ของฝากจากเครือข่าย ใยแมงมุม (๑)

พินิจ พันธ์ชื่น

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และโยงใยไปทั่วโลก ที่เรียกว่า “อินเตอร์เน็ต” นั้น นับวันยิ่งขยายบทบาท มีผลกระทบต่อคนทั้งโลก มากขึ้นทุกวัน ด้วยความเป็นสื่อไร้พรมแดน และมีประสิทธิภาพสูงยิ่งนั้นเอง อินเตอร์เน็ต สามารถส่งผลในทางทำลายล้างได้ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการสร้างสรรค์ จรรโลงโลกใบนี้ อยากเชิญชวนให้ท่านที่ยังห่างเหิน ไม่สนใจกับเทคโนโลยีดังกล่าว ได้รีบมาสัมผัส เรียนรู้ และร่วมกันใช้ประโยชน์โดยเร็ว อย่ากลัวว่าจะยาก เพราะความจริงมันไม่มีอะไรยุ่งยากอย่างที่หลายคนคิด สิ่งที่เราน่าจะต้องรวมพลัง ร่วมคิด ร่วมทำโดยเร็ว ได้แก่การใช้พลังและศักยภาพของ อินเตอร์เน็ต มาต่อสู้ ขัดขวาง หรืออย่างน้อยถ่วงดุลย์ กับอำนาจของฝ่ายตรงข้ามของพวกเรา อันได้แก่ ความเลวร้าย ความหลอกลวง และสิ่งไร้สาระทั้งปวง ด้วยการสรรค์สร้าง สืบค้น และเผยแพร่สิ่งที่ดี มีคุณค่าให้มากขึ้น เข้าทำนอง “หนามยอก-หนามบ่ง” น่าจะดี

เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้แวะเข้าไปเยี่ยมบ้าน (Home Page) ของท่านผู้ใหญ่ที่ไม่ไร้หลักการ ท่านหนึ่ง และได้พบเรื่องราวที่น่าสนใจมาก เชื่อว่าใครที่เป็นคนไทยและมีจิตใจเป็นปรกติ สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ อ่านแล้วจะต้องรู้สึกสะดุ้งหรือนอนไม่ค่อยหลับได้เลยทีเดียว เรื่องดังกล่าวมีชื่อว่า “จดหมายถึงนาย” ขอให้ลองติดตามอ่านดู ตั้งแต่คำชี้แจงของท่านเจ้าของบ้านไปเลย จะพบอะไรดีๆและแหลมคมอยู่มากมาย

ท่านผู้อ่านครับ

"จดหมายถึงนาย" ที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นข้อเขียนของคนหนุ่มซึ่งมีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ในแวดวงการฑูตและแวดวงของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคนเก่งที่ซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งหาได้ยากยุคสมัยนี้ แนวคิดและวิธีเขียนอาจจะดูเหมือนรุนแรงแต่ถ้าเราไม่ปฏิเสธความจริง คงต้องยอมรับว่าสิ่งที่ผู้เขียนบรรยายไว้มีอยู่จริงในบ้านเมืองของเรา ผมเห็นว่าเป็นข้อเขียนที่น่าจะเป็นประโยชน์ในการกระตุ้นเตือนให้ทุกคนได้ตระหนักถึงพิษภัยที่เรากำลังเผชิญอยู่ เผื่อจะได้ช่วยกันคิดอ่านป้องกันหรือแก้ไขให้ดีขึ้น จึงได้นำลงมาไว้ในมุมนี้ เพื่อช่วยกันเผยแพร่

มีชัย ฤชุพันธุ์

MeechaiThailand.com

--------------------------------------------------------------

ข้าพเจ้าเป็นชาวต่างประเทศที่ทำงานอยู่ในเมืองไทย มีหน้าที่รายงานภาพรวมของประเทศไทยกลับไปยังนาย คือ บริษัทแม่ในต่างประเทศ หรือ บางครั้งก็แอบเสนอรายงานต่อรัฐบาลประเทศของข้าพเจ้า ในโอกาสล่าสุดนี้ นายต้องการทราบว่า ควรจะดำเนินการในแง่ยุทธศาสตร์ต่อประเทศไทยอย่างไรดี เพื่อให้การครอบงำประเทศนี้สมบูรณ์ที่สุดในระยะยาว ข้าพเจ้าสนองความต้องการของนายด้วยจดหมายสั้น ๆ ฉบับนี้

 

 

 

“วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๓

นายที่รัก,

ตามที่มอบหมายให้ข้าพเจ้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทยเกือบ ๒๐ ปีแล้วนั้น ข้าพเจ้าพอจะสรุปคำตอบเพื่อเสนอต่อนายได้ดังต่อไปนี้

ภาพรวมของประเทศไทย: ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ค่อนข้างยากจน สังคมไทยโดยพื้นฐานมีลักษณะไร้ระเบียบกฎเกณฑ์ ซึ่งเป็นอุปนิสัยประจำตัวของคนชาตินี้ แม้ว่ารัฐบาล รัฐสภาและประชาชนส่วนหนึ่งได้พยายามแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ จำนวนมาก รวมทั้งรัฐธรรมนูญในการปกครองประเทศให้ดีขึ้น แต่โดยพฤติกรรมแล้ว คนไทยนิยมการดำเนินชีวิต ธุรกิจ และการใช้อำนาจรัฐ ที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ หรือที่มีคำกล่าวในประเพณีไทยว่า “ทำได้ตามใจคือไทยแท้” ท่านจะประมาทต่อคำกล่าวนี้ไม่ได้เลย

ในทางกายภาพ กรุงเทพเป็นตัวอย่างของเมืองหลวงที่ไร้ระเบียบที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ความไร้ระเบียบนี้ดำเนินไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดยั้งหรือลดน้อยลงเลย เมืองเชียงใหม่ซึ่งน่าจะได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพงจากกรุงเทพแต่ก็ไม่ทำ หรือทำไม่ได้ เมืองพัทยาซึ่งควรเป็นบทเรียนให้กับเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ แต่ก็ไม่เป็นหรือเป็นไม่ได้ ระบบการจราจรและพฤติกรรมของผู้ขับขี่ยานพาหนะก็เป็นอีกตัวอย่างที่เลวที่สุด นับเป็นสัญญลักษณ์ประจำชาติก็ว่าได้ การรุกล้ำที่ดินสาธารณะ ที่ป่าสงวน เขตอุทยานแห่งชาติ ฯลฯ ก็เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แก้ไขไม่ได้ แม้แต่หน่วยราชการ ถึงขนาดทำเนียบรัฐบาลเอง ภายนอกดูสวยงามแต่ภายในนั้นไร้ระเบียบทางกายภาพอย่างน่ากลัว เช่น งานเอกสารที่ท่วมทางเดิน ซึ่งเป็นปัญหาของทุกหน่วยราชการตลอดกาล แก้ไม่ได้ ความไร้ระเบียบทางกายภาพนี้ ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นเพียงแค่ประเทศเล็ก ๆ ที่เราควรเข้ามากอบโกยเอาผลประโยชน์เมื่อมีโอกาสและก็กลับไปยังความศิวิไลซ์ของเราโดยเร็ว เมืองไทยไม่ใช่ประเทศที่ควรเข้ามาปักหลักลงทุนหรืออยู่อาศัยอย่างยาวนานหรือถาวร เพราะเป็นการยากที่เราจะปกครองชนชาตินี้ให้อยู่ในระเบียบวินัยได้ และเพราะฉะนั้น จึงไม่เหมาะกับวัฒนธรรมอันเจริญของเรา ความไร้ระเบียบทางศีลธรรม-จริยธรรม ท่านจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทยเป็นเมืองพุทธแต่มีการค้าประเวณีและยาเสพติดอย่างเปิดเผยทั่วไป มีการฆาตกรรมกันมาก การฉ้อราษฎร์บังหลวงมีอยู่ทั่วหัวระแหง ไม่เว้นแม้แต่ในโรงเรียน มีครูโกงเด็กนักเรียนตัวเล็ก ๆ ในวัดซึ่งพระโกงชาวบ้าน หรือราชการหลอกพระและพุทธศาสนิกชน หรือที่สื่อมวลชนทำกับเยาวชน ตำรวจเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาสังคม ทั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงระบบราชการไทยซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นสัญญลักษณ์สุดยอดของความไร้ระเบียบทางศีลธรรม-จริยธรรม จนกลายเป็นสาเหตุบ่อนทำลายรากฐานของสังคมไทยให้ผุกร่อน เห็นได้จากการที่กลไกของรัฐไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาสังคมและศีลธรรมได้เลย ผู้นำทางศีลธรรมและจริยธรรม อันได้แก่ พระ ครู สื่อมวลชน ฯลฯ ได้เสื่อมอิทธิพลในการนำจิตใจลงอย่างมากเพราะถูกเงินเข้าครอบงำ ทั้งโดยมีเจตนาในทางทุจริตจริง ๆ และโดยสถานการณ์บังคับ ส่วนผู้นำประเทศและชนชั้นนำในสังคมก็ล้มเหลวในทางศีลธรรมและจริยธรรมโดยสิ้นเชิง ดังจะเห็นได้ชัดในวงการเมือง สังคมไทยยังคง “ยอมรับนับถือ” นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงซึ่งมีประวัติไม่สะอาดหรือมีพฤติการณ์ที่น่ารังเกียจ พวกเจ้าเล่ห์เพทุบาย หรือในวงการแพทย์ ซึ่งเคยเป็นวิชาชีพที่สังคมให้เกียรติอย่างมากกลับมีกรณีฉาวโฉ่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในวงการผู้พิพากษาก็มีกรณีที่ทำให้สถาบันต้องมัวหมองอยู่เนือง ๆ เชื่อหรือไม่ว่า คนไทยนั้น ที่หวังพึ่งผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างจริงจัง มีน้อยมาก ปัญหาเด็กหาที่เรียนในกรุงเทพกลายเป็นตลกเศร้าของพ่อแม่ตลอดกาลชั่วนาตาปี ฯลฯ

ในทางกฎหมาย ปรากฏว่ามีความไร้ระเบียบจนการใช้กฎหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงมาถึงระดับระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เกิดความวุ่นวายไปหมด สิ่งที่น่าขันก็คือ ในเรื่อง ๆ หนึ่ง อาจมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกันมากมายหลายฉบับและให้อำนาจบุคคลต่าง ๆ ไว้แตกต่างกัน ทำให้สังคมไทยตั้งอยู่บนช่องว่างของกฎหมายมากกว่าตัวบทกฎหมายเอง ตัวอย่างที่ดี ก็เช่นว่า เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นในการบริหารราชการแผ่นดิน นายกรัฐมนตรีเกือบไม่ต้องรับผิดชอบเลย โดยอ้างว่าอำนาจต่าง ๆ เป็นของรัฐมนตรี ส่วนรัฐมนตรีก็อ้างว่าเป็นอำนาจของปลัดกระทรวง ปลัดกระทรวงก็จะอ้างว่าเป็นอำนาจของอธิบดี อธิบดีก็มักจะกล่าวว่า “เราจะป้องกันมิให้ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นอีก” โดยไม่มีผู้ใดแสดงความรับผิดชอบต่ออำนาจหน้าที่ของตนตามกฎหมายจริง ๆ เลย และเมื่อมีผู้ถามว่าเหตุใดจึงมีกฎหมายที่ทำให้เกิดช่องว่างดังกล่าวมากเหลือเกินนักกฎหมายก็จะตอบด้วยความภาคภูมิใจว่า “เพื่อกระจายอำนาจและให้เกิดความคล่องตัวในทางปฏิบัติ” ความไร้ระเบียบทางกฎหมายตั้งแต่ระดับกติกาสูงสุดในการปกครองประเทศลงมาถึงระเบียบจุกจิกสารพัดเรื่องในหน่วยราชการหนึ่ง ๆ ได้กลายเป็น “ต้นทุน” ในการพัฒนาของประเทศไทยยุคใหม่ทั้ง ๆ ที่ประชาชนในยุคนี้มีการศึกษาสูงกว่ายุคก่อน ๆ จึงนับว่าเป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง และสะท้อนให้เห็นว่า มันสมองที่แท้จริงในสังคมไทยยังไม่ได้รับการพัฒนา หรือพูดง่าย ๆ ยังไม่ได้เกิดมาเพื่อสร้างสรรค์สังคม แม้เวลาจะผ่านมาแล้วอย่างยาวนาน

ในทางวัฒนธรรม อะไรเล่าคือ วัฒนธรรมไทย? เมื่อข้าพเจ้าถามเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย เขาจะพาเราไปดูการฟ้อนรำที่ซ้ำ ๆ กัน ดูผ้าไหม ดูวัด และพาไปทานอาหารไทย เขาจะพาเราไปเที่ยวดูช้างและชาวเขา ดูเรือในแม่น้ำและการพิธีต่าง ๆ มวยไทยและตลาดน้ำ เราได้ดูพระพุทธรูป ปราสาทราชวัง ซึ่งล้วนแต่เป็นอดีตแต่พวกเขาไม่เคยพาเราไปดูวัฒนธรรมในการศึกษาหาความรู้ของคนไทย วัฒนธรรมในการผลิตสินค้าและการให้บริการของคนไทย การคิดค้นสิ่งใหม่ ประดิษฐกรรมและศิลปกรรม ข้าพเจ้าไม่เคยได้พบวัฒนธรรมที่ดีงามมากนักในธุรกิจของคนไทย และยิ่งพบเห็นได้ยากในระบบราชการของไทยซึ่งเน้นความเป็นเจ้าขุนมูลนายและสายสัมพันธ์มากกว่าการมีวัฒนธรรมที่สร้างจิตสำนึกต่อสังคม คนไทยไม่สามารถชี้ให้เห็นวัฒนธรรมของพวกเขาในส่วนที่เป็นพลังขับเคลื่อนที่แท้จริงของชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม และไม่สามารถอธิบายให้น่าฟังได้ในระดับนามธรรม ความคิดรวบยอดของคนไทยไม่มี ระเบียบทางความคิดเชิงวัฒนธรรมยังด้อยกว่าญี่ปุ่น จีน ฝรั่งเศสหรือแม้แต่อินเดียอยู่มากทำให้เราชาวต่างชาติ แม้จะชอบความแปลกในเมืองไทย แต่ก็ไม่ค่อยนับถือคนไทยว่าเป็นชาติที่มีอารยธรรมที่เข้มแข็งจริง ๆ เลย ความไร้ระเบียบทางกายภาพและทางศีลธรรม-จริยธรรม และความไร้ระเบียบทางกฎหมายและวัฒนธรรม ที่สรุปไว้ข้างต้นนี้ นับว่าเป็นข้อดีสำหรับเราซึ่งเป็นคนต่างชาติที่มีอำนาจ เพราะแสดงให้เห็นว่า คนไทยนั้นอ่อนแอในทุกด้าน ผู้ใหญ่ก็อ่อนแอ และเด็กก็อ่อนแอ คนมีความรู้ก็อ่อนแอและคนไม่มีความรู้ก็อ่อนแอ คนมีอำนาจหรือไม่มีอำนาจก็อ่อนแอทั้งสิ้น ดังจะเห็นได้ว่า นับเป็นเวลากว่า ๕๐ ปีมาแล้ว ที่คนไทยไม่มีผู้นำที่สามารถและเสียสละอย่างแท้จริง (ยกเว้นองค์พระมหากษัตริย์) อันสะท้อนกลับมาที่ลักษณะประจำชาติของคนไทยเอง

นายท่าน! สังคมไทยเป็นสังคมที่ผุกร่อนมากแล้วรอวันแตกสลายลง เหมือนกับหินปูนซึ่งถูกน้ำกรดกัดกร่อนทุกวัน ในวันหนึ่งข้างหน้าก็จะไม่มีอะไรให้เห็นเป็นแก่นสารเลย นายควรที่จะพอใจว่ารัฐบาลและบริษัทข้ามชาติ รวมทั้งมาเฟียต่าง ๆ ของเราชาวต่างชาติเพียงแต่ใช้กุศโลบายอันแยบยลอย่างเงียบ ๆ หลอกล่อให้คนไทยหลงอยู่ในวังวนของความสุขสบาย ไร้ระเบียบ หลงอยู่ในความฝันว่าตนมีสติปัญญาเพียงพอแล้วโดยการเลียนแบบฝรั่งก็ใช้ได้ ความไร้ระเบียบจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกด้านสังคมไทยในที่สุดจะตั้งอยู่ได้ด้วยประชาชนที่อ่อนแออย่างหลวม ๆ เพียงอย่างเดียว ไม่มีจุดเชื่อมโยงอย่างมีความหมายกับอำนาจรัฐและอิทธิพลทางจิตใจของผู้นำทางการเมือง สังคม สถาบันหรือศาสนาใด ๆ เมื่อนั้น เราจะบังคับเอาประเทศไทยเป็นทาสได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่รอเวลาเท่านั้น สิ่งที่เป็นเวทย์มนต์อันศักดิ์สิทธิ์ที่เราชาวต่างชาติจะใช้สะกดผู้นำของชาติไทยก็คือ จงหลอกล่อให้พวกเขาหลงใหลเข้าใจว่าพวกเราชาวต่างชาติจะอยู่ในระเบียบวินัยทางการค้าและการลงทุนอันเสรี ในกฎเกณฑ์ที่เรานั่นเองเป็นผู้คิดค้นขึ้น เราจะต้องสะกดให้เขาเชื่อว่าเราชาวต่างชาติจะอยู่ในระเบียบวินัยของกฎบัตรสหประชาชาติ และหลักการด้านสันติภาพ ประชาธิปไตย และมนุษยธรรมต่างๆ รวมทั้งมาตรฐานอันสูงส่งในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ผู้นำของชาติไทยคือเด็กที่ถูกเฆี่ยนตีมามากพอที่จะเชื่อฟัง ไม่กล้าโต้แย้ง คัดค้าน หรือใช้กลวิธีที่มาจากมันสมองของเขาเองในการหลบเลี่ยงเอาตัวรอด อย่าให้พวกเขาได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสตร์ชั้นสูงของการลูบหน้าปะจมูกหรือมือถือสากปากถือศีลของชนชาติเราเป็นอันขาด ชาติเล็ก ๆ ที่น่าสงสารชาตินี้ย่อมอยู่ในอุ้งมือของเราเป็นแน่แท้ แม้คนไทยอยากจะลุกขึ้นสู้ แต่พวกเขาก็มีแต่ความรักชาติเท่านั้น ไม่มีระเบียบวินัยและพลังภายในของสังคม อันเป็นจิตวิญญาณของชาติที่แท้จริงซึ่งจะผลักดันให้ต่อสู้ได้สำเร็จเลย

สิ่งที่พึงระวัง

เราชาวต่างชาติจะต้องระวังย่างก้าวของเราบางประการเพื่อมิให้การครอบงำอย่างเงียบ ๆ นี้สะดุดหยุดลง ข้าพเจ้าขอเสนอแนวคิดต่อนายดังนี้

๑. อย่าให้เมืองไทยมีผู้นำที่เข้มแข็งและเสียสละ สังคมไทยส่วนใหญ่ยังหวังพึ่งหัวหน้าฝูงและสิ่งที่มีอำนาจ เขายังไม่หวังพึ่งพาตนเองมากนัก หากสังคมไทยได้ผู้นำที่เข้มแข็งและเสียสละ พวกเขาจะกลายเป็นชาติที่รุ่งเรืองได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังเช่นที่ปรากฏมาทุกยุคในประวัติศาสตร์ชาติไทย สิ่งที่เราควรทำคือ ส่งสัญญาณสนับสนุนผู้ที่จะได้รับเลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากแม่พิมพ์ (Mold) แบบเก่าของไทย เช่น นาย ช. นาย ก. นาย บ. ฯลฯ หรือผู้ที่แสวงประโยชน์สูงสุดจากการเมือง คนพวกนี้จะช่วยให้เราชาวต่างชาติใช้เวทย์มนต์ของเราได้ง่ายขึ้นเหมือนที่ผ่าน ๆ มา

๒. อย่าให้ผู้นำของไทยคิดออกนอกแนวโลกาภิวัฒน์ เพราะโลกาภิวัฒน์คือเวทย์มนต์ของเรา จงทำให้พวกเขาหลงใหลมากขึ้นเรื่อยๆว่าโลกาภิวัฒน์ที่ถูกต้องคือ การเอาใจท้องถิ่น (Localization of Globalization) เพื่อว่าเขาจะได้แคลงใจสงสัยน้อยลง จงทำให้พวกเขาเชื่อว่าปัญหาต่าง ๆ ของพวกเขานั้น จะพึ่งพากลไกของรัฐไม่ได้ แต่ต้องพึ่งพานักคิดแก้ไขปัญหาอิสระในนามผู้เชี่ยวชาญและเอ็นจีโอบางแห่งที่เราสนับสนุนอยู่ จงจูงมือพวกเขา จงจูงใจพวกเขา และให้อามิสแก่พวกเขา ทำให้เขารู้สึกว่าภาคประชาชนเท่านั้นที่สำคัญ พวกเขาจะดูหมิ่นเหยียดหยามอำนาจรัฐ พวกเขาจะเกลียดชัง พวกเขาจะเคียดแค้น ซึ่งจะเป็นผลดีแก่ความก้าวหน้าของเรา ขณะเดียวกัน เราเองจะต้องสนับสนุนให้อำนาจรัฐพัฒนาประเทศไปในแนวทางที่ประชาชนเกลียดชังมากขึ้นทีละน้อยโดยแสร้งทำเป็นว่าอยากช่วยเหลืออย่างจริงใจ

๓. จงเร่งให้คนไทยรู้สึกว่าพวกเขาพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจแล้ว เมื่อพวกเขาหลงเชื่อว่าทุกอย่างดีขึ้น นิสัยประจำชาติของพวกเขาจะพลุ่งพล่าน พวกเขาจะลืมตัว สร้างความไร้ระเบียบมากขึ้นเป็นทวีคูณ เริ่มจากการเมืองระดับชาติ ข้าราชการ นักธุรกิจ ฯลฯ ลงมาจนถึงการเมืองท้องถิ่น พระ ตำรวจ ชาวบ้าน พวกเขาจะรีบเร่งออกกฎหมายต่าง ๆ จนยุ่งเหยิงไปหมด ไม่ทราบว่าในเรื่องหนึ่ง ๆ จะใช้กฎหมายใด ในกรณีใด เมื่อใด พวกเขาจะย่อหย่อนต่อวินัยทางเศรษฐกิจ การคลังและการเงิน พวกเขาจะเมินเฉยต่อศีลธรรมและจริยธรรม จะฟุ้งเฟ้อ ทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอเพื่อให้เราชาวต่างชาตินิยมชมชอบ ดังนั้น พลวัตทางเศรษฐกิจเพราะความเชื่อผิด ๆ ว่าทุกอย่างดีขึ้น จะนำไปสู่จิตวิญญาณของชาติที่เป็นอัมพาตหนักกว่าเดิมในเวลาอันไม่ช้า ซึ่งจะเป็นโอกาสทองของพวกเราชาวต่างชาติอย่างแท้จริง

๔. จงช่วยสนับสนุนการศึกษาของคนไทย (ให้คับแคบมากขึ้นเรื่อย ๆ) จนคนทั้งชาติเชื่อว่าการใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นคือการไม่ได้รับการศึกษา พวกเขาจะชำนาญและหลงใหลได้ปลื้มกับความสามารถทางเทคนิคต่าง ๆ ซึ่งนำเอาความสะดวกสบาย และเงินเดือนสูง ๆ มาให้ จนลืมไปว่าการสร้างชาตินั้นสำคัญกว่าการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือการส่ง E-mail เราทำให้พวกเขาเชื่อไปได้เปลาะหนึ่งแล้วว่าต่อไปคำว่า “ชาติ” จะไม่มี เพราะ Internet ได้ทำลายพรมแดนธรรมชาติลงเสียแล้ว ต่อไปก็ต้องทำให้พวกเขาลืม “ความรักชาติ” และแรงปรารถนาที่จะ “สร้างชาติ” เพื่อว่าจะได้หมดความปรารถนาแบบโบราณที่จะยืนอยู่ในโลกอย่างทรนงเช่นเสรีชนอื่น ๆ อย่าให้พวกเขาสนใจศิลปศาสตร์มากนัก เพราะวิชาเหล่านี้ทำให้พวกเขา “คิดอย่างมีจินตนาการ” อย่าให้พวกเขา “คิดได้” มาก ๆ หรือ “อยากคิด” มาก ๆ เพราะมันจะเป็นฐานพลังให้สังคมไทย “คิดสู้” จงเน้นให้พวกเขาหลงใหลในวิชาการเทคนิคและอิเล็กทรอนิกส์เป็นสำคัญ

๕. หลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ระบบราชการไทย เพราะระบบราชการไทยนั้นล้าหลังมาก และเป็นทั้งอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศพร้อม ๆ กับเป็นเชื้อโรคที่กัดกินสังคมไทยโดยส่วนรวม มากขึ้นทุกที ระบบราชการไทยเต็มไปด้วยความกดดันซึ่งทำลายทรัพยากรบุคคล เต็มไปด้วยความไร้ประสิทธิภาพ และไร้ความสำนึกต่อสังคม ทำให้ระบบราชการไทยเป็นมหามิตรของเราชาวต่างชาติ อย่าชี้จุดอ่อนของเขา อย่าวิพากษ์วิจารณ์ ปล่อยให้มันบ่อนทำลายคนไทยทั้งทางกายและทางใจ ทุกลมหายใจของชีวิต จนกว่าจะหมดลม เมื่อไม่วิพากษ์วิจารณ์ มหามิตรของเราก็จะทำงานอย่างขมักเขม้นโดยหลงเชื่อว่าตนนั้นดีเลิศประเสริฐที่สุดในชาติ มีความชอบธรรมที่จะเขมือบงบประมาณแผ่นดินมากขึ้นเรื่อย ๆ จนชาติไทยทั้งชาติเป็นอัมพาตเพราะมะเร็งร้ายนี้ อย่าลืมว่าเฟืองตัวใหญ่ที่ขึ้นสนิมเขรอะย่อมทำให้จักรกลทั้งหมดหยุดได้ เราชาวต่างชาติไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย นั่งยิ้มให้มหามิตรของเรา และยื่นหัตถ์แห่งมัจจุมิตรแก่พวกเขา จนกว่าเวลาจะมาถึง

๖. จงนำรายงานฉบับนี้ให้คนไทยอ่าน เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของพวกเขา ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพวกผู้นำจะตอบด้วยใบหน้ายิ้มละไมว่า “เพิ่งได้รับเอกสาร ขอเวลาให้เราแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาก่อน” ส่วนคนไทยทั่วไปจะตอบว่า “ไม่เป็นไร” แล้วหัวเราะจนเห็นฟันขาว นายท่านจงตระเตรียมเครื่องปรุงรสให้พร้อมเพื่อลิ้มรสเนื้อสดอันโอชะจากแผ่นดินไทย!!

รายงานของข้าพเจ้าฉบับนี้มีเพียงเท่านี้ หากรัฐบาล บริษัทข้ามชาติและมาเฟียของเราวางแผนเข้ามาผูกมิตรกับคนไทยโดยมีเป้าหมายเช่นว่านี้แล้ว ข้าพเจ้ารับรองว่า คนไทยจะภาคภูมิใจในการผูกมิตรกับเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะพวกเขาโดยเนื้อแท้ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงมากนักและไม่ชอบคิดแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง พวกเขาชอบการยกยอปอปั้น หลีกเลี่ยงความขัดแย้งและใช้ชีวิตตามสบาย ข้าพเจ้าเองก็เริ่มชอบชีวิตแบบไทย ๆ เข้าแล้วซิ!

ลงชื่อ ยามวิกาล

ป.ล. ขอความกรุณาเจ้านายตอบกลับมาด้วยเพื่อทราบแนวคิดของท่าน