พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์
ธรรมรักษา
TPD010
พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
เมืองสาวัตถี ได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลาย ถึงเรื่องสุนัขจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในวัด
แล้วทรงนำเอามาเป็นข้อเปรียบเทียบ ในเรื่องความกตัญญูรู้คุณ และ ความกตเวที คือ
ตอบแทนคุณไว้ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย! ความกตัญญูบางอย่าง และ
ความกตเวทีบางอย่าง พึงมีในสุนัขจิ้งจอกแก่ตัวนั้น แต่ความกตัญญูบางอย่าง
และความกตเวทีบางอย่าง ไม่พึงมีในภิกษุบางรูป
ผู้กฏิญาณว่าเป็นศากยบุตรในธรรมวินัยนี้เลย
เพราะเหตุนั้น เธอจงปฏิบัติอย่างนี้ว่า
เราจะเป็นผู้กตัญญู เราจะเป็นผู้กตเวที ความอุปการะแม้เล็กน้อย
ที่ผู้อื่นกระทำแล้วในเรา จะไม่เสื่อมหายไป
ภิกษุทั้งหลาย!
เธอทั้งหลายจงปฏิบัติอย่างนี้แล
สิคาลสูตร ๑๖/๓๐๗
เรื่องความรู้คุณและตอบแทนคุณนี้ พึงเห็นพระสารีบุตรเป็นตัวอย่าง แม้ราธะใส่บาตรเพียงทัพพีเดียว ท่านก็ยังไม่ลืมคุณ รับเป็นผู้บวชให้เมื่อแก่
พระอัสสชิสอนธรรมะโดยย่อ
ให้พระสารีบุตรบรรลุธรรมขั้นต้น ต่อมาท่านก็ไม่เคยลืมคุณ แม้ภายหลังได้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา
ท่านก็ไม่ลืมคุณของพระอัสสชิ เมื่อทราบว่าพระอัสสชิอยู่ทางทิศไหน
ท่านก็นอนหันศีรษะไปทางทิศนั้นตลอดมา
นับว่าเป็นข้อปฏิบัติที่ควรแก่การยกย่อง
และถือเอาเป็นตัวอย่างได้
ความรู้คุณและตอบแทนคุณ
ถือว่าเป็นคุณธรรมพื้นฐานของคน ถ้าผู้ใดขาดธรรมะ ๒ ข้อนี้แล้ว
ก็หวังความเจริญก้าวหน้าในคุณธรรมข้ออื่น ๆ ได้ยาก
ดังนั้น
พ่อแม่หรือผู้ปกครองควรจะรีบปลูกฝังความกตัญญูและกตเวที
ลงในจิตใจของลูกเสียแต่เมื่อเยาว์วัย ก่อนที่จะให้วิชาหรือความรู้แขนงใด ๆ
เพราะถ้าเด็กขาดความกตัญญูเพียงประการเดียว
คุณธรรมข้ออื่น ๆ ก็ไม่เกิด เมื่อขาดคุณธรรมเสียแล้ว
ความรู้ทั้งหลายก็อาจกลายเป็นพิษได้ เหมือนมีดไม่มีฝัก
แต่การปลูกฝังความกตัญญู หรือคุณธรรมใด ๆ
ลงในจิตใจของเด็ก ชนิดที่ได้ผลแน่นอนจะไม่เป็น หอกข้างแคร่
คอยทิ่มตำผู้สอนนั่นก็คือ ผู้สอนหรือผู้แนะจะต้องเป็นผู้นำที่ดี ให้เด็กได้เห็นเป็นตัวอย่าง
ที่ประทับใจด้วย