สมถกรรมฐาน 40 กองและคุณความสามารถของกรรมฐานทั้ง 40 กอง
กสิน 10
ปฐวีกสิน
อาโปกสิน
เตโชกสิน
วาโยกสิน
นีละกสิน
ปีตะกสิน
โลหิตกสิน
โอทาตะกสิน
อากาสะกสิน
อาโลกะกสิน
อสุภะ10
- อุทธมาตถะอสุภะ
- วินิลกะอสุภะ
- วิปุพพกะอสุภะ
- วิฉิททะอสุภะ
- วิกขายตถะอสุภะ
- วิกขิตตถะอสุภะ
- หตวิกขิตตกอสุภะ
- โลหิตกะอสุภะ
- ปุฬุวกะอสุภะ
- อัฎกะอสุภะ
อนุสสติ 10
- พุทธานุสติ คือ การระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
- ธัมมานุสสติ คือ การระลึกถึงคุณของพระธรรม
- สังฆานุสสติ คือ การระลึกถึงคุณของพระสงฆ์
- สีลานุสสติ คือ การระลึกถึงศีลของตน
- จาคานุสสติ คือ การระลึกถึงทานที่ตนบริจาคแล้ว
- เทวตานุสสติ คือ การระลึกถึงคุณที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา
- อุปสมานุสสติ คือ การระลึกถึงคุณพระนิพพาน ซึ่งเป็นที่ระงับกิเลสและกองทุกข์
- มรณานุสสติ คือ การระลึกถึงความตายที่จะมาถึงตน
- กายคตาสติ คือ ระลึกทั่วไปในกาย ให้เห็นว่าไม่งาม น่าเกลียด
- อานาปานัสสติ คือ การตั้งสติกำหนดลมหายใจ เข้าออก
อัปปมัญญา 4
- เมตตาอัปปมัญญา
- กรุณาอัปปมัญญา
- มุทิตาอัปปมัญญา
- อุเบกขาอัปปมัญญา
อรูป 4
- อากาสานัญจายตนะ
- วิญญาณัญจายตนะ
- อากิญจัญญายตนะ
- เนวสัญญานาสัญญายตนะ
กรรมฐานแยกต่างหากอีก 2 คือ
- อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือ สิ่งปฏิกูลน่าเกลียด
- จตุธาตุววัตถาน คือ ธาตุทั้ง 4 ประชุมตน
คุณความสามารถของกสินทั้ง 40 กอง :
กสิน 10 ทั้งหมดและอานาปานัสสติ (อยู่ในอนุสสติ 10) มีอำนาจส่งผลให้ผู้บำเพ็ญได้ถึงรูปฌานที่ 4 หรือจตุตฌาน (ปฏิภาคนิมิต) จัดเป็นฌานสูงสุด
อสุภะ 10 ทั้งหมดและกายคตาสติ (อยู่ในอนุสสติ 10) มีอำนาจส่งผลให้ผู้บำเพ็ญได้ถึงปฐมฌาน (ปฏิภาคนิมิต) เท่านั้น เพราะเป็นอารมณ์ที่หยาบหรือน่าเกลียดมากนั่นเอง เสมือนเรือที่จอดอยู่ในกระแสน้ำที่ไหลเชียว จะอยู่นิ่งได้ก็ต้องอาศัยหลักเสาหรือว่าตอไม้ยึดอยู่
อนุสสติ 10 (ยกเว้นอานาปานัสสติและกายคตสติ) และอาหาเรปฏิกูลสัญญา ,จตุธาตุววัตถาน จัดเป็นอารมณ์กรรมฐานที่ให้ได้เพียงแค่อุปจารสมาธิ(อุคคหนิมิต) เท่านั้นเพราะเป็นอารมณ์ที่มีความละเอียดและสุขุมลึกซึ้งมาก ผู้ที่บำเพ็ญภาวนา จำเป็นจะต้องระลึกไปถึงในพระพุทธคุณทั้งหลายเหล่านั้น อย่างกว้างขวางตามพระคุณต่างๆ ที่มีอยู่อย่างกว้างขวางนั่นเอง (เปรียบเสมือนเรือที่จอดอยู่ในทะเลลึกทอดสมอไม่ถึงดิน) เรือไม่อาจจะอยู่กับที่ได้
อรูป 4 มีอำนาจส่งผลให้ผู้บำเพ็ญได้ถึงอรูปฌาน 4 (อุคคหนิมิต) ในระดับอัปปนาสมาธิ
อัปปมัญญา 4 ทั้งหมด ยกเว้น อุเบกขาอัปปมัญญา มีอำนาจส่งผลให้ผู้บำเพ็ญได้รูปฌานที่ 3 ส่วนอุเบกขาอัปปมัญญา จะได้ปัญจมฌาน
ข้อแตกต่างระหว่างอุคคหนิมิตกับปฏิภาคนิมิตคือ
อุคคหนิมิต เป็นนิมิตที่มีเพียงการย่อ หรือ ขยาย จำได้ติดตา ติดใจ ส่วนปฏิภาคนิมิต เป็นนิมิตที่สามารถ กำหนดให้มีความสว่าง เห็นรูป ได้ชัดเจน
กฎระเบียบของวิปัสสนามี 7 อย่างคือ
- ห้ามมิให้ปล่อยจิตติดอารมณ์ ภายนอกเกินไป
- ห้ามไม่ให้จิตห่างจากอารมณ์ คือ อาการไหว อาการนิ่งเกินไป
- ห้ามไม่ให้ทำความเพียรกล้าหาญเกินไป
- ห้ามไม่ได้ทำความเพียรอ่อนแอเกินไป
- ห้ามไม่ได้เพ่งรูปนามในอดีตที่ล่วงไปแล้ว
- ห้ามไม่ให้เพ่งรูปนามในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
- ให้เพ่งรูปนามที่เป็นปัจจุบันอย่างเดียว คือ รูปนามที่เกิดขึ้น ปรากฏขึ้นในขณะนั้นที่มีอยู่ ปรากฏอยู่ยังไม่หายในทวารทั้ง 6 ที่เรียกว่า รูปนามที่เป็นปัจจุบัน คือ ขณะกายเคลื่อนไหว และร่างกายนิ่งขณะตาเห็นรูป ขณะหูได้ยินเสียง ขณะจมูกได้กลิ่น ขณะลิ้นได้รส ขณะกายได้สัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ขณะจิตนึกคิด นี้แหล่เรียกว่ารูปนาม ที่เป็นปัจจุบัน
ข้อห้ามของวิปัสสนา มี 6 ข้อ คือ
- ห้ามไม่ให้หยุดการปฏิบัติ เว้นแต่ไว้เผลอ หรือหลับ
- ห้ามไม่ให้พูดกับคนภายนอก เว้นไว้แต่อาจารย์ผู้สอนกรรมฐาน ถ้าจำเป็นต้องพูดกับบุคคลภายนอก ก็ควรพูดแต่น้อยโดยอาการสำรวม คือ หลับตา และตั้งสติกำหนดรู้ ที่ปากทุกๆ คำพูด
- ห้ามไม่ให้ทำกิจเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่างที่ไม่จำเป็น เช่น อ่านหนังสือ หรือเขียนหนังสือ เป็นต้น
- ห้ามไม่ให้นอนหลับกลางวัน กลางคืนนอนแต่น้อย ทำความเพียรให้มาก
- ห้ามของเสพติดทุกชนิด เช่น หมากพลู บุหรี่ ถ้าละไม่ได้ก็ให้เพียรละ หรือให้บรรเทาเบาบางลง
- ห้ามไม่ให้พูดคุยกับผู้ปฏิบัติด้วยกัน
เครื่องปลิโพธกังวล (24 ข้อ)
- ไม่ห่วงกุฏิ
- ไม่ห่วงวัด
- ไม่ห่วงบ้าน
- ไม่ห่วงสกุล
- ไม่ห่วงใยในการต้อนรับปราศรัย
- ไม่ห่วงลาภสักการะ
- ไม่ห่วงหมู่คณะ
- ไม่ห่วงทรัพย์สินเงินทอง
- ไม่ห่วงในการประชุม
- ไม่ห่วงในการทำธุรกิจ
- ไม่ห่วงในการสร้างวัด
- ไม่ห่วงในการสร้างบ้าน
- ไม่ห่วงในการเดินทาง
- ไม่ห่วงญาติมิตร
- ไม่ห่วงในโลก
- ไม่ห่วงในการรักษาพยาบาล
- ไม่ห่วงในการศึกษาเล่าเรียน
- ไม่ห่วงในการสอน
- ไม่ห่วงในการทำยันต์
- ไม่ห่วงในการลงตะกรุด
- ไม่ห่วงการทำน้ำมนต์
- ไม่ห่วงการแสดงฤทธิ์ต่างๆ
- ไม่ห่วงในการกิน
- ไม่ห่วงในการนอน การพูด การคุย การเทศนาสั่งสอนคนอื่น
การปฏิบัติธรรม คือ ฝึกตัวเองให้เป็นคนดี สร้างพลังจิตให้เป็นอิสระแก่ตัวเอง ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใด นี่คือหลักที่ถูกต้อง