ปัญหากับปัญญา
          ในการดำรงชีวิตของมนุษย์เรานั้น แต่ละวันๆจะต้องได้พบกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆมากมาย ทุกผู้ทุกนาม ไม่ว่าจะเป็นไพร่ฟ้ายาจกวนิพกพเนจร คนธรรมดาสามัญที่หาเช้ากินค่ำ เป็นคหบดีผู้มั่งคั่งหรือเป็นเจ้าขุนมูลนายผู้มียศถา บรรดาศักดิ์และฐานะสูงก็ไม่มียกเว้นเลย ปัญหาและอุปสรรคต่างๆบางอย่างก็แก้ไขได้ง่าย แต่ว่าบางอย่างกว่าจะแก้ไขได้ ก็เลือดตาแทบกระเด็นเอาเหมือนกัน แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่หมู่มนุษย์ได้รับอาวุธอันสำคัญ ซึ่งมีมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์ ที่สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคต่างๆได้เป็นอย่างดี อาวุธนั้นก็คือปัญญานั่นเอง แต่เจ้า ตัวปัญญานี้ มนุษย์ก็สามารถนำเอาไปใช้ได้ ทั้งการสร้างสรรค์ความดีและประกอบกรรมทำความชั่วร้ายได้เหมือนกันทั้ง สองทาง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความมั่นคงของคุณธรรมที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ผู้นั้นเอง

 

          คุณธรรมอันเป็นหลักคำสอนสำคัญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่อสรรพสัตว์ทั้ง 3 แดนโลกธาตุนั้น ทรงแสดงไว้ว่า
          1. ให้ละเว้นการกระทำความชั่วทั้งปวง 
          2. ให้หมั่นสร้างคุณความดีทุกประเภท  
          3. หมั่นอบรมจิตใจให้ผ่องใส

          พระพุทธองค์ทรงสอนให้มนุษย์รู้จักศึกษาและน้อมนำเอาคุณธรรมทั้งปวง มากำหนดหมายไว้ที่ดวงจิต เพราะว่าดวงจิตนี่แหละเป็นผู้ที่จะบงการหรือกำหนดการกระ ทำของมนุษย์ โดยส่งผ่านไปตามอาการที่เรียกว่าเจ้าความคิดกับเจ้าความรู้ความเข้าใจ แล้วจีงส่งสัญญานต่อออกมาเป็นการกระทำทางกายบ้างทางวาจาบ้าง

          ถ้าหากมนุษย์ผู้ใด เป็นผู้ที่มีคุณธรรมในจิตใจมั่นคงมากกว่าการกระทำของเขาก็เป็นไปในทางที่ดี เป็นบุญเป็นกุศล ก่อผลให้ได้รับความสุขความเจริญความก้าว หน้าทั้งร่างกายและทางจิตใจ ในทางตรงกันข้ามผู้ใดที่มีคุณธรรมสั่งสมอยู่ในจิตใจน้อย การกระทำของเขาก็เป็นไปในทางดีน้อยลงไป ก็จะเป็นบาปเป็นอกุศลมากขึ้น จะก่อผลให้ได้รับความ ทุกข์โทรมมนัสความต้อยต่ำทั้งร่างกายและจิตใจ เหมือนดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเอาไว้ว่า
          ...ไม่ว่าใครทำกรรมอันใดไว้
          กรรมดีหรือว่ากรรมชั่วก็ตาม   
          เขาจักต้องเป็นผู้ได้รับผล 
         ของกรรมนั้นสืบไป...

         หรือจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายๆว่า ตัวเราเองนี่แหละเป็นผู้สร้างความสุขหรือความทุกข์ให้ตัวเราเอง แต่ต้องเข้าใจอีกหน่อย ด้วยว่า การให้ผลของกรรมนั้น ต้องประกอบ กับกาลเวลาด้วย สุดแท้แต่จะช้าหรือเร็วก็ตามทีเถิด กรรมนั้นต้องให้ผล อย่างแน่นอน เพราะว่ากฏของกรรมนี้ เป็นสิ่งที่ให้ความยุติธรรมเสมอ ขอยกตัวอย่างเรื่องจริงอิง นิทานของเมืองอินเดีย ให้พิจารณากันสักเรื่องหนึ่ง

         จัมปาล เกิดมากับความยากจนข้นแค้นแสนลำบากต้องประกอบอาชีพเป็นวนิพกเร่ร่อนขอทานอยู่ในเมืองชัยปุระ อาหารที่พอจะมีกินอยู่ทุกวันก็คือจาปาตี(คล้ายแผ่น แป้งจี่)คลุกขี้ฝุ่นเท่านั้น ไม่คุ้นเคยกับรสชาดของอาหารอย่างอื่นเลย เช้าวันร้อนระอุวันหนึ่ง จัมปาลก็มีโอกาสร่อนเร่เตร่มาอยู่ที่หน้าร้านไก่ย่างเลื่องชื่อของเมืองชัยปุระ ที่กำลังย่างไก่ ทั้งกลิ่น และควันลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณหน้าร้าน จัมปาลซึ่งกำลังนั่งขอทานอยู่บริเวรนั้นได้กลิ่นไก่ย่างลอยมากระทบจมูก ก็บังเกิดความยากขึ้นมาทันที ทันใด แต่ก็ยังขอทานไม่ได้ จึงไม่มีเงินที่จะไปซื้อไก่ย่างได้เลย ทั้งตัวก็มีแผ่นจาปาตีที่เหลืออยู่สักครึ่งแผ่นเท่านั้น ก็จำต้องทนนั่งกลืนน้ำลายดมกลิ่นไก่ย่างอยู่ที่นั่นเอง เวลาผ่านไประยะหนึ่งจัมปาลก็เกิดปัญญาขึ้นมาทันที เขารีบควักเอาจาปาตีขึ้นมาแล้วหันหน้ามองไปที่ไก่ย่างพร้อมกับสูดเอากลิ่นไก่ย่างเข้าไปเต็มปอดแล้วก็เคี้ยวกิน จาปาตีกับกลิ่นไก่ย่างด้วยความรู้สึกเอร็ดอร่อยเป็นอย่างยิ่ง เขามองไก่ย่างไปและสูดเอากลิ่นไก่ย่างไปพร้อมกับกินจาปาตีไป จนจาปาตีหมดในเวลาอันรวดเร็ว แล้วแกก็ ยกมือวันทาไปที่ท้องฟ้าพร้อมกับเสียงรำพึงรำพันว่า โอ้... นาร้า..ย นารา..ย ซ้ำแล้วซ้ำอีก และนั่งขอทานต่อไปอย่างมีความสุขอย่างยิ่ง การกระทำของจัมปาลนั้นอยู่สาย ตาของอาบังสุรีนัม ผู้เป็นเจ้าของร้านไก่ย่างอยู่ตลอดเวลาพร้อมกับเกิดความขุ่นเคืองขึ้นในใจ

          วันต่อมา จัมปาลผู้ได้ความคิดอันวิเศษนี้ ก็ติดอกติดใจกลิ่นไก่ย่าง จึงเตร่มานั่งขอทานที่บริเวณไกล้ๆหน้าร้าน อาบังสุรีนัมอีก ครั้นได้เวลาหิวก็มองไปที่ไก่ย่างแล้ว สูดเอากลิ่นไก่เข้าไป พร้อมกับกัดกินเอาจาปาตีด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยออกรสออกชาดจนมีเสียงดังซืดๆซ้าดๆอีกด้วย ท่ามกลางสายตาอันไปพอใจเพิ่มขึ้นของอาบังสุรีนัม วิถีชีวิตอันแสนสุขโข สโมสรของจัมปาลดำเนินไปเช่นนี้อีก 2-3 วัน จนฝ่ายอาบังสุรีนัมสุดแสนที่จะทนกับความขุ่นเคืองในใจของตนได้ จึงไปบอกตำรวจให้มาจับตัว จัมปาล ในข้อหาแอบขโมยกลิ่นไก่ย่าง เมื่อตำรวจนำตัวไปสอบสวน จัมปาลก็รับสารภาพว่าได้ทำเช่นนั้นจริงๆ ตำรวจจึงต้องส่งไปฟ้องศาลให้ศาลพิจารณาโทษ เนื่องจาก จำเลยรับสารภาพศาลจึงตัดสินให้ปรับจำเลยเป็นเงินจำนวน 200 รูปี จัมปาลก็โอดครวญกับผู้พิพากษาว่า ตนเป็นขอทานจนๆคนหนึ่งที่ไม่ได้มีเงินฝากธนาคารหรือเก็บ ใส่ตุ่มฝังดินเอาไว้แต่อย่างใด จึงไม่รู้ว่าจะไปเอาเงิน ๒๐๐ รูปีจากที่ไหนมาเสียค่าปรับ ผู้พิพากษาใจดีจึงให้ยืมไปก่อน แล้วค่อยเอามาใช้คืนภายหลัง จัมปาลก็บอกว่า ตนเป็นขอทานอิสสระไม่มีเส้นไม่มีสายที่จะไปจับจองที่แถวศูนย์การค้าหรือบริเวณที่มีคนเดินผ่านเยอะๆหรอก ได้แต่เร่ร่อนไปตามยถากรรม ขอทานได้บ้างไม่ได้บ้างพอ ดำรงชีวิตอยู่ไปวันๆ เท่านั้นเอง ไม่รู้เมื่อใดจะมีเงินมาใช้คืน แต่ก็รับเงิน 200 รูปีไป จะได้ให้เป็นค่าปรับครั้งนี้ ข้างอาบังสุรีนัมู้มีสายเลือดแขกเข้มข้น ก็ให้รู้สึกดีใจกับการตัด สินคดีนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยที่ตนจะได้เงิน 200 รูปีมาง่ายๆโดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลย ผู้พิพากษาจึงสั่งคู่กรณีไปชำระค่าปรับกันด้านนอกอาคารที่มีแสงแดดส่อง และให้หาบัน ใดมาพาดข้างอาคารโดยให้จัมปาล ปีนขึ้นไปบนบันใด 4-5 ขั้น ผู้พิพากษาสั่งให้จัมปาลจับแบงค์ 200 รูปีไว้และยื่นออกมาข้างหน้า แล้วสั่งให้อาบังสุรีนัม ที่ยืนกระหยิ่มยิ้ม ย่องอยู่ด้านล่างไปรับเงินค่าปรับ เขาก็คอยว่าเมื่อไรผู้พิพากษาจะสั่งให้จัมปาลปล่อยเงินให้หล่นมาเสียที สักครู่หนึ่งผู้พิพากษาก็เตือนอาบังสุรีนัมให้รับค่าปรับ อาบังสุรีนัม บอกว่าจัมปาลยังจับแบงค์อยู่ยังไม่ปล่อยให้หล่นลงมา ผู้พิพากษาบอกบังสุรีนัมให้แบมือไปไว้ที่เงาของแบงค์เงาของแบงค์ที่อยู่บนมือนั่นแหละเป็นค่าปรับที่ให้อย่างยุติ ธรรมแล้ว เพราะคดีนี้เป็นการขโมยกลิ่น ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่าง ส่วนค่าปรับนั้นก็เป็นเงาของแบงค์ เป็นทรัพย์ที่ไม่มีรูปร่างเหมือนกัน ก็เป็นการเหมาะสมกับคดีนี้

           จากนั้นจัมปาลก็ลงจากบันใดเอาเงิน 200 รูปีคืนให้ผู้พิพากษาผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม แล้วออกไปขอทานเลี้ยงชีวิตต่อไป

 

 
=================================================================================

บทความข้างต้นนี้ได้ตีพิมพ์ลงใน นิตยสารเวียนนา-ไทยไลฟ์ ฉบับที่ ๕ ประจำเดือนสิงหาคม-กันยายน ๒๕๔๗

สนใจอ่านคอลัมน์อื่นๆในนิตยสารฯ คลิกที่นี่