พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์
ธรรมรักษา
TPD018
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ นิคมกัมมาสะทัมมะ
เมืองกุรุ แคว้นกุรุรัฐ พระอานนท์ได้กราบทูลว่า
น่าอัศจรรย์นัก พระเจ้าข้า
ปฏิจจสมุปบาท นี้เป็นธรรมลึกซึ้ง ทั้งมีกระแสความลึกซึ้ง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ปรากฏเหมือนเป็นธรรมง่าย ๆ แต่ข้าพระองค์
พระพุทธองค์ตรัสห้ามในทันทีว่า
อานนท์! เธออย่าพูดอย่างนี้ อานนท์! เธออย่าพูดอย่างนี้ ปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นธรรมลึกซึ้ง
ทั้งมีกระแสความลึกซึ้ง เพราะไม่รู้ไม่ตรัสรู้ ไม่แทงตลอดธรรมนี้
หมู่สัตว์นี้จึงเป็นเหมือนเส้นด้ายที่ยุ่ง เป็นเหมือนกลุ่มเส้นด้ายที่เป็นปม
เป็นเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง ย่อมไม่ผ่านพ้นอบาย และการเวียนว่าย
อานนท์! เมื่อภิกษุเกิดความพอใจบ่อย ๆ
ในสิ่งอันเป็นที่ตั้งของความยึดมั่นถือมั่นอยู่ ตัณหาย่อมเกิดขึ้น
เพราะตัณหาเป็นเหตุ จึงเกิดอุปาทานเป็นผล เพราะอุปาทานเป็นเหตุ จึงเกิดภพเป็นผลฯ
อย่างนี้
อานนท์! เมื่อภิกษุเห็นโทษบ่อย ๆ
ในสิ่งทั้งหลายอันเป็นเหตุแห่งความยึดมั่นถือมั่น
ตัณหาย่อมดับเพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับภพจึงดับฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
นิทานสูตร ๑๖/๑๐๑
พระสูตรนี้มีเรื่องที่น่าคิด คือ พระพุทธองค์ทรงหมดกิเลสแล้ว
ส่วนพระอานนท์ท่านยังไม่หมดกิเลส ท่านได้แค่พระโสดาบันเท่านั้น การมองปฏิจจสมุปบาท
จึงเป็นการมองคนละแง่ คือพระพุทธองค์ทรงมองตลอดสาย แต่พระอานนท์ท่านอาจมองจุดใดจุดหนึ่ง
ตามเยี่ยงของคนที่ยังไม่หมดกิเลส
จากความคิดอันนี้ ทำให้เราได้ตัวอย่างต่าง ๆ หลักฐานต่าง ๆ
แม้ในพระไตรปิฎก มักจะมีผู้แสดงความเห็น หรือตีความธรรมะต่าง ๆ กันไป
เพราะขึ้นอยู่กับคุณธรรมในใจ ความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ
ดังนั้น การตีความธรรมะ จึงควรที่จะยึดหลักฐานในพระไตรปิฎกเป็นแนว
มิฉะนั้นก็จะเกิดการแตกแยก และไม่อาจจะหาข้อยุติได้
ความปรารถนาดีก็เลยกลายเป็นผลร้ายให้มือที่สามได้ประโยชน์ แบบตีงูให้กากิน ฉะนั้น