จาก SICAR ถึง RICASE
พินิจ พันธ์ชื่น
จากการที่ได้ร่วมเป็นกรรมการ ในคณะทำงานของสำนักงานสภาสภาบันราชภัฏ ว่าด้วยโครงการสร้างรูปแบบการเรียนรู้ที่ดี โดยยึดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และได้ร่วมประชุมกับคณะทำงานเรื่อง นี้หลายครั้ง ทำให้มองเห็นแง่มุมบางอย่างเพิ่มขึ้น เป็นเรื่องของการมุ่งหวังปรับปรุง พัฒนา ผสมผสาน ความรู้ ความจริง และข้อค้นพบ อันหลากหลาย เพื่อให้รูปแบบการเรียนรู้ที่กำหนดขึ้น เป็นรูปแบบสำหรับการเรียนรู้ที่ดีและสมบูรณ์จริงๆ        ถ้าจะทบทวนขั้นตอนของการดำเนินงานที่ผ่านมาโดยสรุป ก็จะเป็นดังนี้SICAR ดีแล้วทำไมต้อง RICASE
       ผู้เขียนพอใจ SICAR มากเพราะตรวจสอบเท่าไรก็พบความจริงว่า กระบวนการเรียนรู้ทั้งที่เกิดเองในตัวบุคคล และที่ระบบการศึกษา จงใจจัดทำส่งเสริมให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ถ้าขาดองค์ประกอบของ SICAR ก็จะไม่สมบูรณ์ทันที เทียบเคียงกับประสบการณ์ของผู้เขียน ซึ่งคลุกคลีกับการสอนมาพอสมควรและหลากหลายวิชา ก็ยิ่งเห็นชัด (เคยสอนวิชาภาษาอังกฤษ ปัจจุบันสอนวิชาไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มวิชาทางเทคโนโลยีการศึกษา และวิชา ความจริงของชีวิต )
และในฐานะนักประดิษฐ์คิดค้นสื่อและนวัตกรรมทางการศึกษาซึ่งอาศัยกระบวนการเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นสำคัญ ขอแสดงเหตุผลสนับสนุนความคิด ความเชื่อมั่นใน SICAR รวมทั้งส่วนที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมดังนี้
S (Stimulation) หรือการกระตุ้นนั้น เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง แต่ที่สำคัญคืออย่าไปยึดถือที่ ตัวการกระทำจากภายนอกหรือติดรูปแบบวิธีการใดๆ แต่ให้เล็งลึกถึงจิตใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้เขาเกิดแรงกระตุ้นภายในตัวเอง เกิดความอยากรู้อยากเรียน เพราะตระหนักในคุณค่าและความหมายอย่างแท้จริง ของสิ่งที่จะเรียนรู้ จะทำอย่างไร หรือจัดสภาพการณ์แบบไหน เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันขบคิดอีกมาก และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ระวังอย่าให้พลังความอยากรู้อยากเรียนนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเห็นแก่ตัวก็แล้วกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นการส่งเสริมให้มีการพัฒนาความรู้และสติปัญญา แต่เป็นไปเพื่อสร้างปัญหาให้กับทั้งตัวเองและสังคม        ในความคิดเห็นส่วนตัว ผู้เขียนชอบตัว R (Realization) มากกว่าตัว S คืออยากให้เป็นขั้นตอนของการกระทำให้ผู้เรียนตระหนักใน ตน ตระหนักใน ปัญหา และตระหนักใน เป้าหมาย ของการเรียนรู้ อันจะนำไปสู่การเห็นคุณค่าของสิ่งที่จะเรียน เป็นแรงกระตุ้นภายในที่ก่อให้เกิดความสุข ความหวังในจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้
I (Investigation) คือขั้นการสืบเสาะ แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง กิจกรรมในขั้นนี้เกิดได้ไม่ยาก ถ้าแรงขับจากขั้น S หรือ R สูงพอ สิ่งที่ผู้สอนควรตระหนักก็คือ การอำนวยความสะดวกให้ ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีปัจจัยที่เอื้อต่อการแสวงหาความรู้อย่างเพียงพอ และจะต้องลดบทบาท นักสอน ให้น้อยลง อาจถือคติว่า ครูดี ต้องสอนน้อยๆ ก็ได้ ลดความเป็น Teacher เพิ่มความเป็น Facilitator ให้มากขึ้นเรื่อย ๆC (Construction) คือ การสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง เมื่อผู้เรียนมีแรงขับในขั้น S สูงพอ จนไปแสวงหาความรู้มาได้แล้ว ก่อนลงมือปฏิบัติคือ นำความรู้ไปใช้แก้ปัญหา ก็จะต้องมีการผสมผสานข้อมูลความรู้ที่สืบค้นมาให้เหมาะแก่การปฏิบัติ ในสถานการณ์ที่ตนประสบอยู่ ซึ่งย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขต่างออกไปจากที่เคยพบเห็นมา การเชื่อมโยง ปรับเปลี่ยน ข้อมูลและความรู้ ก็จะส่งผลให้เกิด องค์ความรู้ใหม่ขึ้น ซึ่งจะมีผล เป็นความสุข ความพอใจ เป็นแรงกระตุ้น ที่เกิดซ้ำเข้ามาอีกตัวหนึ่ง สิ่งสำคัญ ผู้สอนจะต้องใจเย็น รอคอยได้กับกระบวนการในขั้นนี้ ไม่ใช่ขัดอกขัดใจไม่ทันการก็เลยเข้าไปเป็นผู้ชี้นำหรือรีบวินิจฉัย สรุปเสียเองด้วยประสบการณ์ของตน
A (Application) คือ การนำความรู้ไปใช้ปฏิบัติ หรือ แก้ปัญหาจริง ๆ จนเกิดผลงานขึ้น การกระตุ้นในขั้นแรกสุดคือ S ตัวแรกนั้นถ้าจะให้มีพลังก็จะต้องแสดงความมุ่งหวังหรือเป้าหมายมาถึงขั้นนี้อย่างเด่นชัด คือ รู้ว่า เรียนรู้แล้วจะไปทำอะไรได้ แก้ปัญหาอะไรได้ ถ้าเป็นดังที่กล่าวแล้ว การเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติจริงในขั้นนี้จะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย และเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เป็นกิจกรรมที่มีความหมาย มีความหวังและมีความสุขอยู่ในตัว ผลที่ได้รับในขั้นนี้ น่าสนใจมาก คือ จะมีคน ประสบความสำเร็จ มากน้อยต่างกัน จำแนกคนในกลุ่มออกเป็น 3 พวกข้อเสนอแนะ ของผู้เขียนก็คือ การสอดแทรกขั้นตอนที่เป็นตัว S (Self Satisfaction) เข้าไป หลังตัว A โดยที่เมื่อผู้เรียน ประกอบกิจกรรมขั้นนำความรู้ไปใช้ จนเกิดผลงานออกมาแล้ว จะไม่ปล่อยให้เหตุการณ์เป็นไปในลักษณะดังที่ กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ครูจะต้องวางแผนให้เกิดการปฏิบัติต่อกันอย่างสร้างสรรค์ ในหมู่สมาชิกของห้องเรียนนั้น กล่าวคือ ให้คนเก่ง ได้รับการยกย่องตามสมควร ให้คนที่อ่อนหรือมีปัญหาได้รับความเห็นใจ และ การเอาใจใส่ มีการแนะนำแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ด้วยความรัก ความเมตตา อย่างที่กัลยาณมิตรพึงกระทำต่อกัน เป็นขั้นตอนที่อาจเรียกโดยสรุปได้ว่า การสร้างความสุข ความพึงพอใจ (Self-Satisfaction) ให้กับทุกคนที่เป็นสมาชิกของกลุ่มนั้น
สุดท้ายก็ถึงขั้น E (Evaluation) หรือการประเมินความรู้ ในที่นี้หมายถึงการรับรู้ รับฟัง ทางเลือกอื่น ๆ จากครูและสมาชิกของกลุ่ม เป็นการฝึกการยอมรับในตัวผู้อื่น ฝึกให้มีใจกว้าง ไม่พอใจตัวเอง หรือ ผลงานของตัวเอง มากเกินไปจนกลายเป็นความหลงตัวเอง
ถ้าครูมีความรู้หรือทางเลือกอื่นที่ดีกว่า มีประสิทธิภาพกว่า ก็ให้นำเสนอในขั้นนี้ ชนิดทำให้สะดุ้ง หรือ ตกตะลึงได้ ก็จะเป็นการดี อาการสะดุ้งนี้เองจะทำให้ผู้เรียนได้ฝึกสิ่งสำคัญคือ ไม่หลงตัวเอง ไม่ประมาท แต่จะคุ้นเคยกับการยอมรับ ความรู้ ความคิดอ่านของผู้อื่น เพื่อนำมาเทียบเคียงกับความรู้และประสบการณ์ของตน เมื่อพบว่ามีทางเลือกที่ดีกว่า มีประสิทธิภาพกว่า ก็จะกลายเป็น S ตัวใหม่ให้เขาทบทวน และ ย้อนกลับไปสู่ขั้นตอนของการเรียนรู้ ต่าง ๆ ที่ผ่านมา จะเรียกว่า เป็น Feedback หรือ กระบวนการทบทวน ความรู้ (Revision) ก็ย่อมได้
" SICAR " จึงแปรสภาพเป็น " RICASE " ด้วยประการฉะนี้..