ความขัดแย้งในปัญหาทรัพยากรและหนทางแก้ไข

โดย ศ.ดร.นิธิ  เอียวศรีวงศ์

เรื่องของความขัดแย้งทางด้านทรัพยากรในอดีต

        ที่ผ่านมาความขัดแย้งในเรื่องทรพัยากรของสังคมชาวนาหรือเกษตรกรรมไม่ได้เป็นปัญหามากนัก ในสังคมไทย ทั้งนี้เป็นเพราะ สังคมมีสภาพการดำรงชีวิตอยู่ที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน และมีการประกอบ อาชีพในสังคมที่คล้ายคลึงกัน อีกทั้งยังมีขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งคอยทำหน้าที่เข้ามาไกล่เกลี่ยในเรื่องความ ขัดแย้งด้วย ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมก็คือ วัด, สถานที่พบปะและแก้ปัญหาความขัดแย้ง โดยผ่าน พระ ผู้ใหญ่ บุคคลซึ่งเป็นที่เคารพนับถือในชุมชน เป็นต้น

        อย่างไรก็ตาม หากว่ามีความขัดแย้งขึ้นมาแล้ว ก็จะมีการนำเอากฎหมาย ตราสามดวงมาใช้ทั้งนี้กฎหมาย ดังกล่าว นอกจากจะทำหน้าที่ในการพิจารณาคดี ความแล้ว ยังมีลักษณะที่เป็นการป้องกันเหตุอันทำให้เกิด ความขัดแย้งด้วย ตัวอย่าง เช่น มีข้อห้ามที่จะไม่ให้ทำไร่ขนาบกัน (ไม่ทำไร่ข้าวเจ้าติดกับไร่ข้าวเหนียว) เป็นต้น ฯลฯ

ความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรในปัจจุบัน

        ปัจจุบัน ปัญหาเกี่ยวกับกรณีความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากรในประเทศไทย ที่ปะทุขึ้นมาจนสังคมรับรู้นั้น มีเป็นพัน เรื่องต่อปี และในปัญหาที่ไม่ปรากฎ เป็นข่าวมีจำนวนมากยิ่งกว่านั้นเป็นหมื่นเรื่องอีก ทั้งนี้เป็นเพราะ สังคม ได้พัฒนา เปลี่ยนแปลงไปในหลายๆด้าน ทั้งในด้านจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น อาชีพที่หลากหลาย และ สภาพการณ์ต่างๆทาง สังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ทางด้านเศรษฐกิจ และ การเมืองสังคมไทยมีความสลับ ซับซ้อน และผลประโยชน์ที่ แตกต่างกันเพิ่มมากขึ้น กลไกทางสังคมในการะงับ ความขัดแย้ง เช่นขนบประเพณีที่มีมาแต่เดิมใช้ไม่ได้ผล ปัญหา ต่างๆเกี่ยวกับทรัพยากรจึงทวีคุณขึ้นเป็นลำดับ ทั้งใน เชิงปริมาณและในการใช้ความรุนแรงเข้ามาแก้ปัญหา

        ในส่วนของชนชั้นกลางเอง ซึ่งเป็นชนชั้นที่มีอำนาจทางการเมืองในสังคมปัจจุบัน ก็ได้เข้ามามีส่วนใน การบริโภค ทรัพยากรอย่างมหาศาล นอกจากนี้ ยังใช้ทรัพยากรในรูปของทรัพยากรที่มองไม่เห็น และไม่รู้สึกตัวว่าตนกำลัง ใช้ทรัพยากรอยู่ อย่างเช่น น้ำ และไฟฟ้า เป็นต้น ทั้งนี้เพราะผลผลิตเหล่านี้ที่ได้นำมาอุปโภคและบริโภค มาจากต้นทุน ทรัพยากรที่ต้องทำลายที่อยู่อาศัยและทำกินของชาวบ้านนับเป็นพันเป็นหมื่นครอบครัว อาทิ ไฟฟ้าที่ได้มาจากเขื่อน

ใครเป็นผู้มีส่วนในการตัดสินการใช้ทรัพยากร

        ปัจจุบัน คนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการใช้ทรัพยากรกว้างขวางมากและมีส่วนในการตัดสินใจมากขึ้น รวมไปถึงคน ที่ได้รับข่าวสารเพียงด้านเดียว อย่างเช่น ชนชั้นกลางที่อยู่ใกล้กับสื่อ ซึ่งส่วนใหญ่สื่อเหล่านี้เป็นของรัฐและเอกชน ที่ได้ประโยชน์จากการแย่งชิงทรัพยากร ชนชั้นกลางเหล่านี้ก็ได้เข้ามามีส่วนในการตัดสินใจการใช้ทรัพยากรด้วย โดยที่ไม่เคยทราบเลยว่า ต้นทุนทรัพยากรที่กำลังบริโภคอยู่ในทุกวันนี้ เบื้องหลังของการได้มาได้ของ สิ่งเหล่านี้ ทำลายชีวิตผู้คนตัวเล็กๆลงไปมากน้อยเพียงใด

        นอกจากนี้ โครงการของรัฐต่างๆ ที่ได้มีการตัดสินใจดำเนินโครงการฯ (ซึ่งส่วนใหญ่ตัดสินใจไปตามความต้องการ ของนักลงทุน มากกว่าชาวบ้าน) ก็ได้มีส่วนในการตัดสินใจการใช้ทรัพยากรด้วย และเป็นที่มาของปัญหาความขัดแย้ง (กรณีที่เห็นได้ชัดเจนในขณะนี้คือ กรณีเขื่อนปากมูล กับการไร้ที่ทำกินทั้งทางด้านเกษตรและประมง) รัฐจึงทำหน้าที่ เสมือนเป็นคนใช้ของนายทุน

สังคมไทยจะไปไม่รอด หากไม่ระงับกรณีความขัดแย้งเรื่องทรัพยากร

        จนถึงขณะนี้ ทั้งๆที่เกิดปัญหาความขัดแย้งการใช้ทรัพยากรไปทั่วประเทศ สังคมไทยก็ยังไม่ได้พัฒนากลไก อะไรใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อระงับความขัดแย้งในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อมาแทนที่ขนบประเพณีซึ่งมีมาแต่เดิม. แม้ว่าในความจริงแล้ว สังคมจะมีกลไกใหม่ๆที่สามารถนำมาใช้เพื่อระงับความขัดแย้งการใช้ทรัพยากร อยู่หลายวิธีด้วยกัน  แต่ก็ยังไม่ก่อให้เกิดผลเท่าที่ควร

กลไกระงับความขัดแย้งสมัยใหม่

  1. วิธีการประชาพิจารณ์ : ซึ่งเป็นกลไกชนิดหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางด้านทรัพยากรได้ โดยที่แนวความ คิดหลักของกลไกดังกล่าว เป็นการสร้างความรู้ที่ถูกต้องให้กับสังคม แต่ในความเป็นจริง กลไกดังกล่าวได้กลาย มาเป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ของบางโครงการฯ นอกจากนี้ หากได้มีการทำประชาพิจารณ์ ก็จะใช้เวลากับ เรื่องนี้น้อยมากจนไม่อาจเชื่อมั่นได้ว่า ข้อสรุปที่ได้มา จากผลของการประชาพิจารณ์เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ได้รับ ความเชื่อถือ และเป็นที่ยอมรับของบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย (ในประเทศอังกฤษ การทำประชาพิจารณ์เกี่ยวกับ เรื่องโรงไฟฟ้าปรมาณูใช้เวลาถึง 5 ปี)
  2. การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA) : กรณีดังกล่าว แม้จะมีการทำรายงานผลกระทบดังกล่าว แต่ก็เป็นไปใน ลักษณะของการหลบเลี่ยงอยู่เสมอ ทั้งนี้ EIA ได้กลายเป็นบริษัทธุรกิจไปเสียแล้วของนักวิชาการ (หากไปดู รายชื่อนักวิชาการของหลายๆบริษัทฯ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับด้านนี้ ก็ตะพบว่า รายชื่อนักวิชาการซ้ำๆกันเป็น จำนวนมาก)
  3. การเพิ่มอำนาจท้องถิ่นในการตัดสินใจ : แม้ว่าจะมีความพยายามดังกล่าวที่จะกระจายอำนาจการตัดสินใจลงมายังผู้ว่าราชการจังหวัด, นายอำเภอ, และ อบต. เป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ แต่ในความเป็นจริงกลไกนี้ก็ไม่ทำงาน. นอกจากนี้ยังมีสำนักงาน สิ่งแวดล้อมฯ และกรมโรงงานอุตสาหกรรมฯ ก็ไม่มีประสิทธิภาพพอที่จะตัดสินใจในเรื่อง การใช้ทรัพยากร ด้วยเช่นกัน. ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดที่เก่ามากๆซึ่งไม่ได้ผลอะไรเลย เท่าที่ผ่านมา ทางออกที่แท้จริงสำหรับ เรื่องนี้ก็คือ ต้องให้อำนาจเหล่านี้มาเป็นของชุมชนท้องถิ่น ไม่ใช่กลไกอำนาจที่ต่อสายมาจากส่วนกลาง

ทางออกกรณีระงับความขัดแย้ง

  1. ทำอย่างไรจึงจะทำให้อำนาจการตัดสินใจในการใช้ทรัพยากรกระจายมายังคนทุกกลุ่มในลักษณะที่ถ่วงดุลย์กันและเสมอภาคกัน ซึ่งอันนี้ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ

    คำตอบก็คือ : จะต้องมีการปฏิรูประบบราชการ ให้ระบบราชการทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมกลุ่มต่างๆแทนการ เป็นผู้ใช้อำนาจ เพื่อผลประโยชน์ของนายทุน. นอกจากนี้ ราชการควรมีข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อ ประกอบการตัดสินใจ.  และระบบราชการต้องมีทางเลือกในลักษณะ alternative. อีกคำตอบหนึ่งต่อกรณีคำถาม ข้างต้น จะต้องมีองค์กรใหม่ๆที่จำเป็นในสังคมไทยเกิดขึ้น อันเป็นการผสมผสานกันระหว่าง เอกชนกับรัฐ หรือชาวบ้านกับรัฐ และการรวมตัวในลักษณะอื่นๆที่หลากหลาย เพื่อมาใช้อำนาจการตัดสินใจฯ. นอกจากนี้ รัฐและเอกชน ควรสนับสนุนให้เกิดการ debate (ถกเถียงอภิปราย)ขึ้นมาในสังคม เพื่อประกอบการตัดสินใจ

  2. การสร้างความรู้ให้เกิดทางเลือกเชิงนโยบาย : จะเห็นได้ว่า ในปัจจุบัน องค์กรเกือบทุกองค์กรในสังคมไทย ยากจนทางเลือก จนดูเหมือนว่ามีอยู่ทางเลือกเดียว แต่ในความเป็นจริงก็คือ สังคมยังไม่ค่อยได้แสวงหากัน เช่น มหาวิทยาลัยก็ไม่แสวงหาทางเลือกใหม่ๆ ยังคงเดินตามทางเลือกกระแสหลัก ตามระบอบทุนนิยม เป็นต้น. ความจริงก็คือ ในโลกนี้ต้องมีทางเลือกมากกว่าหนึ่งเสมอ ดังนั้น หากรัฐมนตรีท่านใดที่ต้องทำหน้าที่ ตัดสินใจเชิงนโยบายใดๆก็ตาม ก็ให้ตั้งคำถามข้อหนึ่งเอาไว้เสมอว่า “ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ทำอย่างอื่นได้ไหม?” ถ้าผู้เสนอตอบว่า”ไม่ได้” ก็ไม่ต้องอนุมัติให้ดำเนินนโยบายนั้นๆ.

     


บรรยายโดย ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์

การอบรมหลักสูตรของสถาบันพระปกเกล้าฯ ณ สวนบัวรีสอร์ท อ.หางดง จ.เชียงใหม่
วันที่ 4 พฤษภาคม 2543 / เวลา 10.00-10.30 น.