ถาม ตอบ เกี่ยวกับ ยาเม็ดคุมกำเนิด
โดย .... ภญ. ผศ.วรรณดี แต้โสตถิกุล
Q
ยาเม็ดคุมกำเนิดคืออะไร ?
A
ยาเม็ดคุมกำเนิด
คือ ยาเม็ดที่ใช้กินเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ยาเม็ดคุมกำเนิดส่วนใหญ่
ประกอบด้วยฮอร์โมน 2
ชนิด คือ
เอสโตรเจน และโปรเจสติน แต่ยาเม็ดคุมกำเนิด
บางชนิด อาจมีเพียงฮอร์โมนชนิดเดียวก็ได้ ยาเม็ดคุมกำเนิดจะบรรจุในแผง มีทั้งแผงละ
21 เม็ด และ 28 เม็ด
ซึ่งมีวิธีใช้แตกต่างกันไป การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดต้องใช้ให้
เหมาะสม
ยาจึงจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้เต็มที่
Q
ยาเม็ดคุมกำเนิดป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างไร ?
A
ยาเม็ดคุมกำเนิดส่วนใหญ่ป้องกันการตั้งครรภ์
โดยยับยั้งการเจริญเติบโตของไข่ การสุก
ของไข่ และการตกไข่
ยาเม็ดคุมกำเนิดบางชนิดป้องกันการตั้งครรภ์โดยเปลี่ยนแปลงโครง
สร้างของผนังมดลูก (ทำให้ไม่เหมาะในการฝังตัวและเจริญเติบโตของไข่ที่ได้รับการผสม
แล้ว) และเพิ่มความหนืดของน้ำเมือกปากมดลูก
(ทำให้น้ำอสุจิเข้าไปในมดลูกได้ยาก)
Q
ยาเม็ดคุมกำเนิดมีการใช้มานานเท่าใด ?
A
เริ่มแรกมีการทดลองใช้ในประเทศอเมริกาและเปอร์โตริโกในปี พ.ศ. 2498 (ค.ศ. 1955)
และมีการขายอย่างแพร่หลายในประเทศอเมริกา และประเทศต่าง ๆ มากมาย ในปี
พ.ศ.
2503 (ค.ศ. 1960) ประเทศไทยเริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดเมื่อ
พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962)
Q
ประโยชน์ของยาเม็ดคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง ?
A
ยาเม็ดคุมกำเนิดมีประโยชน์ในทางการแพทย์ คือ
-
ป้องกันการตั้งครรภ์เพื่อการวางแผนครอบครัว
-
ป้องกันการตั้งครรภ์จากการมีเพศสัมพันธ์ชั่วคราวหรือถูกข่มขืน
-
รักษาโรคประจำเดือนมากกว่าปกติ
ประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ
-
รักษาโรคของผนังมดลูก
-
รักษาโรคปวดก่อนมีประจำเดือนและปวดขณะมีประจำเดือน
-
รักษาอาการตกเลือดและเยื่อบุมดลูกหนา
-
รักษาสิว
-
ใช้เลื่อนประจำเดือน
Q
ประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิดในการป้องกันการตั้งครรภ์เป็นอย่างไรบ้าง
?
A
ยาเม็ดคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพสูงมาก ถ้ากินสม่ำเสมอ
ถูกต้องเหมาะสม (การตั้งครรภ์
ในขณะที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
ชนิดรวมมีโอกาสน้อยกว่า 2% ต่อปี
ส่วนชนิดฮอร์โมนเดียว
ขนาดน้อยมีโอกาสตั้งครรภ์น้อยกว่า
3% ต่อปี
Q
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวมคืออะไร ?
A
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม คือ ยาเม็ดคุมกำเนิดที่ประกอบด้วยฮอร์โมน
2 ชนิด คือ เอสโตร
เจนและโปรเจสติน อยู่ในเม็ดเดียวกัน มีทั้งชนิดแผงละ 21 เม็ด และ 28 เม็ด
ยาเม็ดคุม
กำเนิดชนิดรวมมีความแตกต่างกันในแต่ละชื่อการค้า และมีชนิดและปริมาณฮอร์โมน
แตกต่างกันไป
ซึ่งในการเลือกใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ควรได้รับคำแนะนำ
จากผู้มีความรู้เรื่องยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นอย่างดี (แพทย์ เภสัชกร เจ้าหน้าที่สาธารณสุข
ผู้ขายยา)
Q
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวขนาดน้อยคืออะไร ?
A
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวขนาดน้อย เป็นชื่อยาเม็ดคุมกำเนิดที่ประกอบด้วย
ฮอร์โมนโปรเจสตินขนาดต่ำในจำนวนเท่ากันทุกเม็ดโดยให้กินติดต่อกันทุกวันไม่มีวันหยุด
ตลอดการคุมกำเนิด
ปัจจุบันยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวขนาดน้อยบรรจุในแผง
28 เม็ด ที่มีจำหน่ายในประเทศไทย คือ
เอสลูตอน (Exluton)
ไมโครลูท (Microlut)
Q
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวขนาดน้อย
มีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง ?
A
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวขนาดน้อยมีข้อดี ได้แก่
-
ใช้ได้ในสตรีที่มีข้อห้ามในการให้เอสโตรเจน
หรือทนต่อเอสโตรเจนไม่ได้
-
เหมาะที่จะใช้ในสตรีที่กำลังให้นมบุตร
เพราะโปรเจสตินไม่กดการหลั่งน้ำนม
-
ใช้ได้ในสตรีที่เป็นโรคเบาหวาน
-
ไม่ทำให้เกิดฝ้า น้ำหนักตัวไม่เพิ่ม
และไม่เกิดโรคแทรกซ้อนเกี่ยวกับการอุดตันของหลอดเลือด
ข้อเสีย ได้แก่
-
พบความผิดปกติของรอบประจำเดือนได้บ่อย
เช่น เลือดออกกะปริบกะปรอย ประจำเดือนมาไม่ตรงกำหนด หรือประจำเดือนขาด
แต่ความผิดปกติดังกล่าวนี้จะหายได้เอง
โดยไม่ต้องรักษาและไม่เกิดอันตรายแต่อย่างใด
-
ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดไม่ดีเท่ายาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม
ถ้าลืมกินยาจะมีการตั้งครรภ์ได้ง่ายและมีรายงานว่าจะเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้มากกว่าปกติ
Q
ยาเม็ดคุมกำเนิดหลังร่วมเพศคืออะไร ?
A
ยาเม็ดคุมกำเนิดหลังร่วมเพศ
เป็นยาเม็ดคุมกำเนิดที่ใช้ในการป้องกันตั้งครรภ์จากการมี
เพศสัมพันธ์ชั่วคราวหรือถูกข่มขืน
หรือการคุมกำเนิดล้มเหลว เช่น เกิดการฉีกขาดของถุง
ยางอนามัย ลืมกินยาคุมกำเนิด
เป็นต้น
วิธีใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดหลังร่วมเพศ
-
กินยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม
2 เม็ดทันที หรือภายใน 72
ชั่วโมงหลังร่วมเพศ ตามด้วยอีก 2 เม็ด 12
ชั่วโมงต่อมา ตัวอย่างยาที่ใช้ ได้แก่ ยูไกนอน (Eugynon), ออฟรอล (Ovral), นอร์ดิออล (Nordiol)
-
ใช้โปรเจสตินขนาดสูง ๆ กิน
1 เม็ดหลังร่วมเพศภายใน 1 ชั่วโมง
(ใช้ได้สัปดาห์ละ 1 เม็ดและไม่เกิน 4
เม็ดต่อเดือน) ตัวอย่างยาที่ใช้ ได้แก่ โพสทินอร์
(Postinor)
ยาเม็ดคุมกำเนิดหลังการร่วมเพศนี้
ไม่ควรนำมาใช้เป็นยาคุมกำเนิดตามปกติ เพราะมีส่วนประกอบของฮอร์โมนขนาดสูง
จึงเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายและอาการข้างเคียงต่าง ๆ สูง
Q
ผู้ที่มีโรคประจำตัวใดบ้าง ที่ไม่ควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
?
A
ผู้หญิงส่วนมากสามารถใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดได้
แต่ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางโรคไม่ควรใช้ยา
เม็ดคุมกำเนิด เพราะยาเม็ดคุมกำเนิด
อาจทำให้โรคประจำตัวนั้นรุนแรงขึ้นได้ ผู้ที่เป็นโรค
ประจำตัวที่ไม่ควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
คือ ผู้ที่เป็นโรคตับ มะเร็งตับ โรคมะเร็งเต้านม หรือ
มะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์อื่น ๆ
ผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดดำอักเสบหรือมีหลอดเลือดดำอุด
ตัน เส้นเลือดดำขอด โรคไมเกรน
หรือปวดศีรษะอย่างรุนแรง และผู้ที่มีเลือดออกทางช่อง
คลอดโดยยังไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัย
Q
ผู้ใดบ้างที่ต้องใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดอย่างระมัดระวัง
?
A
ผู้ที่อายุเกิน
40 ปี อ้วนมาก สูบบุหรี่จัด (มากกว่าวันละ 15 มวน) ความดันโลหิตสูง เป็น
โรคของถุงน้ำดี ท่อน้ำดีอุดตัน
ผู้ที่กำลังให้นมบุตร ผู้ที่จะผ่าตัดใหญ่ บุคคลเหล่านี้สามารถ
ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดได้
แต่ต้องระมัดระวัง เพราะอาจเกิดอันตรายได้หากใช้ไม่ถูกชนิดกับ
โรคนั้น ๆ
เนื่องจากตัวยาบางชนิดที่อยู่ในยาเม็ดคุมกำเนิดบางชนิดทำให้โรคเหล่านี้รุนแรง
ได้ คนเหล่านี้อาจใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
ชนิดที่มีโปรเจสตินเพียงตัวเดียว และปริมาณโปร
เจสตินต่ำได้ เช่น เอสลูตอน
(Exluton)
Q
ผู้หญิงอายุเท่าใดไม่ควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด ?
A
ยาเม็ดคุมกำเนิดสามารถใช้ได้ในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์
ตั้งแต่เริ่มต้นมีประจำเดือน แต่
สำหรับผู้ที่มีอายุเกิด
35-40 ปี
ควรใช้อย่างระมัดระวังและควรให้แพทย์ตรวจร่างกายอย่าง
สม่ำเสมอ เพราะผู้ที่มีอายุมาก ๆ
จะมีความเสี่ยงต่ออาการข้างเคียงต่าง ๆ ของยาเม็ดคุม
กำเนิดมากกว่าผู้ที่มีอายุน้อย เช่น
อาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบเลือดความดันโลหิตสูง
โรคหัวใจล้มเหลว
โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่ยิ่งมีความเสี่ยงต่ออาการข้างเคียงเหล่านี้มากขึ้น
Q
การกินยาเม็ดคุมกำเนิดแผงแรก
สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ในเม็ดแรกของการกินหรือ
ไม่ ?
A
ไม่ได้
ในการเริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดแผงแรกหรือเดือนแรก
ยาจะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้
หลังจากการกินยาไปแล้ว ประมาณ
10-14 วัน
ดังนั้นควรใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย
อย่างน้อย 2 สัปดาห์ (เช่น
ใช้ถุงยางอนามัยขณะที่มีเพศสัมพันธ์) แต่ในเดือนต่อไปไม่จำ
เป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นอีก
ยกเว้นในกรณีที่ลืมกินยาหรือมีสาเหตุใด ๆ ที่ทำให้ประสิทธิ
ภาพของยาลดลง
Q
ยาเม็ดคุมกำเนิดต้องกินทุกวันไหม ?
A
ยาเม็ดคุมกำเนิดส่วนใหญ่ต้องกินติดต่อกันทุกวัน
จึงจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการ
ตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่อาจจะหยุดกินได้ตามกำหนด เช่น หยุดกิน 7 วัน
สำหรับแผงยา 21 เม็ด แล้วจึงเริ่มกินยาแผงต่อไป
หรือกินยาแผงใหม่ต่อไปโดยที่ไม่ต้อง
หยุด สำหรับแผงยา 28 เม็ด
ทั้งนี้แล้วแต่ชนิดของยา
Q
วิธีการกินยาเม็ดคุมกำเนิดจะกินอย่างไร ?
A
ยาเม็ดคุมกำเนิดแต่ละชนิดมีวิธีการกินต่าง ๆ กัน
สำหรับการเริ่มกินยาแผงแรกมี 2 วิธี คือ
กินยาวันที่ 1 หรือวันที่ 5 ของรอบเดือน
การกินยาวิธีไหนจะขึ้นกับชนิดของยาเช่น ยาเม็ด
คุมกำเนิดแผงละ 21 เม็ด มักจะเริ่มกินวันที่ 5 ของรอบเดือน ส่วนชนิดแผงละ
28 เม็ด จะ
เริ่มกินยาวันที่ 1 ของรอบเดือน การนับวันที่ในรอบเดือน
ให้นับวันที่ประจำเดือนมาเป็นวัน
แรกเป็นวันที่ 1 เช่น ประจำเดือนเริ่มมาวันที่
5 ธันวาคม วันที่ 1 ของรอบเดือน คือวันที่ 5
ธันวาคม และวันที่ 5 ของรอบเดือน คือวันที่ 9 ธันวาคม
Q
จะเริ่มกินยาเม็ดไหนบนแผงยาเม็ดคุมกำเนิด ?
A
การจัดเรียงยาบนแผงและการกำหนดให้เริ่มกินยาที่เม็ดไหนบนแผงนั้น ขึ้นกับบริษัทผู้
ผลิต บางชนิดให้กินยาตามวันในสัปดาห์
โดยเริ่มกินยาในส่วนที่กำหนดให้ เช่น ให้เริ่มกิน
ยาจากพื้นที่ที่มีสีแดงและบนเม็ดยาแต่ละเม็ดจะมีวันที่ในสัปดาห์กำกับไว้
เมื่อจะเริ่มกิน
วันไหนก็ให้กินให้ตรงกับเม็ดยาที่ตรงกับวันนั้น เช่น จะกินยาในวันพุธ
ก็ให้เริ่มกินยาที่เม็ด
วันพุธแล้วก็กินยาต่อไปเรื่อย ๆ
ตามลูกศร ยาเม็ดคุมกำเนิดบางชนิด ก็ไม่มีวันกำกับที่
เม็ดยา
ดังนั้นผู้ที่กินยาต้องเริ่มกินจากเม็ดที่เขียนไว้ว่า เริ่มตรงนี้
แล้วกินยาตามลูกศร
ไปเรื่อย ๆ จนหมด
และต้องคอยสังเกตเอาเองว่าควรกินยาถึงเม็ดไหนแล้ว ลืมกินยา
บ้างไหม ?
Q
ช่วงที่กินยาหมดแผงแล้วหยุดกินยา 7 วัน จะสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ไหม
?
A
ช่วงที่กินยาหมดแผงแล้ว หยุดกินยา 7 วัน
สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้โดยที่ไม่ต้องกังวลว่า
จะเกิดการตั้งครรภ์
หากใช้ยาอย่างถูกวิธี
เพราะในช่วงที่หยุดกินยานั้นเป็นช่วงที่ประจำ
เดือนมา
ซึ่งตามปกติช่วงนี้จะไม่มีการตกไข่อยู่แล้ว จึงไม่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์
แม้ว่าจะมี
เพศสัมพันธ์ก็ตาม
แต่หากลืมกินยาในระหว่างที่กำลังกินยาในแผงอยู่อาจเกิดการตั้งครรภ์
ได้เพราะช่วงที่กำลังกินยานั้นเป็นช่วงที่ผู้หญิงกำลังมีการตกไข่
จึงต้องใช้ยาคุมกำเนิด
ยับยั้งการตกไข่ ดังนั้นการลืมกินยา
1-2 เม็ด
ก็อาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้
Q
การกินยาเม็ดคุมกำเนิด จำเป็นต้องกินเวลาเดียวกันทุกวันหรือไม่
?
A
การกินยาเม็ดคุมกำเนิดควรกินเวลาเดียวกันติดต่อไปทุกวัน
เพื่อทำให้ระดับของยาใน
เลือดสม่ำเสมอ ตลอดเวลา
เวลาที่เหมาะสมที่สุด คือ หลังอาหารหรือก่อนนอน เพราะจะ
ช่วยลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
ที่เกิดจากยาเม็ดคุมกำเนิดได้
Q
อาการข้างเคียงของยาเม็ดคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง ?
A
ผู้ที่กินยาเม็ดคุมกำเนิดส่วนมากไม่มีอาการอะไรผิดปกติ
แต่มีบางรายที่อาจมีอาการปวด
ศีรษะและเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
มีเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างกินยาเม็ดคุม
กำเนิดหรือก่อนมีประจำเดือน
มีประจำเดือนมากหรือน้อยผิดปกติ เมื่อมีอาการเหล่านี้เกิด
ขึ้นไม่ต้องกังวลใจให้กินยาต่อไปตามปกติ
เพราะอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นใน 2-3 เดือนแรก
ซึ่งร่างกายกำลังปรับตัวอยู่เท่านั้น
ต่อไปจะหายไปเอง แต่ถ้ามีอาการมากจนทนไม่ได้จะ
ต้องเปลี่ยนยา
Q
อาการที่อันตราย เนื่องจากการกินยาเม็ดคุมกำเนิดมีอย่างไรบ้าง
?
A
ผู้ที่กำลังกินยาเม็ดคุมกำเนิดและมีอาการต่อไปนี้
ต้องหยุดกินยาและรีบไปหาแพทย์โดย
ทันที
เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นอันตรายได้ อาการเหล่านี้คือ การคลื่นไส้
อาเจียนรุน
แรง ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
เจ็บหน้าอกและหายใจขัด ตาพร่ามัว มองภาพเดียวแต่เห็น
เป็นสองภาพ
ปวดน่องและปวดที่ต้นขาอย่างรุนแรง ปวดท้องอย่างมาก
Q
ผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดอยู่และต้องการตั้งครรภ์ ควรปฏิบัติอย่างไร
?
A
ผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดอยู่ต้องการจะตั้งครรภ์ควรหยุดกินยาเม็ดคุมกำเนิดประมาณ
3
เดือนก่อนที่จะตั้งครรภ์ในระหว่าง
3 เดือนนี้ ถ้าต้องการมีเพศสัมพันธ์
ควรใช้วิธีอื่นป้องกัน
การตั้งครรภ์ เช่น ใส่ถุงยางอนามัย
การที่ต้องหยุดกินยาก่อนตั้งครรภ์นี้ เพื่อป้องกันไม่ให้
ทารกที่อยู่ในครรภ์ได้รับอันตรายจากยาเม็ดคุมกำเนิด
และเพื่อให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาพ
ปกติอย่างสมบูรณ์
Q
หลังจากคลอดบุตรแล้ว ควรจะเริ่มกินยาเม็ดคุมกำเนิดเมื่อไร
?
A
หลังจากคลอดบุตรแล้วผู้ที่ไม่ได้ให้นมบุตรสามารถเริ่มกินยาเม็ดคุมกำเนิดได้ประมาณ
1
เดือนหลังคลอด
การกินยาเม็ดคุมกำเนิดหลังจากคลอดทันที่อาจมีอันตรายเกี่ยวกับระบบ
การแข็งตัวของเลือดในเส้นเลือดดำได้
และช่วง 1
เดือนแรกหลังจากคลอดร่างกายจะมีกล
ไกทำให้ไม่มีการตั้งครรภ์อยู่แล้ว
จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดในช่วงนี้
Q
ผู้ที่ให้นมลูกอยู่จะกินยาเม็ดคุมกำเนิดได้ไหม ?
A
ตัวยาในยาเม็ดคุมกำเนิดสามารถผ่านจากน้ำนมแม่ออกทางน้ำนมให้ลูกกินได้
โดยเฉพาะ
ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวมแต่สามารถใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีตัวยาเพียงชนิดเดียวและมี
ปริมาณตัวยาน้อย ๆ เช่น
Exluton
ได้
เพราะตัวยาสามารถผ่านทางน้ำนมไปสู่ลูกได้น้อย
หรืออาจจะเลี่ยงไปใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น
เช่น ใช้ถุงยางอนามัยแทนการกินยาเม็ดคุมกำเนิดก็
ได้
เมื่อหยุดให้นมลูกแล้วจึงมาเริ่มกินยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม
Q
ผู้ที่จะทำการผ่าตัดต้องหยุดใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดไหม ?
A
ผู้ที่จะทำการผ่าตัดต้องพักอยู่บนเตียงนาน ๆ
ควรหยุดกินยาเม็ดคุมกำเนิดก่อนผ่าตัด
อย่างน้อย 1 เดือน
ควรหยุดกินยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม เพราะมีตัวยาบางตัวในยาเม็ด
คุมกำเนิด
ชนิดนี้ที่อาจทำให้เกิดภาวะอุดตันในหลอดเลือดดำหลังการผ่าตัดได้
อย่างไรก็
ตามอาจใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดบางชนิดได้
โดยที่ไม่ทำให้เกิดภาวะดังกล่าว เช่น ยาเม็ดคุม
กำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยวขนาดน้อย
(Exluton)
Q
การใช้ยาอื่นร่วมกับยาเม็ดคุมกำเนิด อาจทำให้ตั้งครรภ์ได้หรือไม่
?
A
เวลาเจ็บไข้ไม่สบายและไปหาหมอขณะที่สตรีผู้นั้นกำลังใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดอยู่
ควรบอก
หมอด้วยว่ากำลังใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดอยู่
เพราะถ้าได้รับยาอื่นมากินด้วย อาจทำให้สตรีผู้
นั้นตั้งครรภ์ได้
เนื่องจากมียาหลายชนิดที่สามารถไปลดประสิทธิภาพของยาเม็ดคุมกำเนิด
ได้เมื่อให้ยาร่วมกัน เช่น
ยาต้านเชื้อแบคทีเรีย ยารักษาวัณโรค ยารักษาหรือป้องกันโรคชัก
ซึ่งทำให้ผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
ร่วมกับยาเหล่านี้มีเลือดออกกะปริบกะปรอยและอาจเกิด
การตั้งครรภ์ได้
ดังนั้นในระหว่างที่กินยาเหล่านี้ต้องใช้วิธีอื่น เช่น ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย
สำหรับผู้ที่เป็นโรควัณโรคหรือเป็นโรคลมชัก
ซึ่งต้องใช้ยารักษาเป็นเวลานาน ๆ ควรใช้วิธี
คุมกำเนิดอื่นแทนยาเม็ดคุมกำเนิด
Q
การสูบบุหรี่มีผลต่อการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดหรือไม่
?
A
การสูบบุหรี่
จะเพิ่มภาวะเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดได้ เช่น
ทำให้เกิด
ภาวะต่อไปนี้ได้ง่ายขึ้น คือ
ภาวะความดันโลหิตสูง การแข็งตัวของเลือดในเส้นเลือดดำผิด
ปกติ การทำงานของหัวใจผิดปกติ
โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากและสูบบุหรี่ด้วยจะยิ่งเพิ่ม
ภาวะเสี่ยงในการเกิดภาวะเหล่านี้ได้มากขึ้น
ดังนั้นผู้ที่กินยาเม็ดคุมกำเนิดไม่ควรสูบบุหรี่
Q
ผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นประจำ ควรตรวจร่างกายทุกปีไหม
?
A
ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นยาที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยตัวหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม
ยาย่อมมีทั้งคุณ
และโทษเสมอ
จนอาจทำให้เกิดปัญหาแก่ผู้ใช้ยาได้
เพื่อความปลอดภัยกับผู้ที่ทำให้เกิด
ปัญหาแก่ผู้ใช้ยาได้
เพื่อความปลอดภัยกับผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นครั้งแรก
ควรกลับไป
ปรึกษาแพทย์ที่สั่งจ่ายยาแก่ท่านในระยะ
3 เดือน และ 6 เดือน หลังจากเริ่มใช้ยา
และต่อ
ไปควรตรวจร่างกายปีละครั้ง
เพื่อตรวจเช็คอาการต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากการใช้ยา
เม็ดคุมกำเนิด แต่ถ้ามีอาการผิดปกติใด ๆ
ท่านอาจจะไปปรึกษาแพทย์ก่อนได้
Q
ในช่วงที่หยุดกินยา เพื่อรอให้มีประจำเดือน
แต่ประจำเดือนไม่มาควรทำอย่างไร ?
A
ปกติการกินยาชนิดแผงละ 21 เม็ดนั้น
ในช่วงที่หยุดกินยา ควรมีประจำเดือนมา และ
สำหรับการกินยาชนิด 28 เม็ดนั้น
ในช่วงที่กำลังกินเม็ดที่ไม่มีตัวยาคุมกำเนิดก็ควรมี
ประจำเดือน
หากในการกินยาแผงแรกโดยที่ไม่ได้ลืมกินยาและไม่มีประจำเดือนในช่วงนี้
ให้กินยาต่อไปได้เลย
เพราะในตอนต้นนี้ร่างกายกำลังปรับตัวอยู่ อาจทำให้ระบบประจำ
เดือนผิดปกติไปบ้าง แต่ถ้ากินยาครบ
2 แผง
แล้วประจำเดือนยังไม่มาให้พบแพทย์เพื่อ
ตรวจสอบการตั้งครรภ์
แต่หากเคยกินยามาแล้วหลายแผงและที่ผ่านมา ช่วงที่หยุดกินยาก็
มีประจำเดือนมาเป็นปกติ แต่ประจำเดือน
เกิดไม่มาในช่วงที่หยุดกินให้รีบไปพบแพทย์
เพราะอาจเกิดการตั้งครรภ์แล้ว
Q
เมื่อลืมกินยาเม็ดคุมกำเนิดควรปฏิบัติอย่างไร ?
A
1. ถ้าลืมกินยา 1 เม็ด
ให้กินทันทีที่นึกได้ และกินเม็ดต่อไปตามเวลาปกติ
2. ถ้าลืมกินยา 2
เม็ดติดต่อกัน ให้กินยาวันละ 2 เม็ด
ติดต่อกัน 2 วัน แล้วให้กินยาต่อไป
ตามปกติจนหมดแผง
และควรใช้วิธีคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ถุงยางอนามัย
จนกว่าจะเริ่มกินยาแผงใหม่
3. ถ้าลืมกินยา 3
เม็ดติดต่อกัน (ลืมกินยา
3 วัน) ให้หยุดยาแผงนั้นแล้วทิ้งที่เหลือไป
ไม่ว่า
จะตกเลือดหรือไม่
แล้วให้เริ่มกินยาแผงใหม่หลังจากการกินยาเม็ดสุดท้ายแล้ว 7 วัน และ
ให้ใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย
อย่างน้อย 2
สัปดาห์ของการใช้ยาแผงใหม่
Q
วิธีช่วยไม่ให้ลืมกินยาเม็ดคุมกำเนิดจะทำอย่างไร ?
A
การลืมกินยาเม็ดคุมกำเนิด อาจทำให้ตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจได้
เทคนิคที่จะทำให้จำได้มี
หลายวิธีด้วยกัน เช่น
อาจผูกแผงยาคุมกำเนิดไว้กับแปรงสีฟัน เมื่อแปรงฟันก่อนนอนก็จะ
เห็นแผงยาทันที
หรือวางแผงยาเม็ดคุมกำเนิดไว้ใกล้ ๆ กับที่นอนที่สามารถเห็นได้ง่ายและหยิบได้ง่าย
ก่อนนอนก็กินยา 1 เม็ด
เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาทุกเช้าก็ให้ดูว่าได้กินยาเม็ดของเมื่อค้นไปแล้วหรือยัง
ถ้ายังก็ให้กินทันทีแต่ต้องระวังเด็ก
หากมีเด็กอยู่ด้วยควรป้องกันไม่ให้เด็กหยิบยาได้
Q
หากเกิดอาเจียนหรือท้องเสีย
A
หากกินยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีตัวยาแล้วอาเจียนหรือท้องเสียอย่างรุนแรง
หลังจากกินยาเม็ด
คุมกำเนิดไม่เกิน 2 ชั่วโมง ควรกินยาเพิ่มอีก 1 เม็ด
เพราะยาเม็ดที่กินไปก่อนอาเจียนหรือ
ท้องเสียนั้นยังไม่ทันถูกดูดซึมสมบูรณ์ก็ถูกขับออกมากับอาเจียนหรืออุจจาระแล้ว
การกิน
ยาเพิ่มเติมนี้ให้กินยาแผงสำรองในกรณีที่เป็นยาที่มีฮอร์โมนต่างกัน
3 ระดับต้องกินยาเม็ด
ที่มีตัวยาที่ตรงกับเม็ดที่กินไปก่อนอาเจียนหรือท้องเสียนั้น
ไม่ควรกินจากแผงยาปกติที่
กำลังกินอยู่ เพราะจะทำให้สับสน
และต้องได้รับเม็ดยาที่มีตัวยาที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
ได้สมบูรณ์ให้ครบทุกเม็ดในแต่ละแผง
หากกินจากแผงปกติก็จะทำให้ได้ยาไม่ครบตามที่
กำหนด
Q
ระหว่างกินยาเม็ดคุมกำเนิดอยู่ และมีเลือดออกกะปริบกะปรอย
จะทำอย่างไร ?
A
การมีเลือดออกกะปริบกะปรอยในขณะที่กำลังกินยาเม็ดคุมกำเนิดอยู่
เมื่อกินยาในเดือน
แรกถือเป็นเรื่องปกติ
แต่หากท่านกินยาไปแล้ว 2 เดือน
แต่ยังมีอาการเลือดออกอยู่ให้
เปลี่ยนยา
เพราะอาจเกิดจากยานั้นไม่เหมาะสมกับผู้ใช้ยาคนนั้น
นอกจากนี้การมีเลือด
ออกกะปริบกะปรอยนี้
อาจเกิดจากการลืมกินยา การกินยาอื่นที่ลดประสิทธิภาพของยา
เม็ดคุมกำเนิดและการอาเจียนหรือท้องเสียหลังจากกินยาแล้วไม่ถึง
2 ชั่วโมง
Q
ระหว่างกินยาเม็ดคุมกำเนิดแล้วน้ำหนักเพิ่มรู้สึกตัวบวม ๆ
และคัดเต้านมจะทำอย่างไร ?
A
ระหว่างกินยาเม็ดคุมกำเนิดแล้วน้ำหนักเพิ่ม รู้สึกตัวบวม ๆ
และคัดเต้านมนี่เป็นอาการ
ข้างเคียงของยาเม็ดคุมกำเนิดที่อาจพบได้ในบางคน
ผู้ที่มีอาการเช่นนี้ควรลดอาหารที่มี
เกลือ และหากใช้ยาไปแล้ว
3 เดือน อาการยังไม่ดีขึ้นต้องเปลี่ยนยา
โดยให้เปลี่ยนเป็นยา
ที่มีเอสโตรเจนลดลงหรือยาที่มีเฉพาะโปรเจสโตรเจนเพียงอย่างเดียว
Q
ระหว่างกินยาเม็ดคุมกำเนิดแล้ว มีสิวและฝ้าขึ้นจะทำอย่างไร
?
A
การกินยาเม็ดคุมกำเนิด อาจทำให้เกิดสิวหรือฝ้าได้ในบางคน
ซึ่งเป็นอาการข้างเคียงของ
ยาเม็ดคุมกำเนิด
หากมีสิวหรือฝ้ามากจนทำให้ผู้ใช้ยาไม่สบายใจ อาจต้องเปลี่ยนยา
ใน
กรณีที่เป็นฝ้าให้เปลี่ยนเป็นยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีเอสโตรเจนลดลงหรืไม่มีเอสโตรเจน
(เช่น Exluton) และในกรณีที่เป็นสิวให้เปลี่ยนเป็นยาเม็ดคุมกำเนิดที่ไม่มีฤทธิ์ทำให้หน้ามันและสิว
เช่น Diane หรือ Marvelon สำหรับสิวเมื่อหยุดใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดนั้นแล้วก็จะหายเป็นปกติได้ภายในเวลาไม่นาน
ส่วนฝ้าเมื่อหยุดใช้ยาแล้วอาจหายได้ในบางราย
Q
จำเป็นต้องมียาเม็ดคุมกำเนิดสำรองอยู่ในบ้านหรือไม่ ?
A
ผู้ที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดควรมียาเม็ดคุมกำเนิดสำรองอยู่ในบ้าน
1 แผงเสมอ ไม่ควรรอจน
ยาหมดแล้วจึงไปซื้อยา
เพราะอาจเกิดเหตุฉุกเฉินที่ไปซื้อยาไม่ได้ และยาบังเอิญขาดขึ้นมา
ทำให้ผู้ใช้ยาต้องต้องขาดยาโดยไม่สมควร
นอกจากนี้ควรนำแผงยาเม็ดคุมกำเนิดติดตัวไปเสมอเมื่อต้องเดินทางไกล
แม้แต่การไปค้างคืนที่อื่นเพียงคืนเดียวก็ตาม เพราะการขาดยาเม็ดคุมกำเนิดเพียง
1 เม็ด โดยเฉพาะการแกะเฉพาะเม็ดยาไป
อาจทำให้หลงลืมในการกินยาได้ง่าย
Q
มียาเม็ดคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายหรือไม่ ?
A
ในปัจจุบันยังไม่มียาเม็ดคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย
แม้ว่าจะมีการค้นคว้าวิจัยในเรื่องนี้ แต่
เป็นที่น่าเสียใจว่ายังไม่มียาชนิดใดที่สามารถใช้เป็นยาเม็ดคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายที่ปลอด
ภัย
และเป็นที่รับรองให้ใช้อย่างถูกต้อง
Q
ระหว่างกินยาเม็ดคุมกำเนิดและมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้
และรู้สึกร้อนผิดปกติจะทำ
อย่างไร ?
A
ระหว่างกินยาเม็ดคุมกำเนิดและมีอาการปวดศีรษะคลื่นไส้และรู้สึกร้อนผิดปกติ
อาการ
เหล่านี้เป็นอาการข้างเคียงของยาเม็ดคุมกำเนิด
ซึ่งสามารถบรรเทาอาการเหล่านี้ได้โดยการกินยาลดไข้แก้ปวด เช่น
แอสไพรินหรือพาราเซตามอล เพื่อลดอาการปวดศีรษะ
และให้หายาดมหรือเปลือกส้มมาดมเพื่อลดอาการคลื่นไส้
สำหรับความรู้สึกร้อนก็ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อลดความร้อน ตามปกติแล้ว
อาการเหล่านี้จะพบได้ในระยะแรกของการเริ่มใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด เมื่อผ่านไปประมาณ
1-2 เดือนก็จะหายเป็นปกติ
แต่ถ้ายังไม่หายหรือมีอาการรุนแรงจนทนไม่ไหว
ต้องเปลี่ยนยาให้มีตัวยาลดลง
Q
ระหว่างกินยาเม็ดคุมกำเนิด ควรกินไวตามินใดเสริมหรือไม่
?
A
ควรกินวิตามิน บี
6 (Pyridoxine)
วันละ 25-50 มิลลิกรัมร่วมด้วย
เนื่องจากการใช้ยาเม็ด
คุมกำเนิดนาน ๆ
จะทำให้ร่างกายขาดไวตามิน บี 6
ทำให้เกิดอาการซึมเศร้าได้ 5-30%
ของผู้ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
Q
ถ้าเด็กผู้หญิงอายุ 3 ขวบ กินยาเม็ดคุมกำเนิดเข้าไป
2-3 เม็ด จะเป็นอย่างไร ?
A
เด็กคนนี้ไม่ได้เกิดอาการรุนแรงต่อร่างกายแต่อย่างใด
แต่ถ้ากินเป็นแผงย่อมเกิดพิษได้ ใน
กรณีนี้ตัวยาในยาเม็ดคุมกำเนิด
จะไปกระตุ้นผนังมดลูก จนทำให้ผนังมดลูกเหมือนกับผู้ที่กำลังจะมีประจำเดือน
ดังนั้นอีก 2-3 วัน
เด็กคนนี้จะมีเลือดคล้ายประจำเดือนออกมา
และเมื่อหมดฤทธิ์ยาก็จะกลับเป็นปกติ
Q
ความล้มเหลวของการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดเกิดจากสาเหตุใด
?
A
แม้ว่าการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดจะเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดวิธีหนึ่ง
แต่ยัง
มีผู้ใช้จำนวนหนึ่งตั้งครรภ์ระหว่างที่ใช้ยา
ซึ่งมักพบว่าเกิดจาก
-
การลืมกินยาหรือกินยาไม่สม่ำเสมอ
-
การเริ่มกินยาช้าเกินไปหรือเริ่มใช้แผงแรกไม่ถูกวิธี
-
การดูดซึมของยาไม่ดี เช่น
ในผู้ที่มีอาการท้องเดินหรือได้รับการผ่าตัดเดี่ยวกับทางเดินอาหาร