กบกายสิทธิ์

คืนวันนั้นมีงานเต้นรำที่สวนอัมพร เพื่อนฝูงหลายคนชวนหนูวีรีให้ไปเที่ยวเต้นรำ
หนูวีรีอยากไปจึงไปขออนุญาตจากคุณพ่อคุณแม่ตามธรรมเนียมเด็กที่ดีทั้งหลาย
เมื่อคุณพ่อคุณแม่ให้อนุญาต หนูวีรีก็รีบอาบน้ำ แต่งตัว แล้วหนู วีรีก็เอาผ้าแพรบางๆ มารัดเข้าที่
หน้าอก เพราะเมื่อหนูวีรีแรกเกิดนั้น มีเทพธิดาใจร้ายองค์หนึ่งสาปไว้ว่า
ถ้าหนูวีรีเติบโตเป็นสาวขึ้นแล้วจะไปไหนต้องรัดหน้าอก มิฉะนั้นให้มีอันเป็นไปต่างๆ
พอปฏิบัติตามคำสาปเสร็จแล้ว หนูวีรีจึงหยิบเสื้อราตรีมาสวม
เสื้อราตรีตัวนี้ก็เป็นเสื้อกายสิทธิ์อีกเหมือนกัน เพราะต้องใช้แพรตั้ง 25 หลา
แต่เมื่อสวมแล้วก็มิได้ปกปิดสิ่งใดกี่มากน้อย แต่งตัวเสร็จหนูวีรีจึงหยิบสร้อยไข่มุกมาใส่ที่คอ
สร้อยเส้นนี้ไม่ใช่ของกายสิทธิ์ เป็นสร้อยไข่มุกญี่ปุ่น คุณพ่อซื้อให้นานมาแล้วราคาไม่กี่อัฐ
จากนั้นก็ไปเที่ยวสวนอัมพร พอไปถึงสวนอัมพร หนูวีรีก็เต้นรำกับเพื่อนฝูงสนุกสบาย
แต่พอเต้นไปสัก 14-15 เพลง หนูวีรีรู้สึกร้อนจึงออกมานั่งที่ริมสระ
หนูวีรีนั่งดูน้ำพุด้วยความเพลิดเพลิน บางทีสปริงสร้อยไข่มุกจะหลวม
พอหนูวีรีก้มหน้าดูเงาของตัวเองในสระว่าสวยหรือยัง
สร้อยไข่มุกก็หลุดออกจากคอหล่นลงไปในสระน้ำดังต๋อมหายไป หนูวีรีตกใจมาก
ความจริงสร้อยไข่มุกเส้นนี้ไม่ใช่ของกายสิทธิ์อะไร
แต่คุณพ่อรู้ว่าสร้อยหายจะดุลั่น หนูวีรีจึงตกใจกลัว แต่เมื่อไม่รู้จะทำอะไรได้
ก็ได้แต่นั่งร้องไห้อยุ่ข้างสระ ขณะที่นั่งร้องไห้อยู่นั่น
หนูวีรีได้ยินเสียงห้าวๆ กล่าวขึ้น

“อย่าร้องไห้ไปเลย มีทุกข์ร้อนอะไรบอกฉันเถิด”

หนูวีรีมองหาเจ้าของเสียงนั้นจนทั่วแต่ก็ไม่เห็นใคร
ในบริเวณใกล้ๆ นั้นมีแต่กบตัวเดียวนั่งทำตาปริบๆอยู่ที่ขอบสระ

“เสียงใครพูด” หนูวีรีถามด้วยความสงสัย

“ฉันเองแหละเธอ” กบตัวน้อยนั้นตอบ

“ต๊าย โกหก กบอะไรพูดได้” หนูวีรีพูดอย่างไม่เชื่อ

“อ้าวพูดจริงๆ ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ” กบพูดอย่างน้อยใจ

“โถ ขอโทษ เชื่อแล้วแหละ” หนูวีรีวิงวอนกบตัวนั้น แล้วเล่าความทุกข์ของเธอ

เรื่องสร้อยไข่มุกตกน้ำให้กบฟัง กบได้ยินแล้วก็หัวเราะหึๆ ในคอ
พรางปรารภว่านิทานเก่าๆอย่างนี้จะเอามาเล่าด้วย
หนูวีรีต้องสบถสาบานอีกเป็นอันมาก กบจึงเชื่อ ครั้นแล้วกบนั้นก็อาสาว่า
จะไปงมสร้อยไข่มุกมาให้ แต่เมื่อได้สร้อยคืนแล้ว หนูวีรีจะต้องสัญญาว่า
ถ้ากบต้องการสิ่งใดหนูวีรีจะต้องให้สิ่งนั้น หนูวีรีก็รับคำ
กบโดดน้ำดังตุ๋ม หายไปประเดี่ยวเดียวก็นำสร้อยไข่มุกมาคืนให้แก่หนูวีรี
หนูวีรีดีใจนัก แต่ใจนึกตุ้มๆต๋อมๆ ไม่รู้ว่ากบต้องการอะไรตอบแทน
แต่โดยเหตุที่หนูวีรีเป็นคนดี เป็นเด็กใจบุญจึงรักษาวาจา และถามว่ากบต้องการอะไร

“อยากกินเหล้า” กบตอบ

หนูวีรีได้ยินดังนั้นก็โล่งหัวอก นึกในใจว่าเพียงเท่านี้จะเป็นไรมี
จึงพากบตัวนั้นเข้าไปนั่งที่โต๊ะพร้อมกับเพื่อนฝูง
ริมเวทีเต้นรำเพื่อนๆของหนูวีรีแลเห็นกบก็พากันสะอิดสะเอียน
แต่บางคนก็นึกเสียว่าเป็นเพื่อนของเพื่อน
บางคนก็นึกว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน บางคนก็นึกว่า ถึงกบจะน่าเกลียด
แต่หนูวีรีก็เอ็นดูพิลึก ทุกคนจึงนิ่งกันไป
กบจึงเริ่มกินเหล้าและท้าเพื่อนฝูงของหนูวีรีให้กินแข่ง
จนเพื่อนฝูงพากันหมอบไปหลายคน พอเหล้าหมดไปสักสิบกว่าขวด และเวลาก็ดึกพอสมควร
กบจึงถามหนูวีรีว่า

“คืนนี้จะไปนอนที่ไหน”

“แน้” หนูวีรีตอบ “ก็นอนที่บ้านหนูซี”

“นอนด้วยคนซี” กบว่า แล้วทำตาปริบๆ

“ไม่เอ๊า ไม่เอา” หนูวีรีร้อง “ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยนอนกับกบซักที”

“จุ๊ จุ๊ อย่าเอะอะไปน่า” กบกระซิบ เอียงหน้าเข้ามาใกล้ๆ จะเล่าอะไรให้ฟัง

ความจริงฉันไม่ใช่กบดอกนะเธอ ฉันเป็นเจ้าชายรูปร่างสวยงาม หล่อสะบั้นไปเลย
แต่ถูกยายแม่มดแถวสะพานอุรุพงษ์แกสาปให้เป็นกบ เพราะเรื่อง….
อย่าให้เล่าเดี๋ยวนี้เลยเรื่องมันยาว เอาไว้เล่าวันหลัง
แต่เมื่อไรมีผู้หญิงสวยๆ ใจบุญอย่างเธอเอาฉันไปนอนใต้หมอนซักคืน
ฉันก็จะพ้นคำสาป กลายเป็นเจ้าชายรูปหล่ออย่างเก่า เธอช่วยโปรดเมตตาฉัน
คราวนี้ฉันจะไม่ลืมบุญคุณเธอเลย คราวนี้คราวเดียวเท่านั้น แล้วฉันจะไม่รบกวน
อย่าปฏิเสธเลยน่า คนดี๊ คนดี หนูวีรีได้ยินดังนั้นก็ใจอ่อน
เพราะหนูเป็นคนใจบุญอยู่แล้ว จึงตกลงรับคำพากบกลับ
พอถึงบ้านเข้าห้องจะถอดเสื้อจะเข้านอน
เห็นเจ้ากบตัวนั้นมองดูด้วยสายตาชอบกลจึงปิดไฟเสีย แล้วถอดเสื้อเข้านอนต่อไป
แต่ไม่ลืมที่จะเอากบไว้ใต้หมอนดังที่ได้สัญญาไว้
พอตื่นเช้าขึ้นกบนั้นก็หายไป มีผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาหมดจดมานอนอยู่ข้างๆตัว
นิทานเรื่องนี้ หนูวีรี พรรณผลไม้ อายุ 17 ปี เล่าให้บิดาของเธอ
คือ นายกลึง พรรณผลไม้ อายุ 52 ปี ฟัง หลังจากที่นายกลึง นอนไม่หลับเมื่อตอนดึก
เนื่องด้วยมีเสียงกุกกักผิดสังเกตในห้องลูกสาว จึงได้เข้ามาดูเมื่อเวลา 5.00 น.
และพบชายหนุ่มรูปหล่อผมหยักศกคนหนึ่ง อายุประมาณ 22 ปี นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ
ลูกสาวของแกบนเตียงเดียวกัน


ดัดแปลงมาจาก : เพื่อนนอน ผู้แต่ง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช

ปล. ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ใครเป็นพ่อ คงจะขำไม่ออก