พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์
ธรรมรักษา
TPD061
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี
ได้ตรัสถึงเหตุผลของการฉันอาหารวันละหนเดียว และทรงขอร้องภิกษุว่า
ภิกษุทั้งหลาย! มีอยู่คราวหนึ่ง พวกภิกษุได้ทำให้จิตของเรา มีความยินดีเป็นอันมาก
เราขอเตือนภิกษุทั้งหลาย ไว้ในที่นี้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย! เราฉันอาหารวันละหนเดียว
เมื่อเราฉันอาหารวันละหนเดียวอยู่แล รู้สึกว่ามีโรคน้อย มีความลำบากกายน้อย มีความเบากาย
มีกำลังและเป็นอยู่อย่างผาสุก
ภิกษุทั้งหลาย! ถึงพวกเธอ ก็จงฉันอาหาร วันละหนเดียวเถิด
ถ้าพวกเธอฉันอาหารวันละหนเดียว เธอจะรู้สึกว่ามีโรคน้อย มีความลำบากกายน้อย
มีความเบากาย มีกำลังและเป็นอยู่อย่างผาสุก.
กกจูปมสูตร ๑๒/๒๐๓
เรื่องของการบริโภคอาหาร มีส่วนเกี่ยวข้องกับร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาเป็นอย่างมาก จะขอยกมาพิจารณากันสัก ๒ ประเด็น คือ ทางวัตถุ แบทางจิตใจ
ทางวัตถุ
หมายถึงสุขภาพกาย จะต้องเป็นผู้ฉลาดบริโภค โรคจึงจะมีน้อย
ต้องเลือกกินอาหารที่มีคุณค่า และต้องเหมาะสมกับวัย คือ วัยเด็ก และ วัยชรา
อาหารก็ย่อมจะต้องต่างกัน นอกจากนี้จะต้องนึกถึงการควบคุมปริมาณ ไม่ให้มาก
หรือน้อยจนเกินไป
พระพุทธองค์ทรงเป็นสัพพัญญูแท้
ทรงให้นักบวชเว้นอาหารมื้อค่ำ เพราะกินแล้วนอนไม่จำเป็น ช่างตรงกับหลักของแพทย์ในปัจจุบันพอดี
อย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนี้ยังเป็นการลดภาระต่าง ๆ ได้อีกมากมาย
ทางจิตใจ
หมายถึงสติปัญญา จะต้องรู้จักเลือกกิน ว่าอาหารอย่างใดทำลายสุขภาพจิต
อาหารอย่างใดส่งเสริมปัญญา ถ้ากินอาหารย่อยยาก และกินมากเกินประมาณย่อมจะทำลายทั้งสุขภาพกายและสติปัญญา
เช่น ง่วง ซึม อ่อนเพลีย เป็นต้น
กล่าวเฉพาะการปฏิบัติธรรม มีส่วนสำคัญมาก
ท่านจึงจัดว่าเป็นหนึ่งในการปฏิบัติ คือ อาหารสัปปายะ มีอาหารพอสบาย
ไม่มากไม่น้อยและมีคุณภาพด้วย
สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว
อาหารจะเป็นมาตรวัดอย่างดีว่าปฏิบัติก้าวหน้าหรือล้มเหลว คือ
ถ้าผู้ปฏิบัติยังกินอาหารได้มาก ก็แสดงว่า การปฏิบัติธรรมล้มเหลว
ถูกความเกียจคร้านเข้าครอบงำ ถ้ากินได้น้อยจนเกินไป หรือไม่กินเลย
แสดงว่าเอาจริงเอาจังมากเกินไป ระวังจะเครียด!