ท่อนไม้ที่ลอยออกไปได้ถึงทะเล

       ภิกษุ ท! พวกเธอได้เห็น ท่อนไม้ใหญ่โน้น ซึ่งลอยมาโดยกระแสแม้น้ำคงคา หรือไม่ ?

       "ได้เห็นแล้ว พระเจ้าข้า" ภิกษุทั้งหลายกราบทูล.

       ภิกษุ ท.! ถ้าท่อนไม้นั้น จะไม่เข้าไปติดเสียที่ฝั่งใน หรือฝั่งนอก, ไม่จมเสียในกลางน้ำ, ไม่ขึ้น ไปติดแห้งอยู่บนบก, ไม่ถูกมนุษย์จับไว้, ไม่ถูกอมนุษย์จับไว้, ไม่ถูกเกลียวน้ำวนวนไว้, ไม่ผุเสียเองใน ภายในไซร้,  ท่อนไม้เช่นที่กล่าวนี้ จักลอยไหลพุ่งไปสู่ทะเล เพราะเหตุว่า ลำแม่น้ำคงคาโน้มน้อม ลุ่ม ลาดเอียงเทไปสู่ทะเล. ข้อนี้ฉันใด;

       ภิกษุ ท.! แม้พวกเธอทั้งหลายก็ฉันนั้น : ถ้าพวกเธอไม่เข้าไปติดเสียในฝั่งใน ไม่เข้าไปติดเสีย ที่ฝั่งนอกหรือฝั่งนอก,   ไม่จมเสียในท่ามกลาง,  ไม่ขึ้นไปติดแห้งอยู่บนบก,  ไม่ถูกมนุษย์จับไว้,  ไม่ ถูกอมนุษย์จับไว้,  ไม่ถูกเกลียวน้ำวนวนไว้,  ไม่ผุเสียเองในภายในไซร้, พวกเธอก็จะเลื่อนไหลไปสู่ นิพพาน เพราะเหตุว่า สัมมาทิฏฐิมีธรรมดาที่โน้มน้อม ลุ่มลาด เอียงเทไปสู่นิพพาน.

       ครั้นสิ้นกระแสพระดำรัสแล้ว ภิกษุรูปหนึ่ง ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ!  อะไรเล่า  เป็นฝั่งใน หรือฝั่งนอก? อะไรชื่อว่าจมในท่ามกลาง? อะรชื่อว่าขึ้นไปติดแห้งอยู่ บนบก? อะไรที่ถูกมนุษย์จับไว้? อะไรที่ถูกอมนุษย์จับไว้? อะไรชื่อว่าถูกเกลียวน้ำวนวนไว้? อะไรขื่อว่า เน่าเสียเองภายใน?"

       ภิกษุ  ท.!  คำว่า  "ฝั่งใน"  เป็นชื่อของ  อายตนภายใน ๖. คำว่า "ฝั่งนอก" เป็นชื่อของ อายตนะภายนอก  ๖. คำว่า "จมเสียในท่ามกลาง" เป็นชื่อของ นันทิราคะ. คำว่า "ขึ้นไปติดแห้งอยู่ บนบก" เป็นชื่อของอัสมิมานะ (ความสำคัญว่าเรามีเราเป็น). คำว่า "ถูกมนุษย์จับไว้" ได้แก่ ภิกษุใน กรณีนี้เป็นผู้ระคนด้วยพวกคฤหัสถ์ เพลิดเพลินด้วยกัน โศกเศร้าด้วยกัน, มีสุข เมื่อคฤหัสถ์เหล่านั้นมีสุข, เป็นทุกข์ เมื่อคฤหัสถ์เหล่านั้นเป็นทุกข์, ประกอบการงานในกิจการที่บังเกิดขึ้นแก่คฤหัสถ์เหล่านั้นด้วยตน. ภิกษุนี้เราเรียกว่า  ผู้ถูกมนุษย์จับไว้. คำว่า "ถูกอมนุษย์จับไว้" ได้แก่ ภิกษุบางรูปในกรณีนี้ ประพฤติ พรหมจรรย์โดยตั้งความปรารถนาเทพนิกายชั้นใดชั้นหนึ่ง ว่า "ด้วยศีลนี้ หรือด้วยวัตรนี้ หรือว่าด้วยตะบะ นี้ เราจักได้เป็นเทวดาผู้มีศักดาใหญ่ หรือเป็นเทวดาผู้มีศักดาน้อยอย่างใดอย่างหนึ่ง" ดังนี้. ภิกษุนี้ เรา เรียกว่า  ผู้ถูกอมนุษย์จับไว้.  คำว่า "ถูกเกลียวน้ำวนวนไว้" เป็นชื่อของกามคุณ ๕. ภิกษุเป็นผู้เน่า เสียเองในภายใน  คืออย่างไรเล่า?  คือภิกษุบางรูปในกรณีนี้ เป็นคนทุศีล มีความเป็นอยู่ลากมกไม่ สะอาด  มีความประพฤติชนิดที่ตนเอง  นึกแล้วก็กินแหนงตัวเอง มีการกระทำที่ต้องปกปิด ซ่อนเร้น ไม่ใช่ สมณะก็ ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ ไม่ใช่คนประพฤติพรหมจรรย์ ก็ปฏิญญาณว่าเป็นคนประพฤติพรหมจรรย์ เป็นคนเน่าใน เปียกแฉะ  มีสัญชาติหมักหมม  เหมือนบ่อที่เทขยะมูลฝอย. ภิกษุนี้เราเรียกว่า ผู้เน่าเสียเองในภายใน แล.

บาลี พระพุทธภาษิต สฬา.สํ. ๑๘/๒๒๓/๓๒๒, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา เนื่อง จากได้เห็นท่อนไม้ใหญ่ซึ่งกำลังลอยมา โดยกระแสแม่น้ำคงคาพัดส่ง.