กลับไปหน้าแรก HOME นกกระเรียน
แมวลายหินอ่อน
สมเสร็จ
กระซู่
กรูปรี
เก้งหม้อ
ควายป่า
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
กวางผา
เป็นนกขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายนกกระสา คอยาว ขายาว จงอยปากยาวตรงปรายเรียวแหลมแตกต่างกันเด่นชัดที่ขนปีกบินกลางปีก (Secondaries) ยาวคลุมเลยปลายขนหาง ส่วนขนปีกบินกลางของนกกระสาจะสั้นกว่า คลุมไม่ถึงปลายขนหางส่วนใหญ่ขนของลำตัวเป็นสีเทา แต่ขนปลายปีกสีค่อนข้างดำ คอตอนบนและหัวเป็นหนังเปลือยเปล่าสีแดง ไม่มีขน ตอนหน้าผากและตอนบนของหัวนั้นเป็นหนังสีเขียวอ่อนๆข้างแก้มและท้ายทอย ผิวหนังเป็นสีแดงเข้ม ม่านตาสีเหลืองเข้ม ปากสีดำแกมเขียว แข้งและนิ้วเท้าสีชมพูเรือๆ นกที่อายุยังน้อยมีขนอุยสีน้ำตาลที่หัวและคอด้วย ขนาดลำตัวมีความยาวประมาณ 152 ซ.ม.สูงราว150 ซ.ม. เป็นนกที่สูงและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ละมั่ง
แรด
พะยูน
เลียงผา
เนื้อสมัน
นกกระแต้วแล้วท้องดำ
นกกระเรียนไทยในสมัยก่อนเป็นนกที่พบเห็นได้ประปราย ตามทุ่งนาแทบทุกภาคของประเทศไทย ชอบอาศัยหากินตามพื้นที่ชุ่มน้ำเช่น หนอง บึง ทุ่งนา ทุ่งหญ้าที่น้ำขัง ทุ่งหญ้าโล่งๆในบางครั้งพบหากินตามชายฝั่งของแม่น้ำด้วย เหตุที่นกกระเรียนชอบอาศัยและเดินหากินในที่โล่งๆ ไม่ขึ้นไปเกาะต้นไม้อย่างนกอื่นๆ เพราะไม่มีนิ้วเท้าหลังเพื่อใช้ประโยชน์ในการเกาะ จึงเป็นนกที่ไม่สามารถเกาะบนต้นไม้ได้ ต้องใช้ชีวิตอยู่บนที่โล่ง ในขณะที่กระแสการพัฒนาพื้นที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้แหล่งอาศัยหากินเปลี่ยนแปลงสภาพ จากพื้นที่ชุ่มน้ำไปสู่พื้นที่เพื่อการเกษตรพื้นที่ อุตสาหกรรมพื้นที่เมือง เป็นต้น จึงทำให้ประชากรของนกถูกจำกัดบริเวณในการหากินหรือย้ายแหล่งหากินไปในถิ่นอื่น
นกกระเรียนไทยซึ่งเข้าใจว่าสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย เป็นนกประจำถิ่นของประเทศไทยเป็นนกที่ชอบไปไหนมาไหนเป็นฝูงใหญ่ ฝูงนกกระเรียนไทยจะบินเป็นแถวรูปตัววี (V) หรือบางทีก็เป็นแถวหน้าหระดาน โดยนกที่บินนำหน้าจะส่งเสียงร้องเพื่อเตือนให้นกตัวอื่นๆบินอยู่ในแถวหรือบินจับกลุ่มไว้ เสียงร้องจะดังมาก ตามปกตินกกระเรียนไทยจะบินสูงมาก แต่จะสูงมากน้อยขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับทิศทางของลม ในเวลาบินคอนกกระเรียนไทยจะยืดยาวออกไปข้างหน้าและขายื่นไปข้างหลัง เช่นเดียวกับพวกนกกระสา ในบางครั้งมันก็พากันบินร่อนเป็นวงกลมอีกด้วย นกกระเรียนไทยจะกระพือปีกลงช้าๆ สลับกับกระพือปีกขึ้นอย่างรวดเร็ว มมันไม่ชอบร่อนนอกจากในเวลาที่จะลงพื้นดิน
นกกระเรียนไทยมักจะร้องบ่อยในช่วงฤดูผสมพันธุ์ และในขณะบินข้ามถิ่น เสียงร้องดังก้องและได้ยินได้ในระยะไกล ในขณะบินเสียงร้องอันดังก้องนี้จะเป็นตัวในการควบคุมนกแต่ละตัวให้บินได้โดยไม่แตกจากฝูง ส่วนในเวลาที่มันกำลังหากินบนพื้นดิน บางครั้งก็ส่งเสียงร้องเหมือนกัน
โดยทั่วๆ ไป นกกระเรียนไทยจะผสมพันธุ์กันในระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน ซึ่งตรงกับฤดูฝนนกกระเรียนไทยเป็นนกที่หวงแหนแหล่งผสมพันธุ์ของมันมาก และจะกลับมายังแหล่งผสมพันธุ์เดิมของมันยกเว้นแหล่งผสมพันธุ์จะถูกทำลายจนหมดสภาพไปแล้ว
นกกระเรียนไทยจะวาไข่ครั้งละประมาณ 2 ฟอง แต่บางครั้งก็ฟองเดียว มีน้อยครั้งที่จะวางไข่ถึง 3 ฟอง ไข่มีลักษณะรูปไข่ยาว สีขาวแกมฟ้าหรือเขียวอ่อน บางทีไม่มีจุด บางทีมีจุดสีน้ำตาลหรือม่วงจางๆ ไข่ยาวเฉลี่ย 101.1 มม. กว้าง 63.8 มม. หนักประมาณ 120-170 กรัม ระยะเวลาในการกกไข่จะอยู่ในช่วงระหว่าง 28-30 วัน ถึงแม้จะวางไข่ครั้งละประมาณ 2 ฟอง แต่จะรอดตายเพียงครั้งเดียว ลูกนกจะได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อนกประมาณ 2.5-3 เดือน ลูกนกจึงจะเริ่มบินได้ นกกระเรียนไทยจะโตเต็มวัยและเริ่มจับคู่ผสมพันธุ์เมื่ออายุประมาณ 3-5 ปี
การทำรัง นกกระเรียนไทยจะทำรังบนพื้นดินด้วยหญ้าแห้งและใบไม้มากองสุมกันขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 60-240 ซ.ม. โดยมีที่กำบังมิดชิดและยากที่จะเข้าถึงได้ง่าย เพราะอยู่บนพื้นดินกลางหนอง บึงหรือมีน้ำแฉะๆ ล้อมรอบ ทั้งนกตัวผู้และนกตัวเมียจะช่วยกันทำรังและเลี้ยงดูลูกอ่อน ลูกนกจะอยู่กับพ่อแม่นกประมาณ 9 เดือน จึงจะแยกออกไปหากินเอง พอถึงฤดูผสมพันธุ์ลูกนกจะกลับมารวมฝูงอีกครั้งหนึ่ง
นกกระเรียนไทยได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยนานมาแล้ว ปัจจุบันนกกระเรียนไทยได้ถูกให้จัดให้เป็นสัตว์ป่าสงวน ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ซึ่งเป็นหนึ่งใน สิบห้าชนิดสัตว์ป่าสงวนของไทย ทั้งนี้เพราะคนสมัยก่อนได้ล่ายิงกันมาก รวมทั้งถิ่นที่อยู่อาศัยของมันก็ถูกคุกคาม จนกระทั่งไม่สามารถดำรงชีวิตและอาศัยอยู่ได้ โดยได้หายสาปสูญไปจากประเทศไทยกว่า 20 ปีมาแล้ว
ปัจจุบันกรมป่าไม้ได้พยายามนำนกกระเรียนไทยกลับสู่ ถิ่นเดิมของมันในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง โดยความริเริ่มของมูลนิธิสากลเพื่อการอนุรักษ์นกกระเรียน(International Crane Foundation) หรือ ICF แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ร่วมกับกรมป่าไม้ โดยมีการศึกษาและขยายพันธุ์ตามโครงการอนุรักษ์นกกระเรียนที่เขตห้ามล่า สัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำบางพระ จังหวัดชลบุรี หากการศึกษาขยายพันธุ์ ได้นกกระเรียนเป็นจำนวนมาก กรมป่าไม้มีโครงการนำ นกกระเรียนไทยเหล่านั้นไปปล่อยตามแหล่งเดิม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งอาศัยและหากินตามธรรมชาติ เช่น เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ