ในการให้คำปรึกษา
บางกรณีอาจมีการต่อต้านเหมือนผู้ร้ายที่ไม่ชอบตำรวจ
จึงต้องอาศัยเทคนิคต่างๆมากมายเช่น
1.เทคนิคในการสร้างความสัมพันธภาพ เพื่อให้ผู้มีปัญหาเกิดความไว้วางใจ เกิดความอบอุ่น เกิดความมั่นใจว่า ผู้ให้คำปรึกษาเป็นมิตรมิใช่ศัตรู
และจะไม่มีการลงโทษหรือตำหนิผู้ที่มีปัญหา แต่เป็นผู้ที่พร้อมจะเข้าใจ เห็นใจ
และยอมรับในสิ่งที่ผู้มีปัญหาประสบอยู่ เทคนิคนี้จะแสดงออกด้วย คำพูด น้ำเสียง กิริยาท่าทาง ที่เมตตาอ่อนโยนและจริงใจ
2. เทคนิคในการฟัง
การฟังจะดูเป็นเรื่องธรรมดา
แต่แท้จริงเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนกันพอสมควร ทั้งนี้เพราะ
J คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทนฟังใครพูดนานๆได้
โดยเฉพาะผู้มีปัญหาที่อาจพูดวกไปเวียนมา พูดพล่ามไม่รู้จบ หรือไม่อาจพูดได้ราบรื่นเป็นปกติ
ฉะนั้นผู้ให้คำปรึกษาจะต้องฝึกให้อดทนฟังได้ และต้องแสดงให้รู้ว่า
เราฟังอย่างตั้งใจและให้ความสำคัญแก่ผู้พูด
J
คนส่วนใหญ่ฟังไม่เป็น
จับประเด็นสำคัญไม่ได้
และไม่เข้าใจความหมายและความรู้สึกที่อยู่เบื้องหลังคำพูดหรือกิริยาท่าทางที่แสดงออก
ฉะนั้นผู้ให้คำปรึกษาจึงต้องรู้จักฟัง รู้จักสังเกต
J คนส่วนใหญ่จะอึดอัดเมื่ออีกฝ่ายไม่พูด
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วความเงียบอาจมีความหมายหลายอย่าง เช่น ไม่มีเรื่องจะพูด เกิดความไม่พอใจ ไปสะกิดใจในเรื่องบางเรื่อง หรือกำลังคิด ฯลฯ
ฉะนั้นไม่ควรด่วนสรุป และไม่ควรเร่งรัดให้อีกฝ่ายต้องพูด
แต่ควรรอจังหวะที่เหมาะสม
3. เทคนิคการถาม
การถามเป็นศิลปะที่สำคัญมากในการให้คำปรึกษาเพราะถ้าถามไม่เป็น นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้ว ยังเป็นการทำลายบรรยากาศที่ดี เช่น การถามแบบสอบซัก เหมือน ทนายหรืตำรวจ หรือถามตรงๆ
ในเรื่องที่ค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่คนไม่ชอบเปิดเผย
การถามอาจแบ่งเป็นประเภทใหญ่
2 ประเภทคือ ปลายปิดและปลายเปิด
J ปลายปิด คือ คำถามที่กำหนดให้ตอบในลักษณะสั้นๆ
เช่นใช่ ไม่ใช่ ซึ่งไม่ช่วยให้
เราทราบข้อมูลหรือความรู้สึกมากนัก
J
ปลายเปิด คือ คำถามที่เปิดกว้าง
ให้ผู้ตอบแสดงออกได้เต็มที่ ทำให้ทราบ
ข้อมูลหรือความรู้สึกได้กว้างขวาง
อันจะเป็นประโยชน์ในการที่ผู้มีปัญหาได้ระบายออกอย่างเต็มที่
และผู้ให้คำปรึกษาจะได้เข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง
นอกจากนี้ยังมีคำถามประเภทต่างๆ
เช่น ถามตรงๆ
ถามแบบอ้อมๆ ถามให้ คิด
วิเคราะห์
ถามให้สรุปความ
ถามให้อภิปราย เป็นต้น
การถามควรมีจังหวะพอสมควร ไม่ใช่ถามติดๆ กัน
หรือป้อนคำถามทีเดียวหลายคำถาม
ซึ่งทำยากที่ผู้ตอบจะลำดับความคิดได้ทัน
4. เทคนิคการให้กำลังใจ
ในบางกรณีนักเรียนอาจรู้สึกว่าตนไม่มีค่า ไม่ได้รับความสำเร็จ
และอยู่ในสภาพที่อ่อนล้าหมดกำลังใจ
ในกรณีนี้ผู้ให้คำปรึกษาควรจะให้กำลังใจ
ให้ผู้มีปัญหาเห็นคุณค่าในบางส่วนที่ตนมองข้าม
หรือปลุกปลอบให้รู้จักสร้างความหวังและกำลังใจ โดยกระตุ้นให้เห็นทางเลือกใหม่ๆ
หรือให้เห็นตัวอย่างจากกรณีของบุคคลอื่นที่ผ่านความล้มเหลวมาก่อน
หรือการให้พิจารณาความจริงของชีวิตที่ต้องมีการต่อสู้เพื่อการพัฒนา เป็นต้น
5. เทคนิคในการสะท้อนคำพูด
บางครั้งผู้พูดเอง ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า
ตนเองมีความต้องการอย่างไรกันแน่
จึงพูดไปเรื่อยๆ และสับสนวกวน
จับต้นชนปลายไม่ถูก
ผู้ให้คำปรึกษาจึงต้องรู้จักสะท้อนคำพูดเหมือนกับสะท้อนภาพ
ให้ผู้พูดได้รู้จักความคิดและความรู้สึกของตนเองหรือรู้สึกตัวว่าได้พูดอะไรออกไปบ้าง
และสิ่งที่พูดนั้นเป็นสาระที่แท้จริง
มีความหมายตามที่พูดจริงหรือไม่
6.
เทคนิคในการทำความกระจ่างกับคำพูด ในบางครั้งการสื่อความอาจไม่ชัดเจนซึ่งเกิดจากการขาดทักษะในการสื่อความของผู้พูด
หรืออาจเนื่องจากผู้พูดเองไม่มีความกระจ่างในตนเอง
ฉะนั้นผู้ให้คำปรึกษาจึงต้องให้ผู้พูดแปลความหรือสรุปความ
หรืออภิปรายแยกแยะประเด็นคำพูดให้ชัดเจน ซึ่งจะทำให้ผู้พูดเข้าใจตนเองชัดขึ้น
และผู้ฟังก็จะเข้าใจผู้พูดถูกต้องยิ่งขึ้น
7. เทคนิคในการแสดง อาการยอมรับ เข้าใจ เห็นใจ ผู้พูด นอกจากเทคนิคในการรับฟัง และการใช้คำพูดทั้งในด้านการกระตุ้นให้ผู้พูดแสดงออกและให้ผู้พูดเข้าใจในความคิดความรู้สึกจากคำพูดและการแสดงออกของตนเองแล้ว ผู้รับฟัง คือ ผู้ให้คำปรึกษาควรจะได้แสดงออกให้ผู้พูดทราบว่า ตนกำลังรับฟังด้วยความตั้งใจ ยอมรับ เข้าใจและเห็นใจในตัวผู้พูด เช่น พยักหน้า การมองด้วยสายตาอ่อนโยน เพื่อผู้พูดจะได้เกิดความอบอุ่น และกล้าแสดงออกมากขึ้น หรือกล้า วิเคราะห์วิจารณืตนเองมากขึ้น เพราะมั่นใจว่าผู้ให้คำปรึกษายอมรับและเข้าใจ ไม่ประณามลงโทษซ้ำเติมเหมือนคนอื่นๆ
8. เทคนิดในการเผชิญหน้ากับความจริง คนที่มีปัญหาส่วนมากมักไม่กล้าเผชิญความจริง แม้ว่าบางครั้งจะเป็นการช่วยให้บุคคลนั้นมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง แต่การไม่ยอมรับความจริงนี้ จะเป็นอุปสรรคทำให้บุคคลนั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นได้ จึงจำเป็นที่ผู้ให้ปรึกษาจะต้องใช้วิธีการทำให้บุคคลนั้นมีความกล้าที่จะยอมรับความจริง ยอมรับข้อบกพร่อง ยอมรับสิ่งเปลี่ยนแปรงไป ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมชาติของชีวิตที่ไม่มีความสมบูรณืเที่ยงแท้ถาวร ทั้งนี้ผู้ให้คำปรึกษาจะต้องมีท่าทียอมรับทั้งด้านดีและไม่ดีจึงจะทำให้ผู้ขอรับคำปรึกษากล้าที่จะเปิดเผย และแก้ไขสิ่งที่ตนไม่ยอมรับเหล่านั้น