1 ความรู้เรื่องไฟฟ้าทั่วไป
1.1
ทฤฎีอิเล็กตรอน
(Electron Theory) สสารต่างๆ
มีอยู่ 3
สถานะ คือ
ของแข็ง
ของเหลว และ
ก๊าซ
ซึ่งสสารทั้ง
3
สถานะนี้อาจจะอยู่ในรูปของธาตุ
สารประกอบ
และของผสม
อย่างใดอย่างหนึ่ง
ของแข็งของเหลวและก๊าซนี้ต่างประกอบขึ้นจากส่วนเล็กๆ
ซึ่งเรียกว่า
โมเลกุล (Molecule) และ
1
โมเลกุลนั้น
เมื่อแบ่งลงไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งเป็นอนุภาคที่เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้
เรียกว่า
อะตอม (Atom) สารที่โมเลกุลของมันประกอบด้วยอะตอมชนิดเดียวกัน
เรียกว่า
ธาตุ (Element) สารที่โมเลกุลของมันประกอบด้วยอะตอมต่างชนิดกัน เรียกว่า สารประกอบ (Compound) เช่น โมเลกุลของน้ำ จะประกอบด้วย ไฮโดรเจน 2 อะตอม และออกซิเจน 1 อะตอม ในอะตอมหนึ่งๆ
แต่ละชนิด
ประกอบด้วยอนุภาคมูลฐานสำคัญ
3 ส่วนตือ
โปรตอน (Proton) นิวตรอน
(Neutron) และอิเล็กตรอน
(Electron) โปรตอน
มีอำนาจไฟฟ้า
บวก นิวตรอน
มีอำนาจไฟฟ้า
กลาง อิเล็กตรอน
มีอำนาจไฟฟ้า
ลบ โปรตอนและนิวตรอนอยู่ภายในนิวเคลียส
(Nucleus) อิเล็กตรอนที่มีอำนาจเป็นลบจะวิ่งอยู่รอบๆนิวเคลียสด้วยความเร็วสูง
อิเล็กตรอนเบากว่าโปรตอนประมาณ
1850 เท่า
เพราะอิเล็กตรอนเบามากนี่เองจึงถูกแรงไฟฟ้าทำให้เคลื่อนที่ไปได้
โดยสภาพปกติทั่วๆไปแล้ว
อะตอมของธาตุที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่เป็นกลาง
ในอะตอมหนึ่งๆ
จะมีจำนวนโปรตอนที่เท่ากับจำนวนอิเล็กตรอนเสมอ
เช่น
อะตอมของไฮโดรเจน
ที่นิวเคลียสจะมีโปรตอน
1 ตัว
และอิเล็กตรอนรอบๆ
1 ตัว
อะตอมของฮีเลียม
ที่นิวเคลียสจะมีโปรตอน
2 ตัว
และอิเล็กตรอนโคจรรอบๆ
2 ตัว 1.2
วงอิเล็กตรอน
(Electron Shell) ในอะตอมของสารที่มีอิเล็กตรอนโคจรเป็นวงรอบๆ
นิวเคลียสนั้นๆ
แต่ละวงจะมีอิเล็กตรอนแตกต่างกันออกไป
อิเล็กตรอนแต่ละตัวจะมีพลังงานที่ขึ้นอยู่กับค่า
N โดยกำหนดให้ระดับพลังงานต่ำที่สุดคือ
n=1 ระดับที่สูงขึ้นไปคือ
n= 2,3,4,…….ขึ้นไปตามลำดับ
ระดับพลังงานนี้จะถูกแบ่งเป็นวง
(Shell) ซึ่งแทนด้วยตัวอักษร
K,L,M,N,O,P,Q จำนวนอิเล็กตรอนที่มีได้มากที่สุดในระดับพลังงานระดับใดระดับหนึ่งมีค่าเท่ากับ
เช่นในชั้น
K จะมีอิเล็กตรอนได้อย่างมากที่สุดเท่ากับ
=2 ตัวเป็นต้น
นอกจากนี้อิเล็กตรอนในวงนอกสุดจะต้องมีไม่เกิน
8 ตัว เช่น
อะตอมของทองแดงมีอิเล็กตรอน
29 ตัว
แบ่งตามวงได้ดังนี้
วง K มีอิเล็กตรอนได้
=
2 ตัว (n=1)
วง L
มีอิเล็กตรอนได้
=
8 ตัว(n=2)
วง M
มีอิเล็กตรอนได้
=
18 ตัว(n=3)
วง N
มีอิเล็กตรอนได้
1 ตัว 1.3
วาเลนซ์อิเล็กตรอน
(Valence Electron) วงของอิเล็กตรอนที่มีบทบาทในการรวมตัวกับอะตอมของธาตุอื่น
คือวงที่อยู่ชั้นนอกสุดและจำนวนอิเล็กตรอนในวงชั้นนอกสุดนี้จะมีอิเล็กตรอนได้ไม่เกิน
8 ตัว วงที่อยู่ชั้นนอกสุดเรียกว่า
เวเลนซ์เชลล์
(Valence Shell)
1.4
อิเล็กตรอนอิสระ
(Free Electron)
1.5
แรงดัน
ความต่างศักย์ทางไฟฟ้า แรงดันที่ทำให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไปในตัวนำ แล้วทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นนั้นอาจจะเรียกว่า 1)
แรงเคลื่อนไฟฟ้า
(Electromotive Force) 2)
แรงดันไฟฟ้า
(Voltage) 3)
ความต่างศักย์ไฟฟ้า
(Difference in Potential) เมื่อมีความต่างศักย์ไฟฟ้าเกิดขึ้นระหว่างตัวประจุไฟฟ้าทั้งสองที่มีตัวนำให้ถึงกันจะทำให้อิเล็กตรอนไหลไปตามตัวนำ
โดยจะไหลออกจากตัวประจุไฟฟ้าลบไปสู่ตัวประจุไฟฟ้าบวก
การไหลของอิเล็กตรอนจะมีต่อเนื่องกัน
แรงที่ผลักดันให้อิเล็กตรอนไหลได้มากหรือน้อย
คือ
แรงเคลื่อนไฟฟ้า
ซึ่งเกิดจากความต่างศักย์ของประจุไฟฟ้า
แต่เนื่องจากศักย์ของการประจุไฟฟ้าแต่ละตัววัดเป็น
โวลต์ ด้วย
และแรงดันไฟฟ้าก็ต้องวัดเป็นโวลต์ตามความต่างศักย์ระหว่างประจุไฟฟ้าสองตัว
ซึ่งจะทำให้เกิดมีแรงดันไฟฟ้าขึ้นได้นี้
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
โวลเตจ (Voltage) 1.6
วิธีการเบื้องต้นในการทำให้เกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้า (Prinmary
Methods of Producing
a Voltage) การที่จะทำให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าเกิดขึ้นได้นั้น สามารถทำได้
6
วิธีด้วยกันคือ 1)
การขัดสี
(Friction) แรงเคลื่อนไฟฟ้าจะเกิดขึ้นได้โดยการนำวัตถุสองชนิดมาถูกัน 2)
แรงกดดัน
(Pressure) แรงเคลื่อนไฟฟ้าจะเกิดขึ้นได้โดยการบีบตัวของผลึก
(Crystal) ของสารชนิดหนึ่ง 3)
ความร้อน
(Heat) แรงเคลื่อนไฟฟ้าจะเกิดขึ้นได้โดยการให้ความร้อนที่จุดต่อของโลหะที่ต่าวชนิดกัน 4)
แสงสว่าง
(Light) แรงเคลื่อนไฟฟ้าจะเกิดขึ้นได้โดยเมื่อแสงสว่างกระทบกับกับสารเคมีที่ไวต่อแสง 5)
กิริยาเคมี
(Chemical Action)
แรงเคลื่อนไฟฟ้าจะเกิดขึ้นได้โดยปฏิกิริยาเคมี
(Chemical Reaction)
เช่นแบตเตอรี่ 6)
อำนาจแม่เหล็ก
(Magnetism) แรงเคลื่อนไฟฟ้าจะเกิดขึ้นในตัวนำไฟฟ้าได้เมื่อตัวนำเคลื่อนที่ผ่านสนามแม่เหล็ก
หรือสนามแม่เหล็กเคลื่อนที่ผ่านตัวนำ
ซึ่งลักษณะเช่นนี้ ตัวนำจะตัดเส้นแรงสนามแม่เหล็ก 1.7
หน่วยแรงเคลื่อนไฟฟ้า
(Unit of
Electromotive Force) แรงเคลื่อนไฟฟ้าเขียนแทนด้วย
E
มีหน่วยเป็น
โวลต์
ความต่างศักย์ไฟฟ้าที่เกิด
1 โวลต์
ระหว่างสองจุด
เกิดจากงานที่ใช้ไป
1 จูล (Joule) เพื่อทำให้ปริมาณไฟฟ้าเคลื่อนที่ไประหว่างจุดทั้งสองได้
1 คูลอมบ์
หรือแรงเคลื่อน
1 โวลต์
หมายถึงแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ทำไห้กระแสไฟฟ้า
1 แอมป์
ไหลผ่านความต้านทาน
1 โอห์ม
การแปลหน่วยของโวลต์
เปลี่ยนเป็นหน่วยที่เล็กกว่าและใหญ่กว่าโวลต์ได้ดังนี้
1
milli-Volt (mV)
=
=
Volts 1
kilo-volt (kV)
=
=
1000 Volts 1
Mega-Volt (MV)
=
=
1000000 Volts 1.8
กระแสไฟฟ้า
(Electric Current) กระแสไฟฟ้า
เขียนแทนด้วย
I มีหน่วยเป็น
แอมแปร์ (Ampere) กระแส
1 แอมแปร์
หมายถึงปริมาณอิเล็กตรอนจำนวน
ตัว
หรือคูลอมบ์
ไหลผ่านจุดใดจุดหนึ่งในเวลา
1 วินาทีได้ ถ้านำเอาตัวนำต่อระหว่างขั้วบวกและขั้วลบ จะปรากฏว่า
อิเล็กตรอนที่อยู่ทางขั้วลบจะวิ้งผ่านตัวนำเข้าหาโปรตอนทางขั้วบวกทันที
การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนนี้เรียกว่ากระแสอิเล็กตรอน
(Electric Current) ในทางตรงข้าม
จะเกิดกระแสของประจุบวกไหลสวนทางกับกระแสอิเล็กตรอน
ซึ่งเรียกกระแสนี้ว่ากระแสสมมุติหรือกระแสนิยม
(Conventional Current)
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
กระแสไฟฟ้า
(Electric Current) ปริมาณของไฟฟ้า
1 คูลอมบ์ (Coulomb) มีจำนวนอิเล็กตรอน
ตัวใช้สัญลักษณ์ของคูลอมบ์
คือ Q กระแสไฟฟ้าวัดได้จากการไหลของอิเล็กตรอน
ตัว
หรือ1 คูลอมบ์
สามารถเคลื่อนที่ผ่านจุดนั้นในเวลา
1 วินาที
ปริมาณของอิเล็กตรอนที่ไหลผ่านมีค่า
1 แอมแปร์ (Ampere)
เมื่อ
I คือ
กระแสไฟฟ้า
หน่วย
แอมแปร์
Q คือ ปริมาณไฟฟ้า
หน่วย
คูลอมบ์
T คือ เวลา
หน่วย
วินาที หน่วยของกระแสไฟฟ้าสามารถเปลี่ยนเป็นหน่วยใหญ่กว่าและเล็กกว่าแอมแปร์ได้ดังนี้
Microamp
=
Amp Milliamp
=
Amp Kiloamp
=
Amp
|
||||||||||||||||||||