กระบอกเสียงบันทึกเพลงงิ้วและเพลงเป๋
ทอมัส เอลวา เอดิสัน ตายไปแล้วตั้งแต่ปีพ.ศ. 2474 แต่การอัดเสียงเก็บไว้แล้วนำมาเปิดฟังใหม่ได้นั้น ได้อุบัติขึ้นในโลกนี้ด้วยฝีมือของเขามาเป็นเวลาร่วมร้อยปีเศษแล้วเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2420 ณ เมืองเล็กๆ ชื่อเม็ลโลปาร์คมลรัฐนิวเจอร์ซี่ สหรัฐอเมริกา ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอลเกล้าเจ้าอยู่หัวของไทยเราครองราชสมบัติ ได้ประมาณ 9 ปี เพลงแรกที่บันทึกเสียงร้องของนายเอดิสันเองในเพลงที่ชื่อว่า Mary had A Little Lamb ตามที่เล่ามาแล้ว
เอดิสันใช้เวลาค้นคว้าต่อมาอีก 10 ปี จนถึงพ.ศ.2430 จึงได้ทำเครื่องบันทึกเสียงและเครื่องเล่นหีบเสียงออกจำหน่าย โดยบันทึกไว้บนผิวของรูปทรงกระบอกเรียกว่า " กระบอกเสียงของเอดิสัน " เมื่อกระบอกเสียงเหล่านี้ส่งมาขายเมืองไทยและมันปล่อยเสียงออกมาได้ คนไทยก็เรียกมันว่า " กระบอกเสียง "
กระบอกเสียงเพลงฝรั่งที่เอดิสันทำขายนี้จะมาถึงเมืองไทยเมื่อไหร่นั้นผู้เขียนไม่ทราบ สืบได้แต่เพียงว่าเมื่อปี พ.ศ. 2437 ได้มีผู้นำกระบอกเสียงมาไขเล่นประชันกับลิเกและละครรำที่ตลาดบนในเขตตำบลบ้านใหม่ เมืองฉะเชิงเทรา
แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยนั้นเป็นลูกค้าชั้นดีของอเมริกา พอมีของแปลกใหม่ออกขายไม่เท่าไร ไทยก็สั่งกระบอกของอเมริกาข้ามน้ำข้ามทะเลมาเปิดเล่นกันแล้ว ไม่ได้เล่นกันในกรุงเทพฯ หรือตามบ้านคนมีอันจะกินเท่านั้น แต่มีคนเอาไปเล่นถึงต่างจังหวัด คือที่ฉะเชิงเทราทีเดียว
หลักฐานที่กล่าวมานี้ นาย ต.เง็กชวนเจ้าของร้านขายแผ่นเสียงตรากระต่ายแห่งย่านบางลำพูได้บันทึกไว้ เมื่อประมาณพ.ศ. 2490 โดยเล่าว่าท่านเห็น " กระบอกเสียง " นี้เป็นครั้งแรกเมื่อท่านอายุได้ห้าขวบ ( นาย ต.เง็กชวน เกิดที่ฉะเชิงเทรา เมื่อพ.ศ. 2432)
กระบอกเสียงที่นาย ต.เง็กชวน เห็นเป็นครั้งแรกนั้น บันทึกเพลงจากการแสดงงิ้ว ซึ่งนาย ต.เง็กชวนเรียกว่า " เพลงงิ้วหน้าดำหน้าแดง " ปรากฎว่าการเล่นกระบอกเสียงที่ฉะเชิงเทราครั้งนั้น เรียกร้องความสนใจจากคนมากจนถึงกับชนะการประชัน คือ มีคนสนใจดูลิเกกับละครรำน้อยเต็มที แต่มามุงดูกระบอกเสียงกันอย่างหนาแน่น จนนาย ต.เง็กชวน ซึ่งยังเด็กเล็กๆนั้นต้องปีนลูกกรงขึ้นไปยืนดู
การเล่นแพลงจากกระบอกเสียงครั้งนั้น นาย ต.เง็กชวนเล่าว่านอกจากจะมีเพลงงิ้วหน้าดำหน้าแดงแล้ว ยังมีแหล่เทศน์ เพลงไทยร้องส่ง-รับปี่พาทย์ เครื่องสาย มโหรี เรื่องจันโครพ เรื่องลักษณวงศ์ เรื่องมะโดดหนีบวช เสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน และที่สำคัญยิ่งสำหรับข้อเขียนในวันนี้คือมีเพลง " เป๋ " รวมอยู่ด้วย
เพลงเป๋ คือเพลงพื้นเมืองที่ปัจจุบันนี้เรียกว่า " เพลงฉ่อย "(เขียนตามคำบอกเล่าของนาย ต.เง็กชวน) เป็นเพลงแก้กัน ระหว่างคนร้องขายและหญิงที่มีลูกคู่ร้องรับว่า "เอ่ ชา เอ๊ ช้า ชา ฉ่าชา หน่อยแม่ "
ก็เป็นอันสรุปได้ตอนนี้ว่าได้มีการบันทึกเสียงเพลงฉ่อยกันแล้วตั้งแต่พ.ศ.2437 ที่ฉะเชิงเทราสมัยนั้น มีคนวาเพลงฉ่อยเก่งอยู่คนหนึ่ง ชื่อว่า " แม่อินทร์"เป็นที่นิยมชมชอบของชาวจังหวัดฉะเชิงเทรามาก ปรากฎว่าเจ้าของเครื่องกระบอกเสียงได้ว่าจ้างให้แม่อินทร์ผู้นี้มาบันทึกเพลงฉ่อยเก็บไว้บนผิวของกระบอกเสียงในปี พ.ศ.2437 นั้นเอง โดยบันทึกเสียงที่ตลาดบ้านใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
การบันทึกเสียงไม่ได้ทำในห้องเก็บเสียงอย่างในปัจจุบัน แต่ใช้เวลากลางคืนที่คนไม่พลุกพล่าน วางเครื่องบันทึกเสียงนี้ที่ร้านขายของแห่งหนึ่ง หันลำโพงให้ตรงกับปากคนร้อง เมื่อเสียงผ่านลำโพงเข้าไปก็จะไปสั่นปลายเข็มให้ขูดขี้ผึ้งซึ่งฉาบอยู่บนผิวของโครงโลหะรูปทรงกระบอก โดยขีดเป็นเส้นวนไปตามแนวรอบวงของรูปทรงกระบอก นาย ต.เง็กชวนเขียนเล่าว่ากว่าจะจบชุดเพลงฉ่อยที่แม่อินทร์ร้องต้องใช้กระบอกขี้ผึ้งถึง 20 กว่ากระบอก เมื่อบันทึกเสียงแล้วก็เอามาลองเปิดฟังได้ทันทีหากไม่พอใจก็ขูดขี้ผึ้งบนรูปทรงกระบอกทิ้งแล้วเริ่มอัดใหม่ได้จนเป็นที่พอใจ
การอัดเสียงลงบนกระบอกเสียงสมัยนั้นใช้เครื่องไขลาน ไม่มีไฟฟ้าใช้เสียงที่บันทึกลงไปจึงไม่ครบทุกความถี่ของเสียงธรรมชาติ เสียงที่ไขลานเล่นกลับออกมาจึงไม่เหมือนของจริงนัก นอกจากจะแต่งความเร็วของเครื่องให้หมุนเร็วขึ้น เล่ากันว่า กระบอกเสียงแบบนี้ใช้กันมาจนถึง พ.ศ.2457 พอจบสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้วก็เลิกกันไป หันมาใช้แบบที่เป็นแผ่นแบนๆ อย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ( ซึ่งเรียกว่าจานเสียงหรือแผ่นเสียง)
ย้อนกลับมาหาเพลงที่เคยบันทึกลงบนกระบอกเสียงตามที่นาย ต.เง็กชวน เล่าไว้นั้น ปรากฎว่าเมื่อแผ่นเสียงแบบเบนๆ เริ่มอัดได้ ในเมืองไทยแล้วก็ได้มีการบันทึกเพลงชุดที่เคยอัดไว้บนกระบอกเสียงนั้นลงบนจานเสียงบ้างเหมือนกันที่ผู้เขียนเคยเห็นและบางแผ่นก็ยังมีเหลืออยู่หลายเรื่อง เช่น แหล่พระชินวร แหล่พระสุริเย เรื่องจีนไหหลำลักษณวงศ์ และเรื่องมะโดดหนีเมียไปบวช เป็นต้น แต่ฟังเกือบจะไม่เป็นคำ เพราะเก่าคร่ำคร่าเต็มที
บทความลำนำแห่งสยามตอนนี้ บันทึกไว้เพื่อกันลืมว่า คนไทยเราเคยบันทึกเสียงเพลงพื้นเมืองมาแล้วตั้งแต่ก่อนพ.ศ. 2540 เป็นเวลาถึงหนึ่งร้อยกับสามปี เสียดายที่กระบอกเสียงเหล่านั้นไม่สามารถเก็บเสียงไว้ได้นานเพราะชำรุดง่าย อนุชนรุ่นหลังจึงมิได้มีโอกาสฟังคารมเพลงฉ่อยของแม่อินทร์แห่งเมืองฉะเชิงเทรา
หากกระบอกเสียงเหลานั้นยังคงลงเหลืออยู่บ้างก็อาจจะหาเครื่องเล่นไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่นักอาจจะมีใครสักคนยังเก็บไว้เป็นของเก่าก็ได้ ถ้ายังมีหลงเหลืออยู่จริง บางทีคุณเอนก นาวิมูล คงดีใจและเขียนหนังสือเรื่อง "เพลงนอกศตรรษคืนชีพ " เป็นตอนต่อไปอีกก็ได้
นายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล