ไปทำอะไรมา ดำปี๋เชียว?
ทำไมขาเป็นรอยช้ำแบบนี้ล่ะ?
มือด้านจัง, ทาครีมบ้างสิ
งานไปถึงไหนแล้วล่ะ?
ชีวิตช่วงนี้ของฉันจะซ้ำซ้ำอยู่กับบรรดาคำถามทั้งหลายเหล่านี้ ไหนไหนก็ไหนไหน
มาพูดกันให้รู้เรื่องรู้ราวกันไปในคราวเดียวเสียเลยจะดีกว่า
ไม่งั้นฉันอาจต้องติดต่อโรงพิมพ์ซักที่ แล้วจัดการพิมพ์ใบปลิวแจกเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ช่วงนี้ฉันมีกิจกรรมจำต้องไปพักอยู่ที่ จ.กาญจนบุรีอย่างน้อยอาทิตย์ละ
2 วัน เพราะฉันจะต้องไปฝึกขี่ม้าและเรียนอาวุธ บอกได้คร่าวคร่าวเพียงว่าเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานใหม่
(ใหญ่กว่าเดิม!) ที่กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้
ผู้ร่วมชะตากรรมก็จะมีผลัดเปลี่ยนกันมาเรื่อยๆ แต่พวกแก็งค์เดนตายที่ไปกันประจำก็จะมีอยู่
4-5 คน หนึ่งในนั้นก็คือฉันเองนี่แหละ
โปรแกรมการฝึกหลักสูตรเข้มข้นสำหรับเหล่านักรบจากเมืองกรุงเช่นพวกฉันนั้นมีรายละเอียดดังนี้
ออกจากกรุงเทพตอนตีห้า /แปดโมงเช้าเข้าเขตกาญจนบุรี
กินอาหารเช้า /ออกกำลังเพื่ออบอุ่นร่างกายก่อนด้วยการซิทอัพ, วิดพื้น,
กระโดดเชือก, ต่อย-เตะกระสอบทราย โดยแต่ละอย่างต้องทำให้ได้มากที่สุดภายในเวลา
1 นาที ก่อนจะเปลี่ยนท่าต่อไป /แปดโมงครึ่งถึงหน้าคอกม้าเพื่อเตรียมเครื่องขี่ม้าให้พร้อม
/เก้าโมงเช้าเริ่มฝึกขี่ม้ายาวเรื่อยไปจนถึง 11 โมงครึ่ง /ไปเรียนต่อสู้
/เริ่มด้วยการวิ่งรอบสนามฟุตบอลขนาดมาตรฐาน 2 รอบ พร้อมชกลมหรือดวงดาบไปด้วย
/วิดพื้น /เรียนเตะต่อย /ฟันดาบ /เที่ยงครึ่งพักกินข้าวถึงบ่ายโมงครึ่ง
/มาเรียนอาวุธต่อถึงบ่ายสามโมงครึ่ง / จากนั้นไปขี่ม้าต่อถึงห้าโมงเย็น
เป็นอันจบหลักสูตรต่อหนึ่งวัน
เสร็จตั้งแต่ห้าโมงเย็น, คนกรุงเทพถึงกับอึ้งไปเลย คงคิดกันล่ะสิว่าฉันก็ว่างได้หลายชั่วโมงกว่าจะนอน
แต่ความจริงก็คือว่า แดดสุดท้ายตอนห้าโมงเย็นนั้นก็มาพร้อมกับเรี่ยวแรงสุดท้ายที่ฉันมีพอดี
ต่อให้ที่พักอยู่ปากซอยสีลม ซ.4 ฉันก็เหนื่อยจะขาดใจ จนไม่มีแรงคิดจะทำอะไรอีกแล้วนอกจากนอน
ดังนั้น, คำตอบสำหรับคำถาม 3-4 ด้านบนนั่น ฉันจึงขอตอบรวมกันไปในคราวนี้เสียเลย
1. ไปทำอะไรมา, ดำปี๋เชียว?
หลายคนรู้ดีว่า แดดเมืองกาญจน์นั้นเป็นที่เลื่องชื่อในด้านความเข้มข้นและร้อนแรงของแสงที่ไม่เคยปราณีใคร
การมีกิจกรรมกลางแจ้งตลอดทั้งวัน (จริงจริงนะนี่, ครูฝึกเขาห้ามให้เรามาหลบในที่ร่ม)
จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงการได้มาซึ่งผิวแดงเป็นกุ้งต้ม และตามมาด้วยความดำอย่างต่อเนื่อง
ดำกันเป็นล่ำเป็นสัน ถึงขนาดโปะครีมกันแดดที่รวมแล้วค่า SPF น่าจะพุ่งไปเฉียด
100 ก็ยังเอาไม่อยู่
ดังนั้นใครที่เผอิญหลุดหลงเข้าไปแถวค่ายในช่วงเวลานี้ จะเห็นมนุษย์จำนวนหนึ่งในเสื้อแขนยาว
มีผ้าโพกหัว พันปิดหน้าปิดคอ โผล่มาแค่ลูกกะตา แล้วยังครอบหมวกทับไปอีกชั้น
ประหนึ่งคนงานตัดอ้อย กำลังฟันดาบและไล่เตะต่อยกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่ต้องตกกะใจ
เพราะหนึ่งในนั้นคือฉันเอง 2. ทำไมขาเป็นรอยช้ำแบบนี้ล่ะ?
ปกติแล้วการขี่ม้าเราจะต้องมีกางเกงสำหรับการขี่ม้าเพื่อป้องกันการเสียดสีระหว่างเนื้ออ่อนอ่อนของต้นขาด้านในกับอานม้า
ต้องมีรองเท้าบู๊ธขี่ม้าเพื่อความปลอดภัย และสะดวกในการบังคับม้าตามคำสั่ง
ต้องมีหมวกแบบกันกระแทกหากเกิดพลาดพลั้งร่วงตุ้บลงมาบนพื้น ต้องมีถุงมือเพื่อกันไม่ให้สายบังเหียนถูฝ่ามือจนมันพองไปเสียก่อน
ฉันก็เคยมีนะอุปกรณ์ที่-จำเป็นต้องใช้-พวกนั้น
แต่ทุกวันนี้ แค่ได้ขี่ม้าที่ใส่บังเหียนก็นับว่าเป็นบุญแล้ว
เพราะเวลาถ่ายหนังย้อนประวัติศาสตร์อยุธยานั้น ถึงคุณไม่ได้เป็นหน่วยค้นคว้าข้อมูลก็คงจะรู้ได้ใช่ไหมว่า
บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณเขาสามารถขี่ม้าแล้วทำการรบปกบ้านป้องเมืองคุ้มเหย้าให้เราโดยไม่มีอ๊อพชั่นเสริมให้เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา
ก็แน่นอน หน้าที่เรา รักษาสืบไป
ฉันจึงต้องรักษาธรรมเนียมนี้ด้วยการโยนสิ่งที่-ต้องใช้-ทิ้งไป แล้วก็-ต้องไม่ใช้-มันแทน
ฉันจึงใส่ชุดปกติขี่ม้าขึ้นเขา ฝ่าดงหนามคมคม บางทีถอดบังเหียนเพื่อฝึกบังคับมาโดยห้ามแอบยึดอะไรไว้เป็นหลัก
เผื่อเวลารบกันในหนังแล้วจะต้องยิงธนูหรือกวัดไกวแกว่งดาบจะได้ไม่ขัดเขิน
และเมื่อปราศจากเครื่องป้องกันเช่นนั้น ก็เป็นอันสบายใจได้ว่ารอยฟกช้ำดำเขียวและแผลขูดขีดย่อมมีตามมา
ที่จริงแล้ว ฉันอยากจะบอกคนที่เห็นรอยฟกช้ำที่ขาฉันเสียเหลือเกินว่า-นี่แค่ขานะ-
-ยังมีเด็ดกว่านี้อีก- 3. มือด้านจัง, ทาครีมบ้างสิ
ถ้าตอนนี้ฉันยังขืนโหมประโคมครีมทาผิวเพื่อให้มือฉันยังนุ่มเนียนอยู่ก็เห็นทีจะบ้าไปเสียแล้ว
เพราะด้ามหอก, ด้ามดาบที่จับกรำศึกทุกวี่ทุกวันนั้นเป็นตัวเร่งชั้นดีให้มือนุ่มเนียนและนิ้วเรียวอย่างลำเทียนแต่เดิม
เริ่มออกอาการพองเป็นตุ่มน้ำใสใสแล้วก็แตกเป็นแผล เพื่อจะกลับไปฝึกให้มันเป็นตุ่ม-แตก-ตุ่ม-แตก
วนเวียนอยู่อย่างนี้นี่แหละ
นี่ยังไม่รวมการต้องวิดพื้นบนดินร้อนร้อนตอนเที่ยง จับบังเหียนม้ามือเปล่า
หักกิ่งไม้ที่ขวางทางไม่ให้มันทิ่มลูกกะตา ฯลฯ
ดังนั้นที่มันด้านได้เสียทีนี่ก็เป็นบุญนักแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องมาทรมานกับอาการจับดาบได้ไม่มั่น
เพราะดันมีตุ่มมาแตกอยู่บนมือ 4. งานไปถึงไหนแล้วล่ะ?
อันนี้เป็นประโยคสำคัญที่คนถามมักส่งประกายตาคาดหวังวิบวิบ วับวับมาให้ฉัน
แบบที่แปลความได้ว่า โถ...ลำบากลำบนจนตัวอ่วมน่วมถึงปานนี้งานก็ต้องคืบหน้าไปได้โขแล้วสินะแม่คุณ
ฉันก็มีหน้าที่หักหาญประกายแห่งความหวังดีนั้นด้วยการตอบไปเสียงดังดัง
ฟังชัดชัดว่า
ยังไม่ได้เริ่มงานจริงๆ เลยค่ะ, นี่แค่ซ้อม
บทความชิ้นนี้จึงเปรียบเสมือนถ้อยแถลงจากฉัน ใครได้อ่านก็ช่วยบอกต่อต่อกันเป็นการช่วยตอบคำถามแทนฉันไปด้วยเถิด
และฉันหวังเพียงว่า, บทความจะเป็นเพียงบทความ และเราจะยังได้เจอกันผ่านหน้านี้ไปเรื่อยเรื่อย
ไม่ใช่ว่าเจอกันคราวนี้แล้ว จะได้เจอกันอีกทีตอนที่บทความนี้กลายเป็นพินัยกรรมของฉันเสียเอง
|