แผ่นเสียงอ่านหนังสือพระอภัยมณี
ขึ้นชื่อว่าแผ่นเสียงแล้ว เราจะต้องนึกถึงเพลงเป็นอันดับแรก เพราะแนเสียงนั้น เอดิสันกับอีมิลเบอร์ไลเนอร์ ตั้งใจไว้แต่เดิมว่าจะเป็นเครื่องสำหรับบันทึกเสียงเพลงเพื่อความบันเทิง อันจะต้องมีเพลงร้องและเพลงที่บรรเลงดนตรีเป็นสำคัญ ต่อมาก็มีผู้คิดผลิตแผ่นเสียงที่เป็นเสียงพูดขึ้น แรกทีเดียวก็ใช้เป็นของขวัญส่งไปอวยพรวันเกิดหรือสุนทรพจน์สั้นๆจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยให้เปิดฟังเอาที่ปลายทาง
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ระหว่างปี พ.ศ. 2447 ถึง พ.ศ.2453 นั้นเมืองไทยเราบันทึกแผ่นเสียงลงจานครั่งสีดำกันแล้ว แรกก็อัดเพลงก่อน มีทั้งเพลงที่บรรเลงด้วยวงปี่พาทย์ เครื่องสาย ต่อมาก็มีการบันทึกเสียงเทศน์ มีทั้งมหาพน มหาชาติ ซึ่งไม่ใช่การร้องเพลงแต่เป็นคำพูดที่ร้อยกรองไว้ แล้วนำไปเปิดให้ฟังในที่ห่างไกลด้วยเครื่องเล่นแบบไขลาน
ในการค้นแผ่นเสียงโบราณสมัยรัชกาลที่ 5 คราวหนึ่งได้พบแผ่นเสียงของห้าง Beka Grand Record No.25055 แผ่นหนึ่งหน้าสีม่วงแก่ มีตรารูปนกกระยางเหลียวหลัง หันมามองลำโพงและแผ่นเสียง ครึ่งล่างของกระดาษพิมพ์ด้วยตัวพิมพ์ขนาดใหญ่ แจ้งว่าเป็นแผ่นเสียงอ่านหนังสือพระอภัยมณี อ่านโดยนายขวานและนายดำ ซึ่งส่งเข้ามาขายโดยบริษัท Katz Brothers อันเป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในเมืองสิงคโปร์สมัยนั้น จากขอบล่างของกระดาษกลมกลางแผ่นแสดงว่า บริษัทนี้เป็นเอเยนต์ใหญ่รับแผ่นเสียงแล้วส่งต่อมาจำหน่ายยังประเทศสยาม เกาะสุมาตราและเกาะบอร์เนียว
ได้ทดลองเปิดฟังดูด้วยเครื่องไขลานแบบโบราณ เสียงอู้อี้มากแต่พอจับได้ว่าเป็นเสียงคล้ายกับการอ่านทำนองเสนาะ แต่ไม่เพราะด้วยเป็นการอ่านด้นไปเรื่อยๆมีเล่นลูกคอคล้ายกับจะแหล่หรือร้อง ว่ากันตรงๆแล้วไม่สู้จะน่าสนใจเท่ากับเพลงหรือการเทศน์มหาชาติ และรู้สึกแปลกใจว่าทำไมจึงต้องบันทึกแผ่นเสียงอ่านหนังสือออกขาย แล้วจะขายดีหรือไม่ประการใด ล้วนเป็นเรื่องน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
ได้เรียนถามท่านผู้เฒ่าถึงเรื่องแผ่นเสียงอ่านหนังสือนี้ ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าคนในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น มีอยู่เป็นจำนวนมากที่อ่านหนังสือไม่ออกและเขียนหนังสือไม่ได้ หากจะมีจดหมายถึงใครก็ต้องไปจ้างให้เขาเขียนให้ โดยมีสถานที่รับจ้างอยู่หลายแห่ง ส่วนมากมักอยู่ในวัด โดยอาลักษณ์รับจ้างเหล่านี้จะเป็นผู้แต่งจดหมายให้มีข้อความตามที่ผู้จ้างต้องการ เรื่องรับจ้างเขียนหนังสือนี้จะเป็นผู้แต่งจดหมายให้มีข้อความตามที่ผู้จ้างต้องการ เรื่องรับจ้างเขียนหนังสือนี้ ผู้เขียนยังเคยเห็นคนจีนรับจ้างเขียนอยู่ที่ปากทางเข้าวัดเล่งเน่ยยี่ (หรือวัดมังกรกมลวาศ) ไม่ทราบว่าปัจจุบันยังมีเหลืออีกบ้างหรือไม่ ส่วนคนอื่นอ่านหนังสือไม่ออกก็มักจะไหว้วานให้ผู้ที่รู้หนังสือช่วยอ่านให้ฟังดังๆ แล้วมานั่งล้อมวงฟังพร้อมๆกันหลายคน เมื่อฟังหมดตอนแล้วรางวัลผู้อ่าน เช่น ให้เป็นขนมนมเนยบ้าง ให้เป็นเงินบ้าง ถ้ามีคนนั่งล้อมฟังมากก็จะได้เงินเป็นค่าตอบแทนสูงขึ้น ส่วนจะเป็นเงินเท่าไรนั้น ไม่แน่นอน
อันที่จริงการหนังสือให้ฟังของคนไทยนั้นคงจะมีมานานแล้วและอาจจะเป็นต้นกำเนิดของการขับเสภาก็ได้ เมื่ออ่านธรรมดาไปนานๆก็เบื่อ จึงต้องยักเยื้องให้เป็นทำนอง เป็นทำนองเสนาะ เป็นเสภา แล้วก็มาเป็นการร้องเพลงในวงดนตรีไทยนั้น เล่ากันว่า นักร้องชายหญิงหลายท่านเป็นคนอ่านหนังสือไม่ออกแต่ร้องเพลงยาวๆได้โดยวิธีการต่อเพลงจากครูแล้วจำไว้แต่เพียงอย่างเดียว มีแต่การจำไม่มีการจดบันทึกเพือกันลืม
แผ่นเสียงสมัยปลายรัชกาลที่ 5 นั้นท่านไม่ได้มีไว้ฟังแต่ในบ้านเท่านั้นแต่คนที่หัวใสมีวิธีการทำมาค้าขายกับแผ่นเสียงเหล่านี้ได้ โดยยกเครื่องไขลานออกไปนอกเมือง ไปตามตลาดต่อลำโพงยักษ์ขนาดใหญ่ ชนิดที่ต้องเอาโซ่ดึงห้อยแขวนไว้เข้ากับตัวเครื่อง เสียงก็ดังไปได้ไกล แล้วก็เปิดเพลงให้ชาวบ้านร้านตลาดฟัง เก็บเงินค่าฟังกันด้วยคนละเล็กละน้อย เมื่อฟังเพลงไปนานๆ ก็คงอยากจะฟังอย่างอื่นบ้าง จึงเปลี่ยนจากเพลงเป็นเทศน์บ้าง แล้วในที่สุดก็มีการอ่านหนังสือจากแผ่นเสียงปนมาด้วยจะมีความหลากหลายให้ฟัง ก็ในเมื่อเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่มีคนนิยมมากท่านก็เลยบันทึกเสียงอ่านหนังสือสุนทรภู่ลงจานเสียง ไขออกให้คนบ้านนอกฟัง เก้บสตางค์มาใช้ได้สะดวกสบายใจ เพราะชาวบ้านร้านตลาดนอกเมืองที่ห่างไกลนั้นคงจะหาคนอ่านหนังสือออกได้น้อยกว่าในเมืองหนักหนา เมื่อมีคนเอาเรื่องพระอภัยมณีมาเปิดเสียงให้ฟังก็คงจะมารุมล้อมฟังกันไม่น้อย ทั้งยังเป็นของแปลก อนึ่ง คนที่เทศนาดีๆอย่างพระสอนกรุงเก่า ใครๆก็อยากฟังเสียง เมื่อตัวไม่มา เสียงมาในแผ่น คนก็มารุมฟังกัน นับว่าได้มีการใช้สื่อกระจายเรื่องราวสู่กันให้ทราบได้ดีที่สุดในยุคนั้นซึ่งเป็นเวลาเกือบร้อยปีมาแล้ว
สำหรับนามของผู้อ่านหนังสือของพระอภัยมณี ที่ปรากฏบนแผ่นเสียงชื่อนายขวานและนายดำนั้น ปรากฎว่าชื่อบุคคลทั้งสองนี้ ได้พบเห็นเสมอจากแผ่นเสียงแหล่เทศน์ เพลงพื้นบ้านร่วมกับนายพัน แม่อิน แม่ผิว โดยเฉพาะนายขวานนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นดาราเรื่องแหล่เทศน์ เคยเทศน์เรื่องชูชกขึ้นต้นไม้คู่กับนายทองมา แต่ต้นสมัยรัชกาลที่ 5 และเมื่อเริ่มมีการบันทึกเสียงลงกระบอกเสียงแบบเอดิสัน ก็ได้ รับเลือกให้ " ตรอกเสียง " ลงกระบอกเรื่อยมา จนเมื่อมีการบันทึกเป็นแผ่นแบนชนิดหน้าเดียว นายทองกับนายขวานก็ได้บันทึกลงแผ่นทันทีด้วยเช่นกัน ที่น่าสังเกตคือแผ่นเสียงอ่านหนังสือ มักใช้ตราเดียวกับแผ่นเสียงเพลงพื้นบ้านเป็นประจำ คือตราของบริษัท Katz Brothers LTD. แต่มิได้ใช้ตราเป็นรูปนกกระยางเหลียวหลัง กลายเป็นตราปืนพกแทน ซึ่งดูตามตัวเลขแผ่นเสียงแล้วเห็นได้ชัดเจนว่า ตราปืนพกนั้นบันทึกทีหลังตรานกเหลียวหลังหลายร้อยแผ่นนอกจากนี้แผ่นรูปตราปืนยังพัฒนามีคำว่า " อับดุลลา " เป็นภาษาไทยเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
มีผู้เล่าด้วยวาจามิได้เห็นของจริง ว่าแผ่นเสียงอ่านหนังสือนี้ มิได้มีแต่เรื่องพระอภัยมณีเท่านั้น แต่มีเรื่องไกรทอง เรื่องขุนช้างขุนแผน เรื่องนี้ผู้เขียนไม่ยืนยัน แต่เรื่องไกรทองนั้นเป็นการว่าเพลงฉ่อยหรือเพลงทรงเครื่องเห็นจะมีแน่เพราะเคยได้เห็นแผ่น แต่ที่ว่าอ่านหนังสือไม่เคยพบ คุณเอนก นาวิกมูล เล่าว่านักเก็บสะสมแผ่นเสียงโบราณท่านหนึ่งชื่อคุณพงษ์พัฒน์ ชั้นประเสริฐ มีเพลงจำนวนพื้นบ้านมาก อาจจะมีแผ่นอ่านหนังสือบ้างหรือไม่ก็ไม่ทราบ
บทความฉบับนี้ ออกนอกทางดนตรีไป แต่มิได้หนีคำว่า " ลำนำแห่งสยาม " เพราะว่าการอ่านหนังสือบันทึกแผ่นเสียง ก็นับได้ว่าเป็นลำนำอย่างหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งผู้เขียนมีข้อมูลบรรยายเพียงเท่านี้
นายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล