ผู้จมมิดในหลุมคูถ

       อานนท์! ภิกษุรูปนั้นชะรอยจักเป็นพระใหม่ บวชยังไม่นาน หรือว่าเป็นพระเถระผู้พาลผู้เขลา. ข้อ ที่เราพยากรณ์โดยส่วนเดียวแล้ว จักกลับกลายไปเป็นสองส่วนได้อย่างไร. อานนท์! เรายังมองไม่เห็น คนอื่นแม้สักคนหนึ่ง ซึ่งเราได้วินิจฉัยประมวลเหตุการณ์ทั้งปวงแล้ว จึงพยากรณ์ไว้อย่างนั้น เหมือนอย่าง เทวทัต.  อานนท์!  ตราบใด  เรายังมองเห็นธรรมขาวของเทวทัต  แม้เพียงเท่าปลายแหลมสุดแห่ง เส้นขน,  ตราบนั้นเราก็ไม่พยากรณ์เทวทัตว่า เทวทัต ต้องไปเกิดในอบาย เป็นสัตว์นรก ตั้งอยุ่ในกัลป์ หนึ่ง  ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ก่อน. อานนท์! เมื่อใดแล เรามองไม่เห็นธรรมขาวของเทวทัต แม้เพียง เท่าปลายแหลมสุดแห่งเส้นขน, เมื่อนั้น เราจึงพยากรณ์เทวทัตว่าเทวทัต ต้องไปเกิดในอบาย เป็นสัตว์นรก ตั้งอยู่ชั่วกัลป์หนึ่ง ช่วยเหลืออะไรไม่ได้

       อานนท์!  เปรียบเหมือน หลุมคูถลึกชัวบุรุษ เต็มไปด้วยคูถจนปริ่มขอบหลุม; บุรุษคนหนึ่งพึงตกลง ไปในหลุมคูถนั้นจนมิดทั้งตัว.  ยังมีบุรุษบางคนหงังประโยชน์เกื้อหนุน  หวังความเกษมสำราญจากสภาพ เช่นนั้น  หวังจะช่วยยกเขาขึ้นจากหลุมคูถนั้น, บุรุษนี้จึงเข้าไปใกล้ เดินเวียนดูรอบ ๆ หลุมคูถนั้น มอง ไม่เห็นอวัยวะของคนในหลุมนั้น แม้เสพียงเท่าปลายแหลมสุดแห่งเส้นขน ที่ยังไม่ได้เปื้อนคูถ ซึ่งตนพอจะ จับยกขึ้นมาได้. ข้อนี้ฉันใด;

       อานนท์!  เมื่อใด เรามองไม่เห็นธรรมขาวของเทวทัต แม้เพียงเท่าปลายแหลมสุดแห่งเส้นขน, เมื่อนั้น เราจึงกล้าพยากรณ์เทวทัตว่า เทวทัตต้องไปเกิดในอบาย เป็นสัตว์นรก ตั้งอยู่ชั่วกัลป์หนึ่ง ช่วย เหลืออะไรไม่ได้ ฉันนั้นแล.

บาลี พระพุทธภาษิต ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๕๐/๓๓๓, ตรัสแก่ท่านพระอานนท็ โดยที่มีภิกษุรูปหนึ่ง ถามท่านว่า  "ท่านอานนท์ผู้มีอายุ! พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวินิจฉัยประมวลเหตุการณ์ ทั้งปวงครบถ้วนดี แล้วหรือ จึงทรงพยากรณ์ว่าพระเทวทัต ต้องเกิดในอบาย เป็นสัตว์นรก ตั้งอยู่ชั่วกัลป์หนึ่ง ช่วยเหลือ อะไรไม่ได้, หรือว่าทรงพยากรณ์โดยปริยายบางอย่างเท่านั้น" ดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ จึงให้คำตอบ ว่า "ผู้มีอายุ! คำพยากรณ์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์แล้ว ย่อมเป็นความจริงเช่นนั้นเสมอ" ดังนี้ แล้ว; พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ จึงได้ตรัวพระพุทธวจนะนี้.