ทาง 5 สาย
พระธรรมเทศนาของ พระราชสิทธิมุนี (โชดก ป.9)
พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ แสดงที่วัดยางงาม
จ. ราชบุรี 27 เม.ย 2501
ทาง 5 สายนั้นคือ
อธิบายทางสายที่ 1.
คำว่า "อบาย" แปลว่า ชั่ว ต่ำ เลว ปราศจากความเจริญ มีอยู่ 4 อย่าง คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉาน
ถาม. อะไรเป็นเหตุนำสรรพสัตว์ไปตกนรกเหล่านี้?
ตอบ. โดยมากโทสะเป็นผู้นำไป ดังหลักฐานยืนยันความข้อนี้ ซึ่งปรากฎอยู่ในอัฏฐกถาอัฏฐสาลินีว่า
โทเสน หิ จณฺฑชาติตาย โทสสทิสํ นิรยํ อุปปชฺชนฺติ
เพราะโทสะนั้นเอง เป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายจึงตกไปตกนรก ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกัน กับโทสะ เพราะโทสะมีชาติหยาบมาก
เมื่อสัตว์ไปตกนรกเหล่านี้ ย่อมจะได้รับแต่ความทุกข์ถ่ายเดียว เพราะบาปกรรมที่ตนทำไว้นั่นเองเป็นเหตุ เพราะฉะนั้น นรกจึงได้ชื่อว่า อบาย ดังบรรยายมาแล้วนั้น
ถาม. อะไรเป็นเหตุนำสรรพสัตว์ไปเป็นเปรต กับอสุรกาย?
ตอบ. โดยมากโลภะเป็นเหตุ ดังหลักฐานในอัฏฐสาลินีอัฏฐกถา รับรองข้อนี้ไว้ว่า
เยภยฺเยน หิ สตฺตา ตณฺหาย เปตฺติวิสยํ อุปปปชฺชชนฺติ
จริงอยู่ โดยมากสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเกิดเป็นเปรตและอสุรกาย เพราะตัณหาเป็นเหตุ
ก. ตัวอย่างในอดีต ได้แก่ เปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร โลภกินของที่จะนำไปถวายพระ ตายแล้วได้ไปเกิดเป็นเปรต พึ่งจะได้รับบุญจากพระเจ้าพิมพิสารในศาสนาของพระพุทธเจ้าของเรานี้
ข. ตัวอย่างในปัจจุบัน มีตระกูลหนึ่ง ระหว่าง พ.ศ 2475 มีบุตร 10 คน บิดากำลังสร้างบ้านอยู่ 20 หลัง หลังที่หนึ่งเสร็จไปแล้ว ส่วนหลังที่สองกำลังหากระเบื้องปูพื้น บังเอิญบิดาเป็นโรคท้องร่วง มีความห่วงในลูกและทรัพย์สมบัติที่ตนครองอยู่มาก มีอาการทรงอยู่ได้ 3 วัน ก็ตายไป พอตายไปแล้ว ปรากฏว่า มาหลอกหลอนต่างๆ นาๆ เช่น เอาสิ่งของอยู่บนขื่อ บนเพดาน ทิ้งมาข้างล่างดังตึงตังๆ เหมือนกันกับคนทิ้งลงมาจริงๆ แต่ก็ไม่มีของตกลงมา ลูกเขยไปซื้อหนังมาไว้ขายตากไว้ที่ฉางข้าว เวลากลางคืน เดือนหงายๆ เสียงพับหนังเหมือนกับเสียงคน สุนัขเห่าตลอดคืนแต่เวลาคนลงไปดูก็ไม่เห็นมีอะไร ในบ้านนั้นมีคอกม้าอยู่ใต้ถุนบ้าน เสียงถอดลิ่มสลักออก แล้วขี่ม้าหนีออกจากคอกไป ครั้นจุดตะเกียงลงไปดู ม้าก็ยังยืนอยู่ตามเดิม ข้อนี้แสดงว่าผู้ตายนั้นได้ไปเกิดเป็นเปรต เพราะโลภะคือความห่วงสมบัติเป็นเหตุ
4. สัตว์ดรัจฉาน มีมากเช่น ช้าง ม้า วัว ควาย หมู หมา เป็ด ไก่ นก หนู กุ้ง หอย ปู ปลา เป็นต้น โดยส่วนมากโมหะเป็นผู้นำไป ดังมีหลักฐานปรากฎอยู่ในอัฎฐสาลินี อัฏฐกถาว่า
โมเหน หิ นิจฺจํ สมฺมฬฺหํ ติรจฺฉานโยนิยฺ อุปปปชฺชนฺติ
เพราะโมหะ นั่นแหล่ะ เป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายจึงพากันเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ซึ่งมีความลุ่มหลงอยู่เป็นนิตย์ ดังนี้
ตัวอย่างในข้อนี้ คือ ยังมีบุรุษคนหนึ่งเดินทางมาแต่ไกล มีความลำบากและเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า พร้อมทั้งหิวอาหารในทางไกลกันดารด้วย ครั้นมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พุทธศาสนิกชนกำลังพากันถวายอาหารแก่พระภิกษุสงฆ์อยู่ เพราะวันนั้นเป็นวันที่ชาวพุทธร่วมกันบำเพ็ญกุศล เมื่อชายคนนั้นมาถึงจึงนั่งพักอยู่ เพื่อรับเศษอาหารจากพระภิกษุสงฆ์ บังเอิญเขามองไปใต้ธรรมาสน์ เห็นสุนัขตัวหนึ่งกินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญแล้วนอนหลับอยู่ จึงคิดว่าสุนัขนี้มีบุญมากหนอ ดีกว่าเราผู้เป็นคนแท้ๆ พอพระภิกษุสงฆ์ฉันเสร็จเจ้าของทานก็ได้นำอาหารมาเลี้ยงชายคนนั้นอย่างเต็มที เขาได้รับประทานอย่างสมใจ เพราะที่เขารับประทานอาหารมากเกินควร อาหารไม่ย่อย เขาก็เลยตายไป ขณะนั้นก่อนที่ใจจะขาด ภาพสุนัขนั้นก็มาปรากฎแก่เขา พอตายไปจึงได้ไปเกิดในท้องสุนัขตัวนั้นเป็นลูกโทน คือมีลูกตัวเดียว ทั้งนี้ก็เพราะโมหะเป็นต้นเหตุ ถูกต้อง ตามหลักฐานดังที่ได้แสดงมานี้
สรุปความว่า ทางสายที่ 1 นี้ ไปอบายภูมิทั้ง 4 ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉาน มีโลภะ โทสะ โมหะ เป็นผู้นำไปคือ.
โลภะ นำไปเกิดเป็น เปรต กับอสุรกาย
โทสะนำไป ตกนรก
โมหะ นำไปเกิดเป็น สัตว์ดิรัจฉาน
เมื่อเราไปตกนรกก็ดี ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกายก็ดี ไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็ดี ไม่มีโอกาสจะได้สร้างความดีเช่นกับมนุษย์ จะไปฟังเทศน์ จะไปรักษาศีล จะไปเจริญกรรมฐานก็ไม่ได้ เพราะกรรมหนัก กรรมแรงปิดบังไว้ จึงเป็นเหตุให้สรรพสัตว์วนเวียนอยู่ในห้วงกิเลส และกองทุกข์อย่างน่าสะพรึงกลัว ฉะนั้น ขอมวลพุทธบริษัท จงพากันทำบุญให้มากๆ เถิด จะได้ไม่เสียใจในภายหลัง เพราะขณะนี้บางคนก็ดุจต้นไม้ใกล้ฝั่ง รอคอยลมคือความตายอยู่ทุกคืนวันเท่านั้น
อธิบายทางสายที่ 2.
คำว่า "มนุษย์" นี้ตามรูปศัพท์บาลี แปลได้หลายอย่าง เช่นแปลว่า ผู้มีใจสูง ก็ได้ แปลว่า ผู้รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ก็ได้ แปลว่า ผู้เป็นเหล่ากอของผู้รู้ ก็ได้ ผู้ที่จะเกิดเป็นมนุษย์ก็เพราะอาศัยธรรมของมนุษย์ คือธรรมประจำมนุษย์ ได้แก่ศีล 5 ศีล 5 นี้แหล่ะเป็นคุณธรรมที่จะเสกสรรปั้นคนให้เป็นคน ถ้าใครขาดธรรม คือ ศีล 5 ก็จัดว่าเป็นคนไม่เป็นคน เหตุดังนี้ ท่านจึงแบ่งมนุษย์ออกเป็น 5 จำพวก คือ
มนุษย์ผู้มีคุณสมบัติเช่นนี้ ท่านขนานนามว่า มนุสฺสเทโว แปลว่า มนุษย์เทวดา
เท่าที่แสดงมานี้ก็พอชี้ให้เห็นแล้ว่า ศีลธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องวัดบุคคลเป็นเครื่องแบ่งแยกบุคคลให้มีประเภทต่างๆ กัน ถ้าผู้ใดไร้ศีลธรรม ผู้นั้นก็ชื่อว่า เป็นคนไม่เต็มคนบ้าง เป็นคนเปรตบ้าง เป็นคนอสุรกายบ้าง เป็นคนนรกบ้าง เป็นคนดิรัจฉานบ้าง ถ้าผู้ใดมีศีลธรรม มีวัฒนธรรมอันดีงาม ผู้นั้นก็ชื่อว่า เป็นคนเต็มคนแท้ เป็นคนเทวดา
อธิบายทางสายที่ 3.
คำว่า "สวรรค์" นี้ ตามรูปศัพท์บาลี แปลว่า เลิศด้วยดี ก็ได้ แปลว่า มีอารมณ์ดีงาม ก็ได้ อันสรรพสัตว์พึงถึงด้วยกรรมอันดีงาม ก็ได้ แปลว่า เป็นที่ข้องอยู่ติดอยู่แห่งสัตว์ทั้งหลาย ก็ได้
รวมความว่า สวรรค์ แปลว่า โลกเป็นที่อยู่ของเทวดา มีแต่รูป เสียง กลิ่น รส อันดีงาม คือเป็นของทิพย์ ดีเลิศประเสริฐกว่าเมืองมนุษย์หลายเท่า ในกามาวจรมีอยู่ 6 ชั้น คือ :
สวรรค์ 6 ชั้นนี้ ถัดกันไปโดยลำดับ ที่แสดงมานี้ปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 19 หน้าที่ 531
ถาม : อะไรเป็นผู้นำสัตว์ไปเกิดในสวรรค์ ?
ตอบ : มหากุศลเป็นผู้นำไป
ถาม : มหากุศล หมายความว่าอย่างไร มีกี่อย่าง อะไรบ้าง
ตอบ : มหากุศล หมายความว่า กุศลมาก คือมีหลายๆ อย่าง เช่น ให้ทาน ฟังธรรม เรียนธรรม เจริญกรรมฐาน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างโปสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล สร้างกุฎิ ขุดบ่อน้ำ ตักบาตร บูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ของหอม เครื่องอาภรณ์ และบูชาด้วยปัจจัย 4 คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ ยาแก้โรค เป็นต้น จนไม่สามารถ จะนับได้ เรียกว่ามหากุศลทั้งนั้น เมื่อสรุปลงมาย่อๆ แล้วมีอยู่ 8 อย่างคือ
อธิบายทางสายที่ 4.
ทางสายที่ 4 คือ ทางไปพรหมโลก ทางไปพรหมโลก นั้น ได้แก่อารมณ์ 40 แบ่งเป็น 7 หมวดคือ
ทั้ง 40 นี้ เป็นอารมณ์ของสมถกรรมฐาน ผู้ที่เจริญกรรมฐานเหล่านี้ข้อใด ข้อหนึ่ง เช่น เพ่งดิน เพ่งน้ำ เป็นต้น จนได้บรรลุปฐมญาน ทุติยฌาน ฯลฯ เมื่อตายแล้วย่อมได้ไปเกิดในพรหมโลก ชั้นใดชั้นหนึ่ง ตามสมควรแก่ฌานของตน ถ้าผู้ใดต้องการไปเกิดในพรหมโลก ก็ต้องเจริญสมถกรรมฐานจนได้ฌานก่อน ผู้นั้นก็ได้ไปเกิดในพรหมโลกตามประสงค์
ทางสายที่ 1 และ 4 นี้ มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก ภายในพุทธศาสนาก็มี ภายนอกพุทธศาสนาก็มี เช่น อาฬารดาบส อุทกดาบส ผู้เป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้า เป็นต้น ได้เดินทางสายนี้มาแล้ว
ถึงแม้ว่าได้ฌานแล้วไปเกิดในพรหมโลกก็ตาม ยังไม่พ้นทุกข์ได้ ถ้าหมดบุญแล้วยังจะกลับมาสู่อบายภูมิได้อีก ดังตัวอย่างต่อไปนี้คือ
ในอดีตกาล ยังมีแม่ไก่ตัวหนึ่งไปยืนฟังพระสอนวิปัสสนากรรมฐานอยู่อย่างไม่รู้เรื่อง ในขณะนั้นมีเหยี่ยวตัวหนึ่งโฉบลงมาเอาไก่ตัวนั้นไปเป็นอาหาร เมื่อแม่ไก่ตัวนั้นตายแล้ว ได้ไปเกิดเป็นธิดาของพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อนางอายุได้ 15 ปี นางไปถ่ายอุจจาระมีหมู่หนอนมาแย่งกันกินอุจจาระ เป็นกลุ่มๆ ก้อนๆ อยู่นางจึงเพ่งดูหนอนนั้น พร้อมทั้งบริกรรมในใจว่า "ปุฬุวกํ ปุฬุวกํ" แปลว่าหนอน หนอน ดังนี้ ไม่นานก็สามารถเกิดวิตกยกจิตขึ้นสู่กองหนอน วิจารวนรอบอยู่กองหนอน ปิติเกิดขนลุกซู่ตามร่างกาย สุขมีความสบาย เอกัคคตา มีใจดิ่งอยู่อารมณ์อันเดียว เรียกได้ว่าบรรลุปฐมฌาน เมื่อตายแล้วนางได้ไปเกิดในพรหมโลก ครั้นมาถึงศาสนาแห่งพระพุทธเจ้า นางได้จุติจากพรหมโลกมาเกิดเป็นมนุษย์ ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นนางสุกร พระพุทธเจ้ากับพระอานนท์เข้าไปบิณฑบาตในบ้าน เมื่อได้ทอดทัศนาการเห็นเป็นเช่นนั้น พระพุทธองค์จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ให้ปรากฏ พระอานนท์เถระจึงได้ทูลถามถึงเหตุนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสเป็นใจความว่า "ดูกรอานนท์ ตัณหาของสรรพสัตว์นี้หยาบมาก นางสุกรนี้ เมื่อก่อนเกิดเป็นแม่ไก่ ตายจากนั้นไปเกิดเป็นธิดาของพระเจ้าแผ่นดิน ตายจากนั้นได้ไปเกิดในพรหมโลก ครั้นจุติจากพรหมโลกแล้วยังกลับมาเกิดในอบายภูมิ คือ นางสุกร เช่นนี้อีก"
ตามตัวอย่างนี้ พอชี้ให้เห็นแล้วว่า ผู้ที่ได้ฌานแล้วยังกลับไปสู่ทุคติได้อีก เพราะกิเลสยังมีอยู่ เป็นเพียงข่มไว้ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น ยังละไม่ได้เด็ดขาด จึงจำเป็นต้องกลับมาสู่อบายภูมิได้อีก ดังหลักฐานในวิภังคบาลี รับรองความข้อนี้ว่า
อุกฺขิตฺตา ปุญฺญเตเชน กามรูปคตึ คตา
ภวคฺคมฺปิจ สมฺปตฺตา ปุน คจฺฉนฺติ ทุคฺคตึ
ด้วยอำนาจแห่งบุญที่ตนทำไว้แล้ว สัตว์ทั้งหลายจึงได้ไปเกิดในพรหมโลก แม้ถึงภวัคคพรหมแล้ว ก็ยังกลับมาสู่ทุคติได้อีก ดังนี้
เพราะฉะนั้น ขอสาธุชนทั้งหลายจงอย่าพากันประมาท และนอนใจอยู่ เพียงแต่ทางสายที่ 2 ถึงที่ 4 นี้ยังไม่พ้นไปจากกิเลสและกองทุกข์ได้ ยังไม่พ้นจากอบายภูมิไปได้อย่างแน่นอน ยังมีโอกาสจะต้องย้อนกลับบ้านสู่ทุคติได้อยู่ มีประตูอบายเปิดคอยไว้ทุกเมื่อ ปิดประตูอบายยังไม่ได้อย่างเด็ดขาด จงพากันรีบถ่อรีบพายต่อๆ ไป จนกว่าจะถึงพระนิพพานโน้นเถิด จะไม่เกิดเสียใจภายหลัง ทางสายที่ 4 มีอรรถาธิบายดังบรรยายมาด้วยประการฉะนี้
อธิบายทางสายที่ 5.
ทางสายที่ 5 คือทางไปนิพพาน ได้แก่ การเจริญสติปัฏฐาน 4 ดังบาลีที่ได้ยกเป็นหัวข้อ ณ. เบื้องต้น นั้นว่า
เยเนว ยนฺติ นิพฺพานํ พุทฺธา เตสญฺจ สาวกา
เอกายเนน มคฺเคน สติปัฏฺฐานสญฺญินา
แปลว่า พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกทั้งหลาย ได้ดำเนินไปแล้วสู่พระนิพพานด้วยหนทางสายใด ทางสายนั้นเป็นทางสายเอก อันนักปราชญ์รู้ทั่วถึงกันแล้วว่าคือ สติปัฏฐาน 4 มีดังนี้
การเจริญสติปัฏฐาน 4 คือการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง อารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐาน ได้แก่วิปัสสนาภูมิทั้ง 6 คือ :
ย่อให้สั้นได้แก่รูป กับ นาม รูปกับนามนี้ เกิดขึ้นที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และ กิเลสก็ เกิดที่ตรงนี้เช่น เวลาเห็นรูป รูปนามเกิดแล้ว สีเป็นรูป เห็นเป็นนาม ถ้าเห็นรูปดี ชอบใจเป็นโลภะ เห็นรูปไม่ดี ไม่ชอบใจ เป็นโทสะ เห็นแล้วเฉยๆ ไม่มีสติกำหนดรู้เป็นโมหะ
ทางหูก็เช่นกัน เช่น เสียงเป็น รูป หู (หมายเอาโสตประสาท) เป็นรูป ได้ยิน เป็นนาม ได้ยินเสียงเพราะชอบใจ เป็นโลภะ ได้ยินเสียงไม่เพราะ ไม่ชอบใจ เป็นโทสะ ได้ยินเสียงแล้ว ใจเฉยๆ และไม่มีสติกำหนดรู้เป็นโมหะ
ทางจมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นรูปนาม และเป็นเหตุให้ โลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นโดยทำนองเดียวกันนี้
ตามธรรมดาของชาวโลก โดยทั่วๆ ไป แล้วเวลาจะดับไฟต้องเอาน้ำไปสาดหรือเทลงตรงไฟไหม้นั้น จึงจะดับได้ เช่นไฟกำลังไหม้บ้าน ต้องเอาน้ำไปเทรดที่บ้านนั้น ไฟจึงจะดับได้ ฉันใดผู้ที่จะดับกิเลส ก็ฉันนั้น กิเลสเกิดที่จมูก หู ลิ้น กาย ใจ ก็ดับกิเลสที่ตรงตา หู เป็นต้นนั้นเช่นกัน
วิธีที่จะดับได้นั้น ต้องพร้อมด้วยองค์ 3 คือ
เมื่อปฏิบัติถูกต้องตามองค์เช่นนี้ ติดต่อกันไปภายใน 7 วัน 15 วัน 1 เดือน หรือ 2 เดือน เป็นต้น จึงจะสามารถละกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลงได้
ภาคปฏิบัติตามสติปัฏฐาน 4 นั้น ทำดังนี้ คือ:
แสดงเหตุแห่งการปฏิบัติเป็นข้อๆ ดังนี้ คือ
สกลํปิ หิ เตปิฏกํ พุทฺธวจนํ อาหริตฺวา
กถิยมานฺ อปฺปมาทํเอว โอตรติ
โย โข อานนฺท ภิกฺขุ วา ภิกฺขณี วา อุปาสโก อุปาสิกา วา
ธมฺมานุธมฺม ปฏิปนฺโน วิหรติ เป็นต้น แปลเป็นใจความว่า
"ดูกรอานนท์ บุคคลใด เป็นภิกษุก็ตาม เป็นภิกษุณีก็ตาม เป็นอุบาสก เป็นอุบาสิกา ก็ตาม ถ้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่นวโลกุตตรธรรมทั้ง 9 ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติตามธรรม คือ เจริญสติปัฏฐาน 4 ได้แก่เจริญวิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง จนได้บรรลุ มรรค ผล นิพพานแล้ว บุคคลนั้นชื่อว่า ได้ สักการะ ได้เคารพ ได้นับถือ และได้บูชาเรา ด้วยการบูชาอย่างสูงที่สุด" ดังนี้
ภิกฺขเว มยิ สสิเนโห ติสฺสสทิโสว เป็นต้น ใจความว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดมีความรักใคร่ในเรา ผู้นั้นจงเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เช่นกับ พระติสสะนี้เถิด ถึงแม้ว่าพุทธบริษัท จะทำการบูชาเราด้วยของหอม และดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น ก็ยังไม่ชื่อว่า ได้บูชาเราอย่างแท้จริง เฉพาะผู้ที่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน สมควรแก่มรรค ผล นิพพาน เท่านั้น จึงจะชื่อว่า ได้บูชาเราอย่างแท้จริง ดังนี้
แสดงผลแห่งการปฏิบัติเป็นข้อๆ ดังนี้ คือ
รูปนาม เปรียบเหมือนตัวเสือ พระไตรลักษณ์ เปรียบเหมือนลายเสือ
ตัวเสือ จะไปหากินวัวกลางทุ่ง ส่วนลายเสือ ไปอยู่ในป่าเช่นนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้น เมื่อเห็นตัวเสือก็เห็นลายเสือ เมื่อเห็นรูปนามก็ย่อมเห็นพระไตรลักษณ์ อันนี้เป็นหลักของสภาวะธรรม เกิดเฉพาะแก่ผู้ปฏิบัติเท่านั้น จะเกิดแก่ผู้ไม่ปฏิบัติไม่ได้ เป็นอันขาดดุจอาหารจะกินแทนกัน จะอิ่มแทนกันไม่ได้ ใครกิน ใครอิ่ม ใครกิน ใครอ้วน โบราณท่านว่า กินเองจึงอ้วน
ที่แสดงมานี้ แสดงผลโดยย่อ ถ้าจะแสดงผลโดยส่วนกลาง ผู้ปฏิบัติจะได้รู้แจ้งแทงตลอดวิสุทธิทั้ง 7 คือ
ถ้าจะแสดงผลแห่งการปฏิบัติโดยพิสดารแล้ว ผู้ปฏิบัติทางสายนี้ จะได้ผลเป็นขั้นๆ ถึง 16 ประการคือ :
ดังที่แสดงมานี้ เป็นผลแห่งการปฏิบัติตามสติปัฏฐาน 4 โดยพิสดาร
ผู้ปฏิบัติผ่านญาณ 16 ครั้งที่ 1 เรียกว่า เป็น พระโสดาบัน
ผู้ปฏิบัติผ่านญาณ 16 ครั้งที่ 2 เรียกว่า เป็น พระสกิทาคามี
ผู้ปฏิบัติผ่านญาณ 16 ครั้งที่ 3 เรียกว่า เป็น พระอนาคามี
ผู้ปฏิบัติผ่านญาณ 16 ครั้งที่ 4 เรียกว่า เป็น พระอรหันต์
เมื่อปฏิบัติผ่านญาณ 16 ถึง 4 ครั้งเช่นนี้แล้ว จึงจะเป็นผู้อยู่จบพรหมจรรย์ เป็นอันว่า ไม่
ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในห้วงมหรรณพภพสงสารอีกต่อไปแล้ว
เพราะฉะนั้น ขอให้สาธุชนพุทธบริษัททั้งหลายจงพากันรีบลงมือปฏิบัติเสียแต่บัดนี้เถิด จะไม่เสียทีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา อันสรีระร่างและทรัพย์สมบัติของเรานี้ไม่มีสาระและแก่นสารอะไรเลย ในเมื่อแตกตายสลายชีวิตลงไปแล้ว แม้ลูกๆ หลานๆ จะเอาใส่ในปากให้คาบไป ก็เอาไปไม่ได้ เราท่านทั้งหลายควรจะรีบถือเอาสาระแก่นสารจากสกลกายอันนี้เสียโดยเร็วพลัน อย่าประมาทอยู่ อย่ามัวผลัดวันประกันพรุ่งอยู่ ตนเท่านั้นเป็นที่พึ่งแห่งตน คนอื่นใครเล่าจะมาเป็นที่พึ่งแก่เราได้ จงพากันรีบถ่อรีบพายเถิด ประเดี๋ยวตะวันจะสาย ตลาดจะวาย สายบัวของเราจะเน่า
เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้