ระบบการใช้สื่อการสอน
การใช้สื่อการสอนนั้น
ผู้สอนควรจะได้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบในการใช้เพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์การเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่วางไว้
ขั้นตอนดังนี้
การวิเคราะห์ผู้เรียน
เป็นการวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียนเพื่อที่ผู้สอนจะได้ทราบว่า
ผู้เรียนมีความพร้อมในการเรียนมากน้อยเพียงใดทั้งนี้เพราะการที่จะใช้สื่อให้ได้ผลดี
ย่อมจะต้องเลือกสื่อให้มีความสัมพันธ์กับลักษณะผู้เรียน
ดังนั้นผู้สอนจะต้องคำนึงถึงลักษณะทั่วไปและลักษณะเฉพาะของผู้เรียน
เช่น การกำหนดลักษณะทั่วไป
ซึ่งได้แก่ อายุ
ระดับความรู้ สังคม
เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของผู้เรียนแต่ละคน
ถึงแม้ว่าลักษณะทั่วไปของผู้เรียนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาบทเรียนก็ตามแต่ก็เป็น สิ่งที่ช่วยให้ผู้สอนสามารถตัดสินระดับของบทเรียนและเพื่อเลือกตัวอย่างของเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้เรียนได้
ส่วนลักษณะเฉพาะของผู้เรียนแต่ละคนนั้น
นับว่ามีส่วนสำคัญโดยตรงกับเนื้อหาบทเรียนตลอดจนสื่อการสอนและวิธีการที่จะนำมาใช้ในการสอน
สิ่งที่ต้องนำมาใช้ในการวิเคราะห์
ประกอบด้วย
1. ทักษะที่มีมาก่อน (prerequisite skill)
เพื่อให้ทราบว่าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐาน
หรือทักษะที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนนั้นว่ามีอะไรบ้าง
ก่อนที่จะเรียน
2. ทักษะเป้าหมาย (target skill)
ผู้เรียนมีความชำนาญในทักษะที่จะสอนนั้นมาก่อนหรือไม่
เพื่อจะได้สอนให้ตรงกับที่วางจุดมุ่งหมายไว้
3. ทักษะในการเรียน (study skill)
ผู้เรียนมีความสามารถขั้นต้นทางด้านภาษา
การอ่านเขียน
การคำนวณ
ฯลฯ
ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยในการเรียนรู้นั้นในระดับมากน้อยเพียงไร
4. เจตคติ (attitudes)
ผู้เรียนมีเจตคติอย่างไรต่อวิชาที่จะเรียนนั้น
การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียนนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นการกระทำเพียงผิวเผินก็ตาม
แต่ก็สามารถนำไปใช้ในการเลือก สื่อที่เหมาะสมได้ เช่น
หากผู้เรียนมีทักษะในการอ่านต่ำกว่าเกณฑ์ก็สามารถช่วยได้ด้วยการใช้สื่อประเภทที่มิใช่สื่อสิ่งพิมพ์ หรือถ้าหากผู้เรียนในกลุ่มนั้นมีความแตกต่างกันมาก
ก็สามารถให้เรียนด้วยชุดการเรียนรายบุคคลได้
การวิเคราะห์ลักษณะผู้เรียนอาจจะทำใด้ยากเป็นบางครั้ง
ทั้งนี้เพราะผู้สอนอาจมีเวลาน้อยที่จะสังเกต
หรือผู้เรียน อาจเป็นผู้มาจากที่อื่นที่เข้ามาเรียนหรือรับการอบรม
แต่ก็สามารถกระทำได้ด้วยการสนทนากับผู้เรียนหรือผู้ร่วมชั้นอื่นๆ หรืออาจมีการทดสอบก่อนเรียนเพื่อดูพื้นฐานของผู้เรียนก็ได้
การกำหนดจุดประสงค์
วัตถุประสงค์เป็นสิ่งที่ตั้งขึ้นเพื่อคาดหวังว่าผู้เรียนจะสามารถบรรลุในสิ่งต่างๆ
ที่ตั้งหรือกำหนดไว้
การตั้งหรือ กำหนดวัตถุประสงค์ในการเรียนการสอนนั้นก็เพื่อ
1.
ผู้สอนจะได้ทราบว่าการเรียนการสอนนั้นมีวัตถุประสงค์อะไร
เพื่อสะดวกในการเลือกสื่อและวิธีการให้ถูกต้อง วัตถุประสงค์นี้จะช่วยในการจัดลำดับกิจกรรมการเรียนและสร้างสิ่งแวดล้อม
หรือประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์นั้น
2.
ช่วยในการประเมินผู้เรียนได้อย่างถูกต้อง
เพราะผู้สอนจะไม่ทราบเลยว่าผู้เรียนได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ถ้าไม่มีการกำหนดวัตถุประสงค์ไว้ก่อนล่วงหน้า
3. ช่วยให้ผู้เรียนทราบว่า
เมื่อเรียนบทเรียนนั้นแล้วจะสามารถเรียนรู้หรือกระทำอะไรได้บ้าง
การกำหนดวัตถุประสงค์
ควรประกอบด้วย
1. การกระทำ (performance)
เป็นสิ่งที่คาดหวังว่าผู้เรียนจะสามารถกระทำอะไรได้บ้างภายหลังจากการเรียนแล้ว
ซึ่งการกระทำนั้นต้องเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้
2. เงื่อนไข (Conditions)
เป็นข้อจำกัดหรือเงื่อนไขที่ตั้งขึ้นโดยรวมอยู่ภายใต้การกระทำนั้น
3. เกณฑ์ (Criteria)
เพื่อเป็นการตัดสินการกระทำนั้นว่าเป็นไปตามที่กำหนดไว้หรือไม่
เมื่อกำหนดวัตถุประสงค์แล้ว
ควรมีการแบ่งประเภท
หรือระดับของขอบเขตการเรียนรู้
ทั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์หรือแนวทางในการตัดสินว่า
การเรียนรู้นั้นจะครอบคลุมแนวของทักษะหรือพฤติกรรมอะไรบ้าง
จึงต้องมีการกำหนดเป็น
"วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม"
ซึ่งควรจะประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ
ดังนี้
- พุทธิพิสัย
เป็นวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้เพื่อวัดการเรียนรู้ของผู้เรียนเกี่ยวกับความรู้
ความเข้าใจ
สติปัญญาและการพัฒนา เป็นต้น
- จิตตพิสัย
เป็นวัตถุประสงค์ทางด้านความคิด
ทัศนคติ ความรู้สึก
ค่านิยม
และการเสริมสร้างทางปัญญา
- ทักษะพิสัย
เป็นวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการกระทำ
การแสดงออก หรือการปฏิบัติ
การเลือก
ดัดแปลง หรือออกแบบสื่อ
การที่จะมีสื่อวัสดุที่เหมาะสมในการเรียนการสอน
สามารถทำได้ 3 วิธี คือ
1. เลือกจากสื่อที่มีอยู่แล้ว
ส่วนใหญ่ในสถาบันการศึกษามักจะมีทรัพยากรที่สามารถใช้เป็นสื่อได้อยู่แล้วดังนั้น
สิ่งที่ผู้สอนต้องกระทำคือ
ตรวจสอบดูว่ามีสิ่งใดที่จะใช้เป็นสื่อได้บ้าง
โดยเลือกให้ตรงกับลักษณะผู้เรียนและวัตถุประสงค์ของการเรียน
เช่น
สื่อที่มีอยู่มีเนื้อหาข้อมูลและกิจกรรมที่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่
และการเลือกสื่อนั้นย่อมขึ้นอยู่กับวิธีการสอนในบทเรียนและข้อจำกัดของสถานการณ์การเรียนการสอนด้วย
2. ดัดแปลงสื่อที่มีอยู่แล้ว
ให้ใช้ได้ดีและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ย่อมขึ้นกับเวลาและงบประมาณในการดัดแปลงสื่อนั้นด้วย
เช่น
มีภาพยนตร์เสียงในฟิล์มเป็นภาษาอังกฤษ
ถ้ามีการแปลเป็นภาษาไทยแล้วบันทึกเสียงลงใหม่
เพื่อให้ผู้เรียนชมและฟังเข้าใจง่ายขึ้น
จะคุ้มกับเวลาและการลงทุนหรือไม่
เหล่านี้เป็นต้น
3. การออกแบบสื่อใหม่
กรณีที่ไม่มีสื่อเดิมอยู่
หรือสื่อที่มีอยู่แล้วไม่สามารถนำมาดัดแปลงให้ใช้ได้ตามที่ต้องการผู้สอนย่อมต้องมีการออกแบบและจัดทำสื่อใหม่
ซึ่งต้องคำนึงถึงองค์ประกอบต่าง
ๆ หลายอย่าง เช่น
ต้องให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการเรียนและลักษณะของผู้เรียน
มีงบประมาณในการจัดทำเพียงพอหรือไม่
มีเครื่องมือและผู้ชำนาญในการจัดทำสื่อหรือไม่
เหล่านี้เป็นต้น
การใช้สื่อ
เป็นขั้นของการกระทำจริง
ซึ่งผู้สอนจะต้องดำเนินการดังนี้
1.
ดูหรืออ่านเนื้อหาในสื่อเหล่านั้นก่อนเป็นการเตรียมตัวล่วงหน้า
เช่น
ดูสไลด์หรือวีดิทัศน์เพื่อศึกษาเนื้อหาให้แม่นยำก่อนนำไปสอน
หรืออ่านบทวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนั้นร่วมด้วย
2. จัดเตรียมสถานที่
ที่นั่งเรียน
อุปกรณ์เครื่องมือ
และสิ่งต่างๆ
เพื่อความสะดวกเรียบร้อยก่อนการสอนและควรต้องทดลองอุปกรณ์ที่จะใช้ก่อนว่าใช้ได้ดีหรือไม่
3. เตรียมตัวผู้เรียน
โดยการใช้สื่อนำเข้าสู่บทเรียน
ถ้ามีการฉายวีดิทัศน์หรือภาพยนต์ให้ชม
ก็ควรจะต้องสรุปเนื้อหมเรื่องที่จะชมนั้นให้ผู้เรียนทราบเสียก่อนว่าเกี่ยวข้องกับทบเรียนอย่างไรบ้าง
เป็นการแนะนำก่อนล่วงหน้าและเพื่อสร้างแรงจูงใจแก่ผู้เรียน
4. ควบคุมชั้นเรียน
เพื่อให้ผู้เรียนมีความสนใจในสื่อที่นำเสนอนั้น
การกำหนดการตอบสนองของผู้เรียน
การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน
และเปิดโอกาสให้มีการตอบสนองนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ซึ่งผู้เรียนจะมีการตอบสนองหรือไม่และมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับสื่อที่นำมาใช้
สื่อบางชนิดเมื่อใช้แล้วจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมมากกว่าสื่อชนิดอื่นๆ
เช่น
การให้อ่านข้อความในหนังสือหรือดูภาพ
จะทำให้ผู้เรียนมีการอภิปรายจากสิ่งที่อ่านหรือเห็น
ผู้เรียนย่อมมีการตอบสนองเกิดขึ้นได้ทันทีและง่ายกว่าการให้ดูภาพยนตร์
ทั้งนี้เพราะการดูภาพยนตร์ถ้าจะให้ดูรู้เรื่องจริงๆ
แล้วควรจะต้องดูให้จบเรื่องเสียก่อนแล้วจึงอภิปรายกัน
ซึ่งจะดีกว่าหยุดดูทีละตอนแล้วอภิปราย
เพราะจะทำให้มีการขัดจังหวะเกิดความไม่ต่อเนื่องในการดู
อาจทำให้ไม่เข้าใจหรือจับความสำคัญของเรื่องไม่ได้
นอกจากนี้ผู้เรียนสามารถมีการ ตอบสนองโดยเปิดเผย (overt respone)
โดยการพูดออกมา หรือเขียน และ
การตอบสนองภายในตัวผู้เรียน (convert response)
โดยการท่องจำหรือคิดในใจ
เมื่อผู้เรียนมีการตอบสนองแล้วผู้สอนควรให้การเสริมแรงทันทีเพื่อให้ผู้เรียนทราบว่าตนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่ถูกต้องหรือไม่
การเรียนการสอนโดยการให้ทำแบบฝึกหัด
การตอบคำถาม
การอภิปราย
หรือการใช้บทเรียนแบบโปรแกรม
จะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีการตอบสนองและได้รับการเสริมแรงระหว่างการเรียน
การประเมินผล
การประเมินสามารกระทำได้ 3 ลักษณะ
คือ
1. การประเมินกระบวนการสอน
เพื่อเป็นการประเมินว่าสามารถบรรลุได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ทั้งในด้านผู้สอน
สื่อการสอน และวิธีการสอน
โดยในการประเมินสามารถทำได้ทั้งในระยะก่อน
ระหว่าง และหลังการสอน
2.
การประเมินความสำเร็จของผู้เรียน
ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ว่ามีเกณฑ์เท่าใด
การวัดผลอาจทำได้ด้วยการทดสอบ
การสอบปากเปล่า
หรือดูจากผลงานของผู้เรียน
สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทราบว่าผู้เรียนสัมฤทธิผลทางการเรียนมากน้อยเท่าใด
คือ
สังเกตจากการปฏิบัติและการแสดงออกของผู้เรียนนั้น
ๆ
3. การประเมินสื่อและวิธีการสอน
โดยการให้ผู้เรียนมีการอภิปรายและวิจารณ์การใช้สื่อ
และเทคนิควิธีการสอนว่าเหมาะสมมากน้อยเพียงใด
การปรับปรุงแก้ไข
การปรับปรุงและแก้ไข
เป็นการนำเสนอผลที่ได้จากการประเมินมาตรวจสอบการใช้สื่อทั้งระบบเพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบการใช้สื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น