พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์
ธรรมรักษา
TPD026
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
เมืองสาวัตถี
ครั้งนั้นแล ทรงเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้ว ได้ตรัสว่า
ภิกษุทั้งหลาย! ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่น จะพึงกล่าวกะพวกเธอมีอยู่ ๕ ประการ คือ
๑.
กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร
๒.
กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง
๓.
กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือหยาบคาย
๔.
กล่าวด้วยคำมีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์
๕.
กล่าวด้วยจิตเมตตาภายในหรือประสงค์ร้าย
ภิกษุทั้งหลาย! เมื่อผู้อื่นจะพูดด้วยประการใด ๆ ก็ตาม พวกเธอพึงตั้งจิตอย่าให้แปรปรวน
เราจะไม่พูดจาที่ลามก เราจะสงเคราะห์ผู้อื่นด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์
เราจะต้องมีเมตตาจิต ไม่มีความโกรธภายในใจ เราจะแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้น
เราจะต้องแผ่เมตตาจิตไปไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง
ภิกษุทั้งหลาย! หากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้า เอาเลื่อยที่มีที่จับสองข้าง
มาเลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่ในร่างกายของเธอ ด้วยการกระทำของพวกโจรนั้น
ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดมีจิตคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น
ภิกษุหรือภิกษุณีรูปนั้นไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไว้ไม่ได้นั้น
ภิกษุทั้งหลาย! แม้เพราะเหตุนั้น พวกเธอพึงปฏิบัติอย่างนี้ว่า
จิตของเราจะไม่แปรปรวน เราจะไม่พูดคำที่ลามก เราจะอนุเคราะห์ผู้อื่นด้วยสิ่งเป็นประโยชน์
เราจะมีเมตตาจิต ไม่มีความโกรธภายใน เราจะแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลเหล่านั้น
และบุคคลทั่วไปอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก
ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น ดังนี้.
กกจูปมสูตร ๑๒/๒๑๐
พระสูตรนี้
ทรงมุ่งให้สาวกรับฟังคำพูดของคนอื่นทุกประเภท ไม่ว่าจะพูดดีหรือพูดร้าย อ่อนหวานหรือหยาบคาย
ให้เรามีจิตเมตตาอยู่ตลอดเวลา หักห้ามโทสะเมื่อได้ฟังคำหยาบคาย
หรือไม่เป็นที่สบอารมณ์ เพื่อระงับเวรอันจะเกิดจากความอาฆาตพยาบาทนั้น
ทรงสั่งสอนถึงกับว่า
ถ้ามีพวกโจรมาเลื่อยท้องไส้ของเราอยู่ แม้จะเจ็บปวดเจียนขาดใจตาย ก็ยังต้องแผ่เมตตาจิตให้พวกโจร
จะป่วยกล่าวไปไยถึงคำพูดที่ไม่เจ็บปวดร่างกายเล่า
หารกเรามีจิตคิดโกรธแม้แต่น้อยหนึ่ง เราก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า
คำสอนตอนนี้
ถ้าใครพยายามปฏิบัติตามได้ในชาตินี้ก็จะไม่มีภัยเวรเลย ถ้าล่วงลับดับขันธ์
ก็หวังสุคติ โลก สวรรค์ ได้แน่นอน แต่ข้อสำคัญมันทำยากนี่สิ จะทำอย่างไร? ก็ตอบได้แบบ กำปั้นทุบดิน ว่า ต้องทำบ่อย ๆ ทำให้มาก ๆ
เมื่อเราทำบ่อยทำมาก ความยากมันก็จะหมดไป ไม่เชื่อก็ลองดู
เรื่องความดีความชั่ว ใคร ๆ
ก็รู้กันอยู่เต็มอกว่า ทำดีแล้วต้องได้ดีแน่
ทำชั่วแล้วมันก็ต้องได้รับผลของความชั่วแน่ แต่มันไปยากที่ใจมันไม่อยากทำดี
แถมยังยินดีในการทำชั่วเสียอีก
ในทางพระท่านจึงว่า ธรรมชาติของจิตมันชอบคิดในทางต่ำ
เหมือนน้ำย่อมมีปกติชอบไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ แต่เพราะเรารู้ว่า
ความดีมีผลเป็นความสุข ความชั่วมีผลเป็นความทุกข์ คนเราจึงต้องฝืนใจทำความดี
และฝืนใจละเว้นไม่ทำชั่ว ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพราะคนเรามีความรักตน
หวังเพื่อให้ตนมีความสุข ดังนี้แล.
การอยู่ร่วมกับคนผู้ไม่เสมอกัน นำความทุกข์มาให้
ทุกฺโข สมานสํวาโส