ผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง

       อานนท์! ก็สารีบุตร พาเอาสีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ ติดตัว ปรินิพพานไปด้วยหรือ?

       "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ!  ท่านพระสารีบุตร  จะได้พาเอาสีลขันธ์  ฯลฯ  วิมุตติญาณทัสสนะขันธ์ ของพวกข้าพระองค์ ติดตัวปรินิพพานไปด้วยก็หามิได้, แต่ว่าสำหรับพวกข้าพระองค์นั้น ท่านพะรสารีบุตร เป็นผู้กล่าวสอน ชี้แจงให้รู้ ให้เห็น ชี้ชวนให้รับเอาไปปฏิบัติ ให้กล้าในการทำ ให้พอใจในการทำ, เป็น ผู้ไม่เหน็ดเหนื่อยในการแสดงธรรม    เป็นผู้อนุเคราะห์แก่เพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยกันทั้งหลาย; พวกข้าพระองค์ทั้งหลาย  ยังตามระลึกโอชะอันเกิดแต่ธรรม, โภคะอันเป็นธรรม, และการอนุเคราะห์ ด้วยธรรม, ของท่านพระสารีบุตรนั้นได้อยู่พระเจ้าข้า" ท่านพระอานนท์กราบทูล.

       อานนท์!  เราได้กล่าวเตือนไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือว่า "ความเป็นต่าง ๆ ความพลัดพราก ความ เป็นอย่างอื่น จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ย่อมมี; อานนท์! ข้อนั้น จักได้มาแต่ไหนเล่า : สิ่งใดเกิด ขึ้นแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแล้ว มีความชำรุดไปเป็นธรรมดา, สิ่งนั้นอย่าชำรุดไปเลย ดังนี้; ข้อนั้น ย่อมเป็นฐานะที่มีไม่ได้".

       อานนท์! เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ มีแก่นเหลืออยู่ ส่วนใดเก่า คร่ำกว่าส่วนอื่น ส่วนนั้นพึงย่อยยับ ไปก่อน,  ข้อนี้ฉันใด; อานนท์! เมื่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่มีธรรมเป็นแก่สารเหลืออยู่, สารีบุตรปรินิพพานไป แล้ว  ฉันนั้นเหมือนกัน.  อานนท์! ข้อนั้น จักได้มาแต่ไหนเล่า : สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัย ปรุงแล้ว มีความชำรุดไปเป็นธรรมดา สิ่งนั้นอย่าชำรุดไปเลย ดังนี้; ข้อนั้น ย่อมเป็นฐานะที่มีไม่ได้.

       อานนท์! เพราะฉนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ อย่าเอาสิ่ง อื่นเป็นสรณะเลย; จงมีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเลย.

       อานนท์!  ภิกษุ  มีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ, มีธรรมเป็นประทีป มี ธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะนั้นเป็นอย่างไรเล่า?

       อานนท์!  ภิกษุในธรรมวินัยนี้  พิจารณาเห็นกายในกายเนือง  ๆ  อยู่, พิจารณาเห็นเวทนาใน เวทนาทั้งหลายเนือง ๆ อยู่, พิจารณาเห็นจิตในจิตเนือง ๆ อยู่, พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย ๆ เนือง ๆ อยู่; มีเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ จะพึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ได้. อานนท์! ภิกษุอย่างนี้แล ชื่อว่ามีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรมเป็น ประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่.

       อานนท์!  ในกาลบัดนี้ก็ดี  ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตามจักต้องมีตนเป็นประทีป มีตนเป็น สรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่. อานนท์! ภิกษุพวกใดเป็นผู้ใคร่ในสิกขา, ภิกษุพวกนั้นจักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลิศที่สุดแล.

บาลี พระพุทธภาษิต มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๑๖/๗๓๖, ตรัสแก่ท่านพระอานนท์ ผู้เศร้าสลดใน ข่าวการปรินิพพานของท่านพระสารีบุตร  ซึ่งจุนทสามเณรนำมาบอกเล่า  ที่พระอารามเชตวัน ใกล้นคร สาวัตถี.