พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์
ธรรมรักษา
TPD062
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารนิโครธาราม เมืองกบิลพัสดุ์
ได้ตรัสกะพระอานนท์ ถึงภุกษุมากรูปคลุกคลีกันเป็นการไม่สมควร เพราะจะไม่พบความสุขอันเกิดจากความสงัด
ภิกษุควารใส่ใจความว่างภายใน คือ การทำจิตให้ว่างอยู่เสมอ
ตอนหนึ่งได้ตรัสถึงอันตรายของอาจารย์และศิษย์ ที่ปลีกตนออกไปอยู่ในที่สงบสงัด เช่น
ป่า โคนไม้ ถ้ำ ภูเขา ป่าช้า ฯ แล้ว
ต่อมามีชาวบ้านพากันไปหา
ผู้อยู่ป่าจะหมกมุ่นวุ่นวาย เวียนมาเป็นผู้มักมาก ย่อมเป็นอันตราย
ความลามกเศร้าหมองย่อมครอบงำ มีความกระวนกรวาย มีทุกข์เป็นผล
ต้องเกิดในภพใหม่ไม่พ้นการเกิด แก่ และตาย
ถ้าภิกษุที่เป็นอาจารย์หรือเป็นศิษย์ก็ดี
เมื่ออยู่ป่าแล้วไม่หลงลืมตัวให้อกุศลธรรมครอบงำได้ ก็จะพ้นจากอันตรายชนะทุกข์
ก้าวหน้าในพรหมจรรย์ต่อไป
ในตอนท้ายของสูตรนี้
ได้ทรงกล่าวเตือนภิกษุทั้งหลายผ่านพระอานนท์ว่า
อานนท์!
เราจะไม่ประคับประคองพวกเธอ เหมือนช่างหม้อประคับประคองหม้อดินที่ยังเปียกยังดิบอยู่
แต่เราจะข่มแล้วข่มอีก จะยกย่องแล้วยกย่องอีก ผู้ใดมีแก่นสาร ผู้นั้นจะทนอยู่ได้
สุญญตสูตร ๑๔/๒๐๖
ดูเอาเถิด ท่านผู้อ่านทั้งหลาย พิษสงของกิเลสตัณหานี้ช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร ไม่มียกเว้นใคร ๆ เลย
การที่ภิกษุท่านหลบไปอยู่ตามป่า เขา
หรือที่สงบสงัด ก็เพื่อจะได้มีโอกาสกำจัดกิเลสตัณหาได้สะดวกขึ้น แต่ที่ไหนได้
ถ้าไม่รู้บทบาทและลวดลายของมัน อย่างถูกต้องและแท้จริง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ๆ
ก็ไม่อาจพ้นอำนาจของมันไปได้
รู้อย่างนี้แล้ว ท่านที่ได้มีโอกาส
ได้อยู่ในสถานที่ อันจัดว่าเหมาะแก่การพิชิตกิเลสตัณหาแล้ว
ก็อย่าได้หลงลืมตัวมัวเมาในลาภยศชื่อเสียงอยู่เลย
กิเลสหรือมารทั้งหลายมันมิได้ยกเว้น ว่าใครจะอยู่ที่ไหนหรอก มันยกเว้นให้อยู่พวกเดียว
คือ ผู้ที่มีสติ มีปัญญา เพ่งพิจารณา และไม่ประมาทเท่านั้น.