
สองปีถัดมานายปรีดีขอย้ายมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ซึ่งเป็นกระทรวงเล็ก มีข้าราชการประจำเพียงร้อยกว่าคน เขาได้เจรจาแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับต่างประเทศ
ในนามของสนธิสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราช รวม
๑๒ ประเทศ จนได้มาซึ่งเอกราชทางเศรษฐกิจและศาลอย่างแท้จริง
ในปีพ.ศ. ๒๔๘๑ นายปรีดีรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ได้ยกเลิกการจัดเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม ก่อตั้งธนาคารชาติ และเปลี่ยนการเก็บเงินทุนสำรองจากปอนด์เป็นทองคำแท่ง
เพื่อป้องกันความผันผวนของค่าเงิน อันเป็นสิ่งที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดขึ้นหากเกิดสงครามโลกครั้งที่
๒
ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ อุบัติ นายปรีดีผู้เชื่อในวิถีแห่งสันติภาพ
ได้แสดงจุดยืนของประเทศไทยต่อนานาประเทศ โดยการจัดทำภาพยนตร์ พระเจ้าช้างเผือก
เป็นภาพยนตร์เสียงภาษาอังกฤษในฟิล์ม และเผยแพร่ไปยังต่างประเทศตั้งแต่ปีพ.ศ.
๒๔๘๒ แต่แม้ประเทศไทยจะประกาศตัวเป็นกลาง และมีพระบรมราชโองการปฏิบัติความเป็นกลางประกาศไว้ในปีพ.ศ.
๒๔๘๔ เมื่อญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก และรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ลงนามสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรร่วมกันกับญี่ปุ่น
และประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตร ญี่ปุ่นได้พยายามบีบคั้นให้นายปรีดีต้องออกจากอำนาจการเมือง
นายปรีดีได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และได้ปฏิเสธที่จะลงนามในประกาศสงครามนั้น
ภายใต้ชื่อ รูธ นายปรีดีได้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าขบวนการเสรีไทยในเมืองไทยอย่างเข้มแข็ง
และเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง เพราะต้องพยายามแสดงจุดยืนของไทยว่าอยู่ฝ่ายพันธมิตรอย่างจริงใจ
ในตอนปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลังจากที่ทางอเมริกาได้ทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ
ญี่ปุ่นได้ยอมแพ้ จีนได้เสนอตัวที่จะมาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในอินโดจีน
นายปรีดีเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์แบ่งแยกประเทศ จึงแจ้งรัฐบาลอเมริกันว่า
เสรีไทยในประเทศจะขอเป็นผู้ปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นเอง ทางฝ่ายอเมริกายินยอม
ทางอังกฤษก็ส่งจดหมายมาให้ไทยออกแถลงการณ์ ประกาศความเป็นโมฆะของการประกาศสงคราม
ของรัฐบาลจอมพล ป. ทำให้กองทัพไทยไ่ม่ต้องถูกปลดอาวุธ
ภายหลังสงคราม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงบรรลุนิติภาวะ และนิวัติประเทศไทย
นายปรีดีได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐบุรุษอาวุโส และยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เพราะสภาพบ้านเมืองไม่ปรกติ รับหน้าที่เจรจากับอังกฤษให้ยกเลิกการยึดเงินฝากของไทยในต่างประเทศ
และขอให้ซื้อข้าวไทยแทนการปรับเป็นค่าปฏิกรรมสงคราม เมื่อทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
นายปรีดีจึงได้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้เป็นไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญ
แต่รัฐสภาก็มีมติเป็นเอกฉันท์ให้กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ในวันที่
๘ มิถุนายน ๒๔๘๖
วันรุ่งขึ้นก็มีข่าวร้าย
เืมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอาันันทมหิดลสวรรคต ณ พระที่นั่งบรมพิมาน
นายปรีดีและคณะรัฐมนตรีได้ขอความเห็นชอบต่อสภา ในการเชิญสมเด็จพระอนุชาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป
สภาก็มีมติเห็นชอบ จากนั้นนายปรีดีก็ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ด้วยเหตุผลที่ว่าพระมหากษัตริย์ที่แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีได้สวรรคตเสียแล้ว
หลังจากนั้น
ศัตรูทางการเมืองของนายปรีดี ได้วางแผนโค่นล้มอำนาจของนายปรีดี โดยการกล่าวหาว่า
"ปรีดีฆ่าในหลวง" นายปรีดีได้ลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมด
และเดินทางไปรอบโลกในฐานะทูตสันถวไมตรี ตามคำเชิญของประเทศต่าง ๆ
เมื่อกลับมาที่เมืองไทยได้ไม่ถึง
๑๐ เดือน ก็เกิดรัฐประหารขึ้นในวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ทำเนียบท่าช้างอันเป็นที่พัก
ก็ถูกรถถังของฝ่ายรัฐประหารยิงปืนกราดเข้าไป นายปรีดี และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์
จำเป็นต้องหลบหนีออกนอกประเทศ โดยทีแรกจะเดินทางไปอเมริกา แต่เจ้าหน้าที่ซีไอเอได้ขีดฆ่าวีซ่าอเมริกาของนายปรีดาออก
และปฏิบัติตัวอย่างหยาบคาย เพราะขณะนั้นรัฐบาลอเมริกันให้ความสนับสุนฝ่ายรัฐประหาร
ทั้งที่เคยมอบเหรียญอิสริภรณ์สดุดีให้ ทำให้นายปรีดีไม่เคยคิดที่จะขอลี้ภัยไปอยู่อเมริกาเลย
และได้เดินทางไปจีนแทน
นับแต่นั้นจึงเป็นการปิดฉากทางการเมืองของคณะราษฎร์
และเริ่ิมเข้าสู่ยุคเผด็จการทหาร โดยพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน
ได้รับหน้าที่เป็นรัฐบาล อันเป็นผลจากการรัฐประหาร
นายปรีดีได้กลับเข้าเมืองไทยอีกครั้ง
และได้ร่วมกับพรรคพวกกลุ่มหนึ่งพยายามยึดอำนาจคืน ในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์
๒๔๙๒ เรียกว่ากบฏวังหลวง แต่ประสบความล้มเหลว นายปรีดีต้องหนีกลับไปจีนอีกครั้ง
ขณะที่อยู่ปักกิ่ง ท่านผู้หญิงพูนศุขและลูกชาย ปาล พนมยงค์ ได้ถูกจำคุก
เมื่อต่อสู้จนพ้นข้อหาจึงได้เดินทางออกจากประเทศไทย เพราะเกรงปัญหาเรื่องความปลอดภัย
ท่านผู้หญิงได้พาลูก ๆ นั่งรถไฟสายไซบีเรียผ่านฝรั่งเศสและรัสเซีย
ไปพบนายปรีดีที่เมืองจีนได้สำเร็จ
ครอบครัวพนมยงค์ใช้ชีวิตอยู่ในจีนเป็นเวลากว่ายี่สิบปี
จนกระทั่งในปีพ.ศ. ๒๕๑๓ จึงได้ย้ายมาอยู่ที่อองโตนี ชานเมืองปารีส
เพื่อที่จะได้ติดต่อกับญาติมิตรง่ายขึ้น ในช่วงนั้นก็ได้เป็นโจทย์ฟ้องศาลกรณีสำนักพิมพ์สยามรัฐ
อันมี มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช และพรรคพวก ได้หมิ่นประมาทนายปรีดีกรณีสวรรคต
และได้ชนะทุกคดี
ในขณะลี้ภัยการเมืองในต่างประเทศนั้น
นายปรีดียังคงใส่ใจสภาพความเป็นไปของบ้านเมือง และเสนอหลักการของสันติภาพ
การอยู่ร่วมกันอย่างสันติของทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ผ่านทางข้อเขียน
บทความ หนังสือ และปาฐกถา อย่างสม่ำเสมอ
และในวันที่
๒ พฤษภาคม ๒๕๒๖ ๑๑ นาฬิกา นายปรีดีก็ได้ถึงแก่กรรม ด้วยอาการหัวใจวาย
และฟุบลงสิ้นใจอย่างสงบ ขณะกำลังเขียนหนังสือที่โต๊ะทำงานในบ้านที่ฝรั่งเศส
|