สกุลนี้ที่พบในไทย มีชนิดเดียว แต่มีหลายสายพันธุ์ย่อยได้แก่
Pteridium aquilinum
ชื่อสามัญ : Bracken Fern
ชื่ออื่น : กูดเกี๊ยะ กูดกิน Brake, Brake Fern, Eagle Fern, Female
Fern, Fiddlehead, Hog Brake, Pasture Brake, Grande fougere,
ชื่อ aquilinum มาจากภาษาลาติน แปลว่า eagle like แปลตรงตัวว่า เฟินที่เหมือนนกอินทรีย์
เป็นเฟินดิน ชอบแดด มีเหง้าเลื้อยยาวอยู่ใต้ผิวดินลงไป อาจถึง 1 ฟุต
เหง้าสีน้ำตาล มีขนสีน้ำตาลปกคลุม ก้านใบยาว 1-3 ฟุต โคนก้านอ้วนได้ถึง
3" แข็งแรง ผิวเป็นเงามัน สีน้ำตาลปนดำ ใบ แผ่กว้างเป็นใบประกอบขนนก
3-4 ชั้น ปลายยอดก้าน มีตายอด สามารถงอกขยายความสูงของก้านต่อไปได้อีก
ผิวใบเป็นมัน แผ่นใบหนาแข็ง ใต้ใบมีขนประปรายและสีเขียวจางกว่าด้านบน
อับสปอร์ เกิดเรียงตัวชิดกันเป็นเส้นที่ริมขอบใบย่อย
ในเหง้าของกูดเกี๊ยะ ส่วนประกอบหลักเป็นคาร์โบไฮเดรตและเนื้อเยื่อเก็ยกักน้ำ
(น้ำ 87%) เหง้าอ้วนได้ถึง 1" และแตกกิ่งก้านสาขา ระบบเเหง้าแบ่งเป็น
2 ส่วน เหง้าส่วนที่เป็นเหง้าเลื้อยยาวออกไปได้ไกล ส่วนนี้เจริญเติบดตรวดเร็ว
มีตาข้างไม่มาก และไม่สร้างใบ เป็นส่วนที่เก็บสะสมแป้ง อีกส่วนเป็นส่วนที่ของเหง้าสั้น
ส่วนนี้แตกออกมาจากส่วนเหง้าเลื้อยยาว ส่วนเหง้าสั้นมีใบงอกออกทางด้านข้างและอยู่ใกล้ผิวดินมากกว่า
บนเหง้าเลื้อยยาวจะมีตายอดที่อาจงอกออกมาเป็นส่วนเหง้าสั้นหรือเหง้าเลื้อยยาวได้อีก
ที่เหง้ามีรากสีดำ บางละเอียด แผ่ลึกลงไปในดินราว 20"
กูดเกี๊ยะสามารถเจริญเติบโตได้ในดินหลากหลายชนิด ที่ระบายน้ำได้ดีเก็บความชื้นได้สูง
มีอินทรีย์วัตถุมาก และไม่ชอบดินที่ขังน้ำ
ประโยชน์ของกูดเกี๊ยะมีมากมาย ใแห้งสามารถนำไปมุงเป็นหลังคากระท่อมใบแห้งใช้ทำฟืน
ในปี 1860 เถ้าจากใบเป็นแหล่งโปแตสในอุตสหกรรมแก้วและสบู่ เหง้านำมาใช้ฟอกหนังและย้อมผ้าขนสัตว์ให้สีเหลือง
ใบอ่อนที่ยังม้วนกินเป็นผัก ทั้งผักสด ผักดองเกลือ หรือตากแห้งเก็บไว้
ใบและเหง้านำมาใช้ในการหมักเบียร์ เหง้าเป็นแหล่งอาหารประเภทแป้งทดแทนได้
เหง้าแห้งบดละเอียดสำมารถนำมาทำขนมปังแทนแป้งสาลีได้ ชาวอินเดียแดงนำเหง้ามาปรุงเป็นอาหาร
โดยลอกเปลือกออกและกิน เหมือนหัวมันหัวเผือก ในประเทศญี่ปุ่น มีการนำแป้งจากเหง้ามาทำเป็นข้าวเกรียบ
ในแคนนาดามีการปลูกเลี้ยงเป็นอาชีพเพื่อนำไปทำอาหหารและยา ในสหรัฐ
ไซบีเรีย จีน ญี่ปุ่นและบราซิล จัดให้เป็นไม้ป่าที่กินได้ ผงแป้งจากเหง้าบดออกฤทธิ์ขับพญาธิได้
ชาวดินเดียแดงในอเมิรกากินเหง้าสด เพื่อบไบัดอาการทางหลอดลม
มีรายงานค้นพบว่า กูดเกี๊ยะ มีสารก่อให้เกิดการกลายพันธุ์และมะเร็งในหนูทดลอง
สำหรับคน กูดเกี๊ยะมีสาร ก่อมะเร็งในหลอดอาหาร กะเพาะและลำไส้ มีสารก่อให้เกิดโรคเม็ดเลือด
ลิวคีเมีย มะเร็งในกะเพาะปัสสวะ ทุกส่วนของต้นรวมทั้งสปอร์เป็นสารก่อมะเร็ง
จึงมีข้อแนะนำสำหรับคนที่ต้องทำงานอยู่ใกล้บริเวณดงกูดเกี๊ยะขึ้นหนาแน่น
สารพิษในกูดเกี๊ยะสามารถซึมเข้าไปอยู่ในน้ำนมวัว สารพิษมีอยู่ในปลายยอดอ่อนมกกว่ากว่าที่ก้านใบ
ดังนั้นการนำมากิน มีข้อแนะนำให้ต้มเดือนในสภาพที่เป็นด่างเพื่อความปลอดภัยในการบริโภค
กูดเกี๊ยะ มีศักยภาพที่จะเป็นแหล่งสกัดเคมีฆ่าแมลง และพลังงานชีวภาพ
ช่วยเพิ่มธาตุอาหารให้กับดิน โดยเฉพาะธาตุอาหารหลัก ไนโตเจน ฟอสเฟตและโปรแตสเซียม
และฝนกรดมีผลกระทบต่อการขยายพันธุ์ของกูดเกี๊ยะอย่างเห็นได้ชัด กูดเกี๊ยะจึงเป็นตัวบ่งชี้ของมลพิษในน้ำฝนได้
ใบของกูดเกี๊ยะ เมื่อโดนทำลาย มันจะคายไฮโดรเจนไซนเนด (HCN) ออกมา
โดยเฉพาะในใบอ่อน
|