2 ความต้านทานไฟฟ้า
ตัวนำไฟฟ้า
และฉนวนไฟฟ้า 2.1
ความต้านทานไฟฟ้า (Resistance) ความต้านทานไฟฟ้า คือคุณสมบัติของวัตถุ ที่ต้านทานการไหลของกระแสไฟฟ้า วัตถุทุกชนิดจะต้านทานการไหลของกระแสไฟฟ้า วัตถุบางชนิดต้านได้มาก บางชนิดต้านได้น้อย ดังนั้น คุณสมบัติความต้านทานไฟฟ้า คือทำให้กระแสไฟฟ้าเปลี่ยนแปลง ถ้าในวงจรไฟฟ้า ค่าความต้านทานมีมากกระแสไฟฟ้าไหลได้น้อย แต่ถ้าในวงจรไฟฟ้า ค่าความต้านทานน้อย กระแสไฟฟ้าไหลได้มาก ตัวต้านทานไฟฟ้า เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์ขึ้นมา เพื่อใช้ต่อร่วมกับวงจรไฟฟ้า เพื่อบังคับให้กระแสไฟฟ้าในวงจรเปลี่ยนแปลงไปตามต้องการ ทำจากวัตถุที่ปล่อยอิเล็กตรอนหลุดออกจากวงโคจรได้น้อย ตัวต้านทานไฟฟ้า บางชนิดทำจากอโลหะ เช่น ตัวต้านทานไฟฟ้าที่ชื่อว่า คาร์บอนรีซีสเตอร์ (Carbon Resistor) ที่ใช้ประกอบในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ โดยมีลักษณะทรงกระบอกตัน มีหางทั้งสองข้าง ค่าความต้านทานมีแถบสีแสดง ตัวต้านทานไฟฟ้าอีกชนิดหนึ่งทำจากโลหะ เช่น ตัวต้านทานที่เรียกว่า ไวร์วาล์วรีซีสเตอร์ มีลักษณะเป็นเส้นลวด ( ลวดนิโครม หรือ ลวดแมงกานีส ) พันรอบแท่งกระเบื่องหรือพอซเลน และมีขั้วสำหรับต่อสายไฟ ตัวต้านทานชนิดนี้โตกว่าชนิดคาร์บอน 2.2 ตัวนำไฟฟ้า (Conductor) ตัวนำไฟฟ้า
คือวัตถุที่มีความต้านทานการไหลของกระแสไฟฟ้าน้อยมาก
คุณสมบัติของวัตถุชนิดนี้จะนำกระแสไฟฟ้าได้ดี สารที่เป็นโลหะจะนำไฟฟ้าได้ดี
เช่น เงิน
ทองแดง อะลูมิเนียม
ฯลฯ 2.3 ฉนวนไฟฟ้า (Insulator) ฉนวนไฟฟ้า คือวัตถุที่มีความต้านทานต่อการไหลของกระแสไฟฟ้าสูงมากหลายเมก-โอห์ม
กันไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวนำได้
วัตถุชนิดที่จะเป็นฉนวนไฟฟ้าได้ดี
เช่น แก้ว
ไม้ กระดาษ
พลาสติก ฯลฯ 2.4
หน่วยของความต้านทาน ความต้านทานมีหน่วยเป็นโอห์ม (Ohm) ใช้สัญลักษณ์ของหน่วย โอห์ม เขียนเป็น 1 กิโล-โอห์ม (kilo-ohm), k = 1,000 โอห์ม ( ) 1 เมกะ-โอห์ม (Mega-ohm), M = 1,000 กิโล-โอห์ม (k ) = 1,000,000 โอห์ม( )
สัญลักษณ์ของความต้านทาน 2.5
ความต้านทานของสารตัวนำ ขนาดและชนิดของสสารที่นำมาใช้ทำเป็นสายไฟในวงจรนั้น จะต้องทำให้มีความต้านทานต่อกระแสไฟฟ้าต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อต้องการให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ง่ายๆ ในวงจรไฟฟ้านั้นความต้านทานของสายไฟฟ้าที่ใช้เป็นตัวนำนั้น จะมีค่าเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของความต้านทาน (Law of Resistance) ซึ่งกล่าวไว้ดังนี้ 1) ความต้านทานของตัวนำจะเปลี่ยนแปลงไปตามความยาวของตัวนำโดยตรง เช่น ถ้าสายตัวนำทองแดงยาว 1 เมตร มีความต้านทาน 0.004 โอห์ม ถ้าสายยาวเพิ่มขึ้น 2 เมตร ความต้านทานก็จะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 0.08 โอห์ม 2) ค่าความต้านทานจะเปลี่ยนค่าเป็นสัดส่วนกับพื้นที่หน้าตัดของตัวนำ หมายความว่า ถ้าพื้นที่หน้าตัดมีมากขึ้น ความต้านทานก็จะมีค่าลดลง และถ้าพื้นที่หน้าตัดมีน้อยลง ความต้านทานก็จะมีมากขึ้น 3) ความต้านทานของตัวนำต่างๆ จะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติเฉพาะตัวของมันตามธรรมชาติ 4) อุณหภูมิทำให้ความต้านทานเปลี่ยนแปลงตามความสัมพันธ์
= ความต้านทานเมื่ออุณหภูมิเป็น t องศา = ความต้านทานของตัวนำเมื่ออุณหภูมิเป็น 0 C t = อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม = (Alpha) สัมประสิทธิ์ ความต้านทาน โลหะ อุณหภูมิสูง จะมีความต้านทานเพิ่มขึ้น
อโลหะ
อุณหภูมิสูง
จะมีความต้านทานลดลง 2.6 ความต้านทานจำเพราะ (Specific Resistance or Resistivity) ความต้านทานจำเพาะของลวดตัวนำใดๆ หมายถึง ความต้านทานจำเพาะของวัสดุตัวนำและลวดตัวนำชนิดนั้นที่จะบอกความต้านทานของสายที่มีขนาดตามกำหนด ในระบบอังกฤษ วัดเส้นผ่าศูนย์กลางของสาย โตเป็นมิล(1มิล=1/1,000นิ้ว) และวัดพื้นที่หน้าตัดเป็นเซอร์คูลาร์มิล และยาว 1 ฟุต ณ อุณหภูมิที่กำหนด จะมีความต้านทานจำเพาะจำนวนหนึ่ง เช่น สายทองแดงขนาด 1 เซอร์คูลาร์มิล ฟุต ที่อุณหภูมิ 20 C จะมีความต้านทาน 10.4 โอห์ม ในระบบเมตริก วัดเส้นผ่าศูนย์กลางหน่วยเป็น เซนติเมตร และวัดพื้นที่หน้าตัดเป็นตารางเซนติเมตร และยาว 1 เซนติเมตร ณ อุณหภูมิที่กำหนดจะมีความต้านทานจำนวนหนึ่ง เช่น สายทองแดงขนาน 1 ตร.ซม. จะยาว 1 เมตร ที่อุณหภูมิ 20 C จะมีความต้านทาน 1.72 10 โอห์ม หรือความต้านทานจำเพาะของตัวนำใดๆ หมายถึง ความต้านทานของวัตถุชนิดนั้นมีความยาว 1 เมตร พื้นที่หน้าตัด 1 มม. ที่อุณหภูมิ 20 C
ตารางที่ 2.1 แสดงความต้านทานจำเพาะที่อุณหภูมิ 20 C และสัมประสิทธิ์อุณหภูมิ
สูตรหา ความต้านทานของสาย R
=
เมื่อ R = ค่าความต้านทานหน่วยเป็นโอห์ม = ค่าความต้านทานจำเพาะ หน่วย - โอห์มต่อเซอร์คูลาร์มิล ฟุต - โอห์มต่อลูกบาศก์เซนติเมตร - โอห์มต่อลูกบาศก์เมตร = ความยาวหน่วยเป็น ฟุต เชนติเมตร หรือ เมตร
A
= พื้นที่หน้าตัดของลวดตัวนำ
หน่วยเป็น เซอร์คูลาร์มิล,
ตารางมิลลิเมตร หรือ
ตารางเซนติเมตร ตัวอย่างที่ 2.1จงหาความต้านทานของสายทองแดงที่มีพื้นที่หน้าตัด 750,000 เซอร์คูลาร์มิล ยาว 2,500 ฟุต วิธีทำ จากสูตร R = ความต้านทานจำเพาะของลวดทองแดง = 10.4 เซอร์คูลาร์มิล ฟุต = 2,500 ฟุต A = 750,000 เซอร์คูลาร์มิล แทน R = 10.4 ( 2,500/750,000) = 0.035 โอห์ม
ความต้านทานทองแดง =
0.035
โอห์ม 2.7
ผลของอุณหภูมิต่อค่าความต้านทาน สารตัวนำส่วนใหญ่ ค่าความต้านทานจะเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น และถ้าอุณหภูมิต่ำลง ค่าความต้านทานของสารจะลดต่ำลงด้วย เพราะเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน การปล่อยอิเล็กตรอนจากปรมาณูของสารก็เปลี่ยนตามไปด้วย สารหนึ่งๆ จะเปลี่ยนแปลงความต้านทานไปเป็นกี่เท่าของความต้านทานเดิมเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น 1 C เรียกว่า สัมประสิทธิ์อุณหภูมิของความต้านทาน (Temperature Coefficient of Resistance) 2.8 ค่าอุณหภูมิสมบูรณ์ (Absolute Temperature) คือค่าของอุณหภูมิที่ทำให้วัสดุตัวนำนั้นๆ
มีค่าความต้านทานเท่ากับ
ศูนย์ ตารางที่2.2 ค่าอุณหภูมิสมบูรณ์ของวัสดุบางชนิด
2.9
ค่าสัมประสิทธิ์อุณหภูมิ คือ ค่าความต้านทานที่เพิ่มขึ้น เมื่อความต้านทานท1 โอห์ม ร้อนขึ้น 1 C ตาราง
2.3 ตารางค่าสัมประสิทธิ์อุณหภูมิของความต้านทานของวัสดุตัวนำบางชนิด
เมื่ออุณหภูมิ 20
C
ความต้านทานจะเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงตามความสัมพันธ์ ดังนี้ จากสูตร R = R (1+a (t - t ) ) เมื่อ R = ความต้านทานเมื่ออุณหภูมิครั้งแรก R = ความต้านทานเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนไป t = อุณหภูมิครั้งแรก t = อุณหภูมิเปลี่ยนไป a = ค่าสัมประสิทธิ์อุณหภูมิของความต้านทาน 2.10 ความนำ (Conductance) ความนำเป็นส่วนกลับของความต้านทาน ซึ่งหมายถึง คุณสมบัติของสารที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านง่ายๆ นั้นคือความสามารถในการนำไฟฟ้าของตัวนำ ใช้สัญลักษณ์คือ G มีหน่วยเป็นซีเมนส์ (Siemens) ใช้ตัวย่อ S G = 1/R ซีเมนส์ R = 1/G โอห์ม (ohm)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||