การ "ตัด" ถึงเยื่อในกระดูก

       ภิกษุ ท.! พวกเธอทั้งหลาย จักตัดสินเนื่องความสองข้อนี้ ว่าอย่างไหนจะดีกว่ากัน คือ การที่บุรุษมี กำลังแข็งแรง เอาเชือกทำด้วยขนทรายอันเหนียวพันเข้าที่แข้งทั้งสองข้างแล้วถูไปถูมา : มันตัดผิวหนัง แล้วตัดหนัง, ตัดหนังแล้วตัดเนื้อ, ตัดเนื้อแล้วตัดเอ็น, ตัดเอ็นแล้วตัดกระดูก, ตัดกระดูกแล้วเข้าจดเยื่อ ในกระดูกอยู่ กับ การรับการอภิวาทของพวกกษัตริย์มหาศาล หรือพราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดีมหาศาล?

       "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ!  การรับการอภิวาทของพวกกษัตริย์มหาศาล หรือพราหมร์มหาศาล หรือ คฤหบดีมหาศาล นั่นแหละดีกว่า; เพราะว่าการที่ถูกบุรุษมีกำลังแข็งแรง เอาเชือกขนทรายอันเหนียว พัน แข้งทั้งสองข้างแล้วถูไปถูมา  : มันบาดผิดหนัง ... ฯลฯ ... จนจดเยื่อในกระดูก นั่นเป็นความทุกข์ ทนได้ยาก พระเจ้าข้า".

       ภิกษุ  ท.! เราจักบอก เราจักอธิบายแก่พวกเธอทั้งหลายให้เข้าใจ : การที่ถูกบุรุษมีกำลังแข็ง แรง  เอาเชือกขนทรายอันเหนียว  พันแข้งทั้งสองข้าง  แล้วถูไปถูมา : มันบาดผิวหนัง ...ฯลฯ... จนจดเยื้อในกระดูก  นั่นตากหากเป็นการดี สำหรับคนซึ่งเป็นคนทุศิล มีความเป็นอยู่ลามก ไม่สะอาด มี ความประพฤติชนิดที่ตนเองนึกแล้วก็กินแหนงตัวเอง  มีการกระทำที่ต้องปกปิดซ่อนเร้น ไม่ใช่สมณะก็ ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ  ไม่ใช่คนประพฤติพรหมจรรย์ก็ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เป็นคนเน่าใน เปียกแฉะ มีสัญชาติหมักหมม เหมือนบ่อเทขยะมูลฝอย. ข้อนั้นเพราะเหตุไร?

       ภิกษุ ท.! เพราะว่า การที่เขาจะต้องตายหรือได้รับทุกข์เจียนตาย เนื่องจากเหตุที่เขาถูกบุรุษมี กำลังแข็งแรง  เอาเชือกขนมรายอันเหนียว พันแข้งทั้งสองข้างแล้วถูไปถูมา หาได้เป็นเหตุให้เขาต้อง เกิดในอบาย  ทุคติ วินิบาต นรก ภายหลังแต่ความตาย เพราะการทำลายแห่งกายไม่; ส่วนการที่เขา เป็นคนทุศีล   มีความเป็นอยู่ลามก  ไม่สะอาด  มีความประพฤติชนิดที่ตนเองนึกแล้วก็กินแหนงตัวเองมี การกระทำที่ต้องปกปิดซ่อนเร้น  ไม่ใช่สมณะก็ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ  ไม่ใช่คนประพฤติพรหมจรรย์ ก็ ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์  เป็นคนเน่าใน  เปียกแฉะ  มีสัญชาติหมักหมม  เหมือนบ่อที่เทขยะมูล ฝอย, แล้วยัง (มีความคิดที่จะ) รับการอภิวาทของพวกกษัตริย์มหาศาล หรือพราหมณ์มหาศาล หรือคฤหบดี มหาศาลนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลแก่เขาตลอดกาลนาน ภายหลังแต่ความตาย เพราะการ ทำลายแห่งกาย เขาย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.

๑.  บาลี  พระพุทธภาษิต  สตฺตก.อํ. ๒๓/๑๓๐/๖๙, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย ที่โคนไม้แห่งหนึ่งใน เขตประเทศโกศล.