พระไตรปิฏกฉบับ ดับทุกข์
ธรรมรักษา
TPD006
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสารถี ได้ตรัสสอน พระราหุล ถึง การพิจารณาธาตุ ๕ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ โดยแยกออกเป็นส่วน ๆ ตอนท้าย ได้ตรัสให้ พระราหุล ทำใจเหมือน ดิน น้ำ ไฟ ลม และอากาศ
พอสรุปเป็นใจความได้ดังนี้
๑. ราหุล! เธอจงทำจิตให้เหมือนแผ่นดินเถิด เพราะเมื่อเธอทำจิตให้เหมือนแผ่นดินเป็นประจำอยู่เสมอแล้ว
เมื่อ
กระทบอารมณ์ ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ดี
อารมณ์เหล่านั้นจะไม่สามารถทำให้จิตใจหวั่นไหวได้
ราหุล! เปรียบเหมือนคนทั้งหลาย
ทิ้งสิ่งของที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ถ่ายอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปัสสาวะรดบ้าง
บ้วนน้ำลายรดบ้าง เทสิ่งของสกปรกอื่นลงบ้าง ลงที่แผ่นดิน แต่แผ่นดินจะอึดอัดระอา
หรือรังเกียจด้วยสิ่งของนั้น ๆ ก็หาไม่ ฉันใด?
ราหุล!
เธอจงทำจิตให้เสมอแผ่นดินฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอทำจิตให้เหมือนแผ่นดินอยู่
เมื่อมีการกระทบ กับอารมณ์เกิดขึ้น ความรักหรือความชัง
ก็จะไม่สามารถครอบงำจิตได้ฉันนั้น
๒.
ราหุล! เธอจงทำจิตให้เหมือนน้ำเถิด เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนน้ำแล้ว
จะไม่เกิดความชอบหรือความชัง ครอบงำจิตใจได้
ราหุล! เปรียบเหมือนคนทั้งหลาย ล้างของหรือทิ้งของที่สะอาดบ้าง
ไม่สะอาดบ้างลงในน้ำ น้ำจะอึดอัดระอาหรือรังเกียจด้วยของนั้น ๆ ก็หาไม่ ฉันใด?
ราหุล!
เธอจงทำจิตให้เสมอด้วยน้ำฉันนั้นแล เมื่อกระทบอารมณ์แล้ว ความชอบและความชัง
จะไม่สามารถครอบงำจิตเธอได้ฉันนั้น
๓.
ราหุล! เธอจงทำจิตให้เหมือนไฟเถิด เพราะไฟนั้น
เมื่อมีผู้ทิ้งของสะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ทิ้งอุจจาระ ปัสสาวะบ้างฯ
ไฟจะรู้สึกอึดอัดระอาหรือรังเกียจด้วยสิ่งนั้น ๆ ก็หาไม่ ฉันใด?
ราหุล!
เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนด้วยไฟอยู่
การกระทบกับสิ่งที่ชอบและชังก็ย่อมจะไม่ปรุงแต่งให้จิตแปรปรวนได้ ฉันนั้น
๔.
ราหุล! เธอจงทำจิตให้เหมือนลมเถิด
เพราะลมนั้นย่อมพัดไปถูกต้องของสะอาดบ้างไม่สะอาดบ้าง พัดถูกอุจจาระ ปัสสาวะบ้าง ๆ
ลมจะรู้สึกอึดอันระอาหรือรังเกียจต่อสิ่งเหล่านั้นก็หาไม่ ฉันใด?
ราหุล!
เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนด้วยลมอยู่ การกระทบกับสิ่งที่ชอบและชังย่อมจะไม่ปรุงแต่งให้จิตของเธอแปรปรวน
ได้ฉันนั้น
๕.
ราหุล! เธอจงทำจิตให้เหมือนอากาศเถิด
เพราะอากาศนั้นไม่ตั้งอยู่ในที่ไหน ฉันใด?
ราหุล! เมื่อเธอทำจิตให้เหมือนด้วยอากาศอยู่ตลอดเวลาแล้ว
เมื่อกระทบกับอารมณ์ย่อมจะไม่เกิดความชอบและความชังขึ้นได้ ฉันนั้น
มหาราหุโลวาทสูตร ๑๓/๑๒๖
ผู้ที่มีทิฐิ มานะ อัตตา และโทสะจริต น่าจะลองนำเอาคำสอน ในพระสูตรนี้
ไปใช้เป็นประจำ เพื่อลดความโทมนัส น้อยใจหรือขัดเคืองใจ
เมื่อเห็นว่าผู้อื่นล่วงเกินแล้ว ทำให้เกิดความไม่สบายใจ หงุดหงิดหรือรำคาญใจ
แม้ทำไม่ได้เด็ดขาดตามพระสูตรนี้ ถ้าเราได้หัดทำอยู่เสมอ ๆ
มีสติสัมปชัญญะระวังจิต ไม่ปล่อยไปตามอารมณ์ที่มากระทบ จิตของเราก็จะสงบ
นั่นก็คือจุดหมายปลายทางของความสุขที่ทุกคนปรารถนา แม้ได้รับเพียงครั้งคราว
ก็นับว่าประเสริฐสุดแล้ว
จิตเข้าถึง สวรรค์ ทันตาเห็น
ยอดบุญแท้ ถึงได้ แล้วใจเย็น
ดับทุกข์เข็ญ เป็นสุข ทุกคืนวัน