พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์
ธรรมรักษา
TPD054
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ ป่าไผ่ นิคมกัชชังคา ได้ตรัสกะพระอานนท์
ถึงการฝึกหัดสำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
เมื่อกระทบอารมณ์ภายนอกแล้ว ควรจะปฏิบัติอย่างไร พอสรุปเป็นใจความได้ว่า
เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น
ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้ถูกต้องสัมผัส และใจได้กระทบอารมณ์เกิดขึ้นแล้ว
เกิดความชอบใจ หรือไม่ชอบใจ
ปรุงขึ้นในจิตแล้ว ยังหยาบอยู่ ส่งที่ละเอียดคืออุเบกขา
ความวางเฉยในอารมณ์เหล่านั้น มีอุเบกขาตั้งมั่นไม่ให้ความชอบหรือความชังเกิดขึ้นได้
เมื่อฝึกหัดได้เร็วฉับพลัน ก็จะตัดอารมณ์นั้น ๆ ได้ เหมือนคนตาดีกระพริบตา ฉะนั้น
นี่เป็นการเจริญอินทรีย์ ๖
ชนิดที่ไม่มีวิธีอื่นยิ่งกว่า ในวินัยของพระอริยะ
ในท้ายสูตร ทรงสอนให้ภิกษุปฏิบัติ
เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง.. แล้ว ให้รู้สึกอึดอัด
เบื่อหน่ายในความชอบและความชัง ในอารมณ์นั้น ๆ ให้เห็นเป็นความสวยงาม
และความเป็นปฏิกูล แล้ววางเฉยเสียอย่างมีสติสัมปชัญญะ ท้ายสุดได้ตรัสว่า
อานนท์!
นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลายจงเพ่งฌาน อย่าได้ประมาท
อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนใจในภายหลังเลย นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่พวกเธอ.
อินทรียภาวนาสูตร ๑๔/๔๖๕
การสำรวมอินทรีย์ ๖ ถือว่าจำเป็น และเป็นข้อปฏิบัติหลัก ที่นักบวชจะต้องปฏิบัติเป็นประจำ มิฉะนั้นการอยู่ในเพศของนักบวช ก็จะไม่มีอะไรต่างจากชาวบ้าน และสิ่งที่จะพอกพูนตามมาก็คืออกุศลอันลามกต่าง ๆ
การเป็นพระที่สมบูรณ์
จึงมิได้หมายเพียงแต่ว่า ได้ผ่านพิธีกรรมจากคณะสงฆ์แล้วเท่านั้น
เพราะนั่นเป็นแต่เพียงรูปแบบที่สมมติกันขึ้น เพื่อความอยู่ผาสุกในหมู่คณะเท่านั้น
แก่นหรือสาระแห่งการบวชที่แท้จริง จึงอยู่ที่การอบรมและฝึกหัดกาย วาจา และใจ
ไม่ให้เกิดความยินดีและยินร้าย เมื่อกระทบกับอายตนะทั้ง ๖
พร้อมทั้งพิจารณาจนเกิดความเบื่อหน่าย และปล่อยวางเสียได้
ด้วยการมีสติและสัมปชัญญะกำกับ.
หนังสือคือประตูของดวงตา
อ่านไป พิจารณาไป ย่อมได้ปัญญา