Beauty Facts and Beauty Tips
by ~nawo~ [Jan 30, 2003] |
รวบรวมเกร็ดต่างๆเกี่ยวกับความสวยความงามค่ะ ทั้งคำถามที่ถูกถามบ่อย ทั้งเรื่องที่ไปอ่านเจอมา วิชาการบ้าง ไม่วิชาการบ้าง ลองอ่านดูค่ะ
หัวข้อที่เอามาให้อ่านกันนี้ เป็นข้อมูลที่นาวคิดว่าความน่าเชื่อถือ บางส่วนมาจากการหาข้อมูลหลายๆแห่ง บางส่วนมาจากประสบการณ์ทั้งจากตนเองและคนที่รู้จัก และสุดท้ายก็มาจากความรู้ที่เรียนมาค่ะ
ถ้าอยากรู้อะไร ก็เมล์มาถามได้ค่ะ จะหาคำตอบให้
MENU | |
Sunscreen Tips (คลิก เพื่อไปดูที่หน้า Sun Safety Info ค่ะ) | |
วิธีการเลือกแว่น ให้เข้ากับรูปหน้า (คลิก เพื่อไปดูที่หน้า Selecting Effective Sunglasses ค่ะ) | |
1. | ผลของสบู่ต่อผิวหนัง [Jan 30, 2003] |
2. | มะละกอ กะ สัปปะรด ก็เอามาพอกหน้าได้นะ [Jan 30, 2003] |
3. | แอลกอฮออลล์ ทำร้ายผิวได้อย่างไร และทำไมเวลาเราสัมผัสแอลกอฮลล์แล้วจึงรู้สึกเย็น [Jan 30, 2003] |
4. | SD-alcohol หรือ Alcohol Denat. ที่อยู่บนฉลากเครื่องสำอางค์ ต่างกับ alcohol เฉยๆหรือไม่ [Jan 30, 2003] |
5. | ทำไมอาบน้ำเย็นดีจึงดีกว่าน้ำอุ่น [Jan 30, 2003] |
6. | ทำอย่างไร ริมฝีปากจึงจะนุ่มชุ่มชื่นอยู่เสมอ [Jan 30, 2003] |
7. | ผิวขาดน้ำเป็นอย่างไร แล้วจะป้องกันไม่ให้ผิวขาดน้ำได้อย่างไร [Feb 1, 2003] |
8. | มีอะไรอยู่ในกระเป๋านางแบบ : ความลับนางแบบ 36 ข้อ อ่านเล่นๆนะคะ เอาสนุกค่ะ อย่าจริงจัง (English) [Feb 2, 2003] |
9. | กระต่างจากฝ้า และ ขี้แมลงวัน อย่างไร [Feb 4, 2003] |
10. | Retinol กับ Pro-retinol ต่างกันอย่างไร [Feb 4, 2003] |
11. | มีสารอะไรในผลิตภัณฑ์ whitening [Feb 6, 2003] |
1. ผลของสบู่ต่อผิวหนัง | |
1.
ทำให้ผิวหนังมีสภาพเป็นด่าง
(Alkalization)
ผิวหนังของคนเราในสภาวะปกติจะมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ
คือมีค่า pH
ประมาณ 5.5
ดังนั้นเมื่อนำสบู่มาใช้กับผิวของคนเรา
ก็จะทำให้ผิวเปลี่ยนสภาพไปเป็นด่างด้วย
หลังจากนั้นสภาพความเป็นกรด-ด่างของผิวก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมภายในเวลาประมาณ
30-60 นาที
เรียกว่าผิวเกิดภาวะ
Buffering Action 2. การขจัดไขมัน (Degreasing) เนื่องจากสบู่สามารถชำระล้างคราบไขมันที่สกปรกออกจากผิวได้ แต่ก็ทำให้ผิวสูญเสียไขมันที่เคลือบผิวไปเช่นกัน ดังนั้นการใช้สบู่บ่อยๆ เป็นประจำก็จะทำให้ผิวแห้งและหยาบกร้านได้ 3. การพองตัว (Swelling) ชั้นบนสุดของผิวหนังประกอบด้วยสารที่เรียกว่า
Keratin
ซี่เงป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง
สามารถดูดซับน้ำแล้วเกิดการพองตัวได้
ในสภาวะที่ผิวหนังเป็นด่างที่เกิดจากสบู่
จะทำให้keratin
เกิดการพองตัวมากขึ้น
ทำให้ผิวหนังชั้นบนมีการอ่อนตัวลง
สารต่างๆสามารถซึมผ่านผิวหนังได้มากขึ้น สบู่ที่ทำจากน้ำมันมะพร้าว
จะระคายเคืองต่อผิวมากกว่าสบู่ที่ทำจากไขวัว
จากการศึกษาพบว่าความรุนแรงของสบู่นั้นขึ้นอยู่กับแถวโมเลกุลของคาร์บอนอะตอม(C-atom)
ในโมเลกุลของกรดไขมัน
คือถ้าแถวของโมเลกุลของ
C-atom
ยาวกกว่าจะให้สบู่ที่นุ่มกว่า
(Mild Soap) แต่ถ้า C-atom
สั้น กว่า
ก็จได้สบู่ที่มีความรุนแรงมากกว่า
สบู่ที่รุนแรงมากก็ย่อมจะเกิดการระคายเคืองได้มากเช่นกัน การใช้สบู่กับน้ำกระด้าง
จะทำให้เกิดตะกอนของแร่ธาตุที่ปนมากับน้ำได้
เช่น
แคลเซียมและแมกนีเซียม
ตะกอนจะติดที่ผิวเป็นเป็นคราบ
และทำให้เกิดการระคายเคือง
หรืออาจเกิดการอักเสบของต่อมไขมันได้ 1.
แก้ไขความเป็นกรดด่าง
โดยการใช้กรดไขมันในปริมาณที่สูงขึ้น |
|
References: หนังสือ"คลีนิกผิวสวย" โดย น.พ. กมลพรรธน์ เมฆวรวุฒิ และ พ.ญ. อัมพร ชัยศิริรัตน์ หน้า 32-36 จัดพิมพ์โดย อัลฟ่า พับลิชชิ่ง |
2. มะละกอ กะ สัปปะรด ก็เอามาพอกหน้าได้นะ | |
เนื่องจากในมะละกอ
และ สัปปะรด
มีเอนไซม์ที่สามารถย่อยสลายโปรตีน
(proteolytic enzymes)
ในมะละกอ มีเอนไซม์ชื่อว่า Papain แต่ต้องเป็น มะละกอสีเขียว ยังไม่สุก จึงจะมีปริมาณเอนไซม์มากค่ะ ในสัปปะรด มีเอนไซม์ชื่อว่า Bromelain จุดมุ่งหมายในการใช้ผลไม้ 2 ตัวนี้ คือการผลัดเซลล์ผิวที่ตายให้หลุดออก ซึ่งจะคล้ายกับ AHA แต่หน้าที่ต่างกัน AHA
จะกำจัดชั้นบนของเซลล์ผิวที่ตายให้หลุดออก
(ซึ่งเซลล์เหล่านี้
มี keratin
เป็นส่วนประกอบพื้นฐาน) |
|
References: http://www.beautynaturally.com/enzyme.html |
3. แอลกอฮออลล์ ทำร้ายผิวได้อย่างไร และทำไมเวลาเราสัมผัสแอลกอฮลล์แล้วจึงรู้สึกเย็น | |
แอลกอฮลล์มีจุดเดือดต่ำ
สามารถระเหยได้ง่ายและรวดเร็ว
ดังนั้นน้ำซึ่งสามารถละลายได้ในแอลกอฮอลล์
ก็จะระเหยออกไปพร้อมกัน
เมื่อน้ำบนผิวหนังเราระเหยไป
ก็จะทำให้ผิวขาดความชุ่มชื่น
หยาบกร้าน
เหตุผลเดียวกันกับที่
เวลาเราสัมผัสแอลกอฮอลล์แล้วจึงรู้สึกเย็น
นั่นเป็นเพราะ
การระเหยคือกระบวนการทำให้เย็น
("evaporation is a cooling process.") แอลกอฮลล์ที่ใช้ในเครื่องสำอางค์ส่วนใหญ่คือ ethyl alcohol โดยที่ ethyl alcohol ระเหยได้เร็วกว่าน้ำถึง 2 เท่าตัว เมื่อผิวสัมผัสแอลกอฮลล์ไปนานๆ จะทำให้ผิวเสียสมดุลย์ ผิวบางลง และอาจจะทำให้ไวต่อสารเคมีตัวอื่นๆ คือแพ้ง่ายขึ้นนั่นเอง |
|
References: http://www.getsmarter.org/mstv/M3_a.cfm |
4. SD-alcohol หรือ Alcohol Denat. ที่อยู่บนฉลากเครื่องสำอางค์ ต่างกับ alcohol เฉยๆหรือไม่ | |
SD-alcohol
มาจากคำว่า
"specially denatured alcohol"
หมายถึง ethyl alcohol
ที่ถูก "denatured"
โดยการเติม
"denaturant" (สารเติมแต่ง
มีหลายชนิด)
นั่นหมายความว่า
ethyl alcohol นี้ไม่สามารถกินได้
จุดประสงค์ก็คือ เพื่อบอกว่า ethyl alcohol นี้มาใช้กับเครื่องสำอางค์ เป็นการหลีกเลี่ยงว่าไม่ได้ใช้นำไปทำเป็นเครื่องดื่ม SD-alcohol มักตามด้วยตัวเลข หรือ ตัวเลข-ตัวอักษร เพื่อเป็นตัวบอกว่า alcohol ถูก denatured ไปอย่างไร SD-alcohol ที่เป็นที่ยอมรับ ที่ใช้ในเครื่องสำอางค์หลายๆตัว ได้แก่ SD Alcohol 23-A, SD Alcohol 40, and SD Alcohol 40-B ส่วนคำว่า Alcohol Denat. ก็มีความหมายเดียวกัน แต่เป็นคำที่ใช้ในแถบยุโรป |
|
References: http://vm.cfsan.fda.gov/~dms/cos-227.html |
5. ทำไมอาบน้ำเย็นดีจึงดีกว่าน้ำอุ่น | |
เป็นที่รู้กันว่าการนอนแช่ในน้ำอุ่นนั้น
มีข้อเสียคือ
น้ำอุ่นดึงน้ำหล่อเลี้ยงไปจากผิว
ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น
ผิวแห้งได้
แทนที่คุณจะนอนแช่ในน้ำอุ่น คุณควรใช้น้ำที่มีอุณหภูมิห้อง หรือ น้ำอุ่นพอสมควรแทน วิธีนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกดีกว่าการใช้น้ำอุ่นเสียอีก เพราะคุณจะรู้สึกมีพลัง หายจากการอ่อนล้า และผิวคุณก็จะไม่แห้งจนเกินไป นอกจากนี้ เพื่อผิวที่ชุ่มชื่น ไม่แห้งกร้าน คุณไม่ควรใช้เวลาอยู่ใต้ฝักบัว หรือ นอนแช่น้ำเกินกว่า 5 นาทีอีกด้วย |
|
References: http://vm.cfsan.fda.gov/~dms/cos-227.html |
6. ทำอย่างไร ริมฝีปากจึงจะนุ่มชุ่มชื่นอยู่เสมอ | |
-
อย่าเลียริมฝีปากบ่อย
เพราะจะทำให้น้ำมันธรรมชาติที่เคลือบอยู่บนผิวที่ริมฝีปากหลุดออกไป
- ให้ดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ - ทาลิปบาล์ม ไม่ต้องทาเยอะ แต่ให้ทาบ่อยๆค่ะ ทาแล้วทาอีก โดยเฉพาะก่อนนอน เพราะมันจะช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ริมฝีปากของคุณ ระหว่างการนอนหลับ - ถ้าต้องเจอแดด หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งบ่อยๆ ควรใช้ลิปที่มีสารกันแดด อย่างน้อย SPF15 - ช่วงหน้าหนาว หรือ อากาศแห้ง ควรลงลิปบาล์มก่อนทาลิปสติกเสมอ แต่ถ้าปากคุณแห้งแตกมากๆ ไม่ควรทาลิปสติกเลยค่ะ เพราะลิปสติกอาจทำให้ปากระคายเคืองได้ |
|
References:
http://www.kicci.virtue.nu/btips.html
http://www.nuskin.com/au/emagazine/archive/personal_care_pampering_9.shtml |
7. ผิวขาดน้ำเป็นอย่างไร แล้วจะป้องกันไม่ให้ผิวขาดน้ำได้อย่างไร | |||||||||||||||
ผิวขาดน้ำ
เป็นสภวะที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว
แม้แต่กับผู้ที่มีผิวมัน
มีสาเหตุ 2
ประการใหญ่ๆ
คือ
1. ผลจากภายในร่างกาย ซึ่งอาจเกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำ, ผิวไม่สามารถกับเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ มีเกลืออยู่ในร่างกายมากเกินไป, ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์มากเกินไป, การสูบบุหรี่ หรือ การได้รับยาบางชนิด 2. ผลจากภายนอกร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดจากสกินแคร์ที่ใช้ และ สิ่งแวดล้อมที่อาศัย วิธีปกป้องไม่ให้ผิวเกิดการสูญเสียน้ำ ทำได้โดย
สภาพผิวที่แท้จริงเปลี่ยนได้ยาก แต่ผิวขาดน้ำสามารถแก้ไขได้ค่ะ |
|||||||||||||||
References: http://beauty.about.com/library/weekly/aa043099.htm |
8. มีอะไรอยู่ในกระเป๋านางแบบ : ความลับนางแบบ 36 ข้อ | |
What's in a Model's Bag?: 36
Model's Secrets
A model's bag is filled with things you've never dreamed of! Here is a sampling of what you would find if you were to peak into the everyday bag of a working model. Every model gets a workout just from lugging the thing around!:-)
|
|
References: http://irinasworld.com/beautysecrets3.html |
9. กระต่างจากฝ้า และ ขี้แมลงวันอย่างไร | |
กระ เป็นรอยด่างดำที่ผิวหนังชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ มีขอบเขตชัดเจน ต่างกับฝ้า ตรงที่ฝ้ามีลักษณะเป็นปื้น และขนาดใหญ่กว่า กระเกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสี ทำการสร้างเม็ดสีมากขึ้นผิดปกติเมื่อถูกแสงแดด มักเกิดในคนขาวมากกว่าคนผิวดำ คนที่มีพ่อแม่เป็นกระ ก็จะมีโอกาสเป็นกระมากกว่าคนทั่วไป หากตากแดดจะทำให้กระเพิ่มตำนวนมากขึ้นได้ ขี้แมลงวัน ก็มีลักษณะเป็นจุดดำที่ผิวหนัง มีลักษณะคล้ายกระ แต่มีสีเข้มกว่า และ ขนาดใหญ่กว่า ขี้แมลงวันเกิดขึ้นเองได้ทั่วร่างกาย โดยไม่จำเป็นต้องถูกแสงแดด กระเนื้อ แตกต่างจากกระธรรมดาตรงที่กระเนื้อจะมีลักษณะนูนออกมาจากผิวหนัง ถ้าคลำดูจะรู้สึกสะดุดเป็นเม็ดเล็กๆ กระจายอยู่ที่ทั้งที่ใบหน้า ลำคอและ ลงมาถึงลำตัวในส่วนที่ไม่ถูกแดดก็ได้ กระเนื้อเกิดขึ้นได้เอง โดยพบว่าคนในครอบครัวเดียวกัน มีโอกาสเกิดกระเนื้อได้มากกว่า เข้าใจว่าน่าจะเกิดจากกรรมพันธุ์ เมื่ออายุเพิ่มขึ้นก็จะมีโอกาสเกิดได้มากขึ้นเช่นกัน ความจริง กระเนื้อ ก็คือเนื้องอกของผิวหนังชนิดหนึ่งนั่นเอง มักเกิดกับคนที่อายุ 30-40 ปีขึ้นไป แต่บางทีก็อาจพบในคนที่อายุ 17-18 ปีก็ได้ กระเนื้อมักจะกระจายตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะที่ใบหน้า แสงแดดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กระเนื้อมีจำนวนมากขึ้นและใหญ่ขึ้นได้
|
|
References: หนังสือ"คลีนิกผิวสวย" โดย น.พ. กมลพรรธน์ เมฆวรวุฒิ และ พ.ญ. อัมพร ชัยศิริรัตน์ หน้า 99-100 จัดพิมพ์โดย อัลฟ่า พับลิชชิ่ง |
10. Retinol กับ Pro-retinol ต่างกันอย่างไร | |
ทั้ง retinol และ pro-retinol (retinyl palmitate) ต่างก็เป็นวิตามินเอเหมือนกัน เพียงเป็นเป็นคนละฟอร์ม ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน แต่เป็นสารเคมีคนละตัวกัน นอกจาก retinol และ retinyl palmitate (pro-retinol) แล้ว วิตามินเอยังมีฟอร์มอื่นอีก เช่น retinal และ retinoic acid retinoic acid เป็นกรด ซึ่งตัวที่มีผลโดยตรงต่อเซลล์ผิว (เป็น active ingredient form) วิตามินเอฟอร์มอื่นๆ ต้องถูกเปลี่ยนให้เป็น retinoic acid ก่อน จึงจะสามารถไป activate เมตาบอลิซึมของเซลล์ผิวหนังได้ แต่สกินแคร์ส่วนใหญ่ไม่ใส่ retinoic acid เพราะมันทำเกิดการระคายเคืองได้ง่ายที่สุด retinol เป็นแอลกอฮอลล์ เป็นฟอร์มที่เห็นมากในสกินแคร์ ซึ่งมักพบปัญหา คือ เมื่อใส่น้อยก็ไม่เห็นผล เพราะอัตราการเปลี่ยน retinol ไปเป็น retinoic acid ต่ำ แต่เมื่อใส่มาก เพื่อให้มีปริมาณมากพอที่จะเกิดผล ก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองได้เหมือน retinoic acid ดังนั้นจึงต้องใส่ปริมาณที่มากพอจะทำให้เห็นผล แต่ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง retinyl
palmitate
เป็นเอสเทอร์
เป็นฟอร์มของวิตามินเอที่พบมากสุดในร่างกายถึง
80 % retinal เป็นอัลดีไฮด์ ช่วยในเรื่องการมองเห็น ถ้าร่างกายขาดสารตัวนี้อาจทำให้เกิดภาวะตาบอดกลางคืนได้
วิตามินเอ (retin) ต่างๆเหล่านี้ ช่วยในเรื่องของริ้วรอย แต่การเวลาใช้ต้องระวังแสงแดด เพราะวิตามินเอ sensitive ต่อแสง โดยเฉพาะรังสี UVA ดังนั้นต้องทากันแดดทุกครั้ง เมื่อใช้วิตามินเอ |
|
References: http://www.smartskincare.com/treatments/retinol.html |
11. มีสารอะไรในผลิตภัณฑ์ whitening | |
ผลิตภัณฑ์ whitening จะใส่สารหลายกลุ่มด้วยกัน โดยที่อาจจะใส่สารทุกกลุ่ม หรือ อาจจะใส่เพียงบางกลุ่มก็ได้ 1. สารกันแดด เพราะจะช่วยป้องผิวจากแสงแดด โดยเฉพาะรังสียูวีเอ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสีผิวที่เข้มขึ้น (ผิวสีแทน) 2. สารปกป้องมลภาวะ (anti-oxidant) เพื่อป้องกันการการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำใ่ห้เกิดเม็ดสี หรือ เมลานิน (melanin) เช่น วิตามินเอ วิตามินซี ชาเขียว สารสกัดจากเมล็ดองุ่น เป็นต้น 3. สารยับยั้งการเกิดเม็ดสี หรือ เมลานิน (melanin) โดยสารกลุ่มนี้ จะทำหน้าที่ยับยั้ง tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่อยู่ใน skin pigment cells (melanocytes) ที่เป็นสาเหตุของการเกิดเมลานิน เช่น hydroquinone, ascorbic acid, kojic acid, arbutin, azealic acid, glycyrrhetinic acid (licorice extract) 4.
Titanium Dioxide
เป็นสารสีขาว
มี reflective index
สูงมากๆ
จึงสามารถทำหน้าที่ได้
2 อย่างคือ |
|
References:
http://www.mountainroseherbs.com/learn/titaniumdioxide.php
http://www.cutanix.com/science-tech/tech_pigmentation-inhibition.asp |