หน้าแรก I ประวัติพระพุทธเจ้I บททำวัตรเช้า-เย็น แปล I ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก I ตู่มือมนุษย์I การฝึกใจ l มงคลชีวิต ๓๘ ประการ
ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์

 

ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์

แสดงธรรม โดย พระราชนิโรธรังสี

(เทสก์ เทสรังสี)


วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่

จังหวัดหนองคาย

 


---------------------------

 

คำปรารภ

เนื่องในงานฉลองอุโบสถฝังลูกนิมิต วัดพระงามศรีมงคล
ซึ่งพระครูสีลขันธ์สังวร (อ่อนสี) ได้ชักชวนญาติโยม
พากันก่อสร้างมาเป็นเวลานานถึง ๑๐ กว่าปี
สิ้นเงินไปประมาณล้านกว่าบาท
บัดนี้ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้วด้วยความภาคภูมิใจยิ่ง
การสร้างอุโบสถเป็นงานใหญ่และงานละเอียด
ต้องใช้เวลาแลความอดทนกล้าหาญ
ต่อสู้กับอุปสรรคนานาประการจึงจะสำเร็จได้
พระครูสีลขันธ์สังวรท่านมีคุณธรรมดังกล่าวแล้วครบครันในตัวของท่าน
จึงสามารถสร้างอุโบสถหลังนี้ให้สำเร็จได้ ซึ่งพระบางรูปแม้แต่ตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้

นอกจากนี้ ถาวรวัตถุอันมีอยู่ในวัดพระงามศรีมงคลที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ทั้งหมด ก็สำเร็จด้วยฝีมือของท่านทั้งนั้น (ขณะที่ท่านกำลังทำการก่อสร้างอุโบสถหลังนี้อยู่ ท่านยังได้ชักชวนคณะญาติโยมให้ช่วยกันสร้างอุโบสถ วัดพระเจ้าองค์ตื้อ
อันเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมให้กลับคืนดีมาอีกด้วย)


ฉะนั้นท่านจึงเป็นที่เคารพนับถือของเหล่าพุทธศาสนิกชนเป็นอันมาก ในการฉลองฝังลูกนิมิตครั้งนี้ กรรมการจัดงานวัดไม่ได้ทำรูปเหรียญหรือเครื่องขลังของรางเป็นเครื่องชำร่วยแก่ผู้ที่มาบริจาคใดๆ ทั้งนั้น จะรับแต่เฉพาะผู้ที่มีจิตศรัทธาบริจาคสมทบก่อสร้างเท่านั้น
แลได้พิมพ์หนังสือประวัติของวัดแลของพระครูสีลขันธ์แจกเป็นธรรมทานด้วย


ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่า หนังสือควรจะให้มีเนื้อหาเป็นสารธรรมอยู่บ้าง
ในขณะเดียวกันนี้ ข้าพเจ้าก็กำลังเขียนธรรมบรรยาย ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์อยู่แล้ว จึงได้ถือโอกาสรีบเขียนเพื่อให้เสร็จทันพิมพ์ต่อท้ายในหนังสือเล่มนี้ด้วย หนังสือเล่มนี้
หากท่านผู้อ่านไม่เห็นเป็นหญ้าปากคอกละก็ หวังว่าคงจะไม่ไร้สาระแลให้ประโยชน์แก่ท่านผู้สนใจในธรรมปฏิบัติตามสมควร
โดยเฉพาะท่านผู้เจริญกรรมฐานภาวนา ถ้าอุสส่าห์คิดค้นตรึกตรองตาม อาจทำให้ท่านได้รับความรู้แปลกๆ ขึ้นมาบ้าง
ดีกว่าจะนั่งหลับตาเพ่งเอาความสุขสงบแล้วโงกง่วงซึมเซ่ออยู่เฉยๆ หากไม่คิดค้นตามหลักธรรมให้เกิดแสงสว่างบ้าง
จะไม่สามารถรักษาภูมิจิตของตนไว้ได้เลย แล้วก็ขอเตือนไว้ ณ ที่นี้เสียเลยว่า
การคิดค้นพิจารณาอย่าให้หนีจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ถ้าคิดค้นไปตามอารมณ์ชอบใจแล้ว
มิใช่แตกปลอกแค่ มันมีหวังปลอกแตกแน่ การรู้จักประมาณ ท่านผู้รู้ทั้งหลายชมว่าเป็นของดี

เทสรังสี.


-------------------------------------------------------

ธรรมกถาซึ่งจะอธิบายต่อไปนี้จะได้ยกธรรมสามกองคือ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ขึ้นมาตั้งเป็นกระทู้แล้ว จะได้อธิบายเป็นลำดับต่อไป เพราะธรรมสามกองนี้เป็นของจำเป็นแก่ผู้ใครในธรรม ไม่ว่าทางโลกียะแลโลกุตตร จำเป็นต้องดำเนินแลค้นคว้าพิจารณาตามหลักธรรมสามกองนี้ทั้งนั้น จึงจะบรรลุตามเข้าหมายของตนได้

อนึ่ง ธรรมสามกองนี้ก็เป็นของที่มีพร้อมอยู่ในตัวของคนเราแต่ละคนอยู่แล้ว เมื่อเรามารู้เท่าเข้าใจในธรรมสามกอง
ซึ่งมีอยู่ในตัวของเรานี้แล้ว ก็จะรู้ธรรมอื่นๆ ซึ่งนอกออกไปจากตัวของเรา ซึ่งมีสภาพเช่นเดียวกันนี้
หากหลงใหลเข้าใจผิดไปในธรรมสามกองซึ่งมีอยู่ในตัวของเรานี้แล้ว ธรรมอื่นๆ ซึ่งมีอยู่นอกออกไปจากตัวของเรา
ก็จะหลงใหลเข้าใจผิดไปหรอก

 

ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์

มนุษย์ตัวตนคนเราที่เกิดขึ้นมาแล้วนี้ย่อมมีของสามอย่างนี้เป็นสมบัติเบื้องต้น ก่อนจะมีสมบัติใดๆ ทั้งสิ้น แล้วก็เป็นของสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันโดยเฉพาะด้วย จะดีจะชั่วจะสุกจะดิบจะเป็นโลกเป็นธรรม ก็ต้องมีของสามอย่างนี้เสียก่อน เป็นมูลฐาน เป็นเครื่องวัดเครื่องหมายแสดงออกมาว่าอะไรเป็นอะไร

ผู้ถือว่าเราว่าเขาว่าสุขว่าทุกข์ ก็ถืออยู่ในองค์ของสามอย่างนี้ หลงอยู่ในห้วงของสามอย่างนี้
ผู้จะรู้แจ้งเห็นจริงจนเป็นสัจจะก็รู้แจ้งเห็นจริงในของสามอย่างนี้

ของสามอย่างนี้เป็นเครื่องวัดเครื่องเทียบโลกแลธรรมได้เป็นอย่างดี ผู้ไม่เห็นของสามอย่างนี้ก็ตกไปจมอยู่ในของสามอย่างนี้ หรือผู้ที่เห็นแล้วแต่ยังไม่ชัดแจ้งก็ปล่อยวางไม่ได้เข้าไปยึดเอามาเป็นของตัวก็มี เรียกย่อๆ ว่าผู้เห็นตนเป็นโลกแล้วย่อมไปดึงเอาของสามอย่างนั้นหรือสิ่งเกี่ยวเนื่องของสามอย่างนั้นมาเป็นโลกไปด้วย
ส่วนผู้ที่ท่านเห็นว่าตนเป็นธรรมแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแต่สักว่าธรรมเท่านั้น หาได้มีตนมีตัวหรืออะไรทั้งหมดไม่
เช่นธาตุสี่ ก็เป็นสักแต่ว่าธรรมธาตุ ขันธ์ ๕ ก็เป็นสักว่าธรรมขันธ์ ส่วนอายตนะ ๖ ก็รวมอยู่ในธรรมทั้งสองนี้

ฉะนั้นต่อไปนี้จะได้อธิบายถึงธรรมสามอย่างที่กล่าวข้างต้นนั้น เพื่อประโยชน์แก่ผู้ใคร่ในธรรม แล้วจะได้นำไปพิจารณาเพื่อเป็นแนวทางนำไปสู่ความสว่างของชีวิตต่อไป ธรรมสามอย่างนั้นได้แก่ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖

หากจะถามว่า ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ มีเท่านี้หรือ ทำไมจึงแสดงแต่ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ เท่านั้น

ตอบว่า ธาตุมีมาก เช่นธาตุ ๖ อายตน ๑๘ หรือสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในโลกนี้เรียกว่าธาตุทั้งหมด ดังที่ท่านเรียกว่า "โลกธาตุ"
แม้พระนิพพาน ท่านก็เรียกว่านิพพานธาตุ ขันธ์ก็มีมากเหมือนกัน ขันธ์แปลว่ากองว่าเหล่าหรือหมู่หมวด

ท่านแสดงภูมิของสัตว์ที่ยังมีกิเลสเวียนอยู่ในโลกนี้ไว้ว่า ต้องเกิดอยู่ในภพที่มีขันธ์ ๕ ได้แก่มนุษย์และต่ำลงไปกว่ามนุษย์
ตลอดถึงนรก ๑ ขันธ์ ๔ ได้แก่เทพผู้ไม่มีรูป ๑ ขันธ์ได้แก่พรหมผู้มีรูป ๑ รวมความจริงแล้วโลกนี้พร้อมเทวโลกแลพรหมโลก
ท่านก็เรียกว่าขันธ์โลก

ส่วนข้อความแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแลดงไว้แล้วเป็นหมวดหมู่ ท่านก็เรียกว่าขันธ์ทั้งนั้น
ที่เรียกว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามี ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ดังนี้เป็นต้น ส่วนอายตนะนี่ก็แยกออกไปจากธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ แต่มีหน้าที่การงานมากไปกว่าที่แสดงย่อๆ ก็เพราะต้องการจะแสดงแต่เฉพาะ ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ อันเป็นมูลฐานล้วนๆ เท่านั้น

ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์

ธาตุ ๔

ธาตุ ๔ เป็นวัตถุอันเป็นที่ตั้งมูลฐานของสิ่งทั้งปวง แม้แต่ธรรมทั้งหลายที่เป็นนิยานิกธรรมอันจะดำเนินให้ถึงวิมุติด้วยสมถะวิปัสสนา ก็จะหนีจากธาตุสี่นี้ไม่ได้ แต่ธาตุ ๔ เป็นวัตถุธาตุล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับนามธรรมแลกิเลสใดๆ เลย ท่านจำแนกออกเป็นกองๆ
ตามลักษณะของธาตุนั้นๆ เช่นสิ่งใดที่มีอยู่ในกายนี้มีลักษณะข้นแข็ง ท่านเรียกว่า

ธาตุดิน มี ๑๘ อย่าง คือ ผม ๑ ขน ๑ เล็บ ๑ ฟัน ๑ หนัง ๑
เนื้อ ๑ เอ็น ๑ กระดูก ๑ เยื่อในกระดูก ๑ ม้าม ๑ หัวใจ ๑ ตับ ๑ พังผืด ๑ ไต ๑ ปอด ๑ ไส้ใหญ่ ๑ ไส้น้อย ๑ อาหารใหม่ ๑ อาหารเก่า ๑ (ถ้าเติมกะโหลกศีรษะและมันสมองศีรษะเข้าด้วยก็เป็น ๒๐ พอดี แต่ที่ไม่เติมเพราะไปตรงกับกระดูกและเยื่อในกระดูก จึงยังคงเหลือ ๑๘)

ธาตุน้ำ สิ่งใดที่มีลักษณะเหลวๆ ท่านเรียกว่าธาตุน้ำ มี ๑๒ คือ น้ำดี ๑ น้ำเสลด ๑ น้ำเหลือง ๑ น้ำเลือด ๑ น้ำเหงื่อ ๑ นั้นมันข้น ๑ น้ำตา ๑
น้ำมันเหลว ๑ น้ำลาย ๑ น้ำมูก ๑ น้ำมันไขข้อ ๑ น้ำมูตร ๑

ธาตุไฟ สิ่งใดที่มีลักษณะให้อบอุ่น ท่านเรียกว่า ธาตุไฟ มี ๔ คือ ไฟทำให้กายอบอุ่น ๑ ไฟทำให้กายทรุดโทรม ๑ ไฟช่วยเผาอาหารให้ย่อย ๑ ไปทำความกระวนกระวาย ๑

ธาตุลม สิ่งใดที่มีลักษณะพัดไปมาอยู่ในร่างกายนี้ สิ่งนั้นท่านเรียกว่าธาตุลม มี ๖ คือ

ลมพัดขึ้นเบื้องบน ทำให้มึน งงหาวเอื้อมอ้วกออกมา ๑ ลมพัดลงข้างล่างทำให้ระบายเผยลม ๑ ลมในท้องทำให้ปวดเจ็บท้องขึ้นท้องเฟ้อ ๑ ลมในลำไส้ทำให้โครกครากคลื่นเหียนอาเจียน ๑ ลมพัดไปตามตัวทำให้กายเบาแลอ่อนละมุนละไม ขับไล่เลือดและโอชาของอาหารที่บริโภคเข้าไป ให้กระจายซึมซาบไปทั่วสรรพางกาย ๑ ลมระบายหายใจเข้าออกเพื่อยังชีวิตของสัตว์ให้เป็นอยู่ ๑
หรือจะนับเอาอากาศธาตุคือช่องว่างที่มีอยู่ตัวของเราเช่น ช่องปาก ช่องจมูก เป็นต้น เข้าด้วยก็ได้

แต่อากาศธาตุก็เป็นลมชนิดหนึ่งอยู่แล้วจึงสงเคราะห์เข้าในธาตุลมด้วย มนุษย์ทั้งหลายที่เราๆ ท่านทั้งหลายที่เห็นกันอยู่นี้
ถ้าจะพูดตามเป็นจริงแล้วมิใช่อะไร มันเป็นแค่สักว่าก้อนธาตุมารวมกันเข้าเป็นก้อนๆ หนึ่งเท่านั้น มนุษย์คนเราพากันมาสมมติเรียกเอาตามชอบใจของตนว่านั่นเป็นคนนั่นเป็นสัตว์ นั่นเป็นนั่นเป็นนี่ต่างๆ นานาไป แต่ก้อนอันนั้นมันก็หาได้รู้สึกอะไรตามสมมติของตนไม่ มันมีสภาพเป็นอยู่อย่างไรมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นตามเดิม อย่างไปสมมติว่าหญิงว่าชายว่าหนุ่มว่าแก่ว่าสวยไม่สวย ก้อนธาตุอันนั้นมันก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย

หน้าที่ของมันเมื่อประชุมกันเข้าเป็นก้อนแล้วอยู่ได้ชั่วขณะหนึ่งแล้วมันก็ค่อยแปรไปตามสภาพขอมัน ผลที่สุดมันก็แตกสลาย แยกกันไปอยู่ตามสภาพเดิมของมันเท่านั้นเอง ใจของคนเราต่างหากเมื่อความไม่รู้เท่าเข้าใจตามเป็นจริงแล้ว
ก็ไปสมมติว่าเป็นคนเป็นหญิงเป็นชาย สวยไม่สวย สวยก็ชอบใจรักใคร่อยากได้มาเป็นของตน ไม่สวยก็เกลียดเหยียดหยามดูถูกไม่ชอบใจไม่อยากได้อยากเห็น

ใจไปสมมติเอาเองแล้วก็ไปหลงติดสมมติของตัวเอง เพิ่มพูนกิเลสซึ่งมันหมักหมมอยู่แล้วให้หนาแน่นขึ้นอีก
กิเลสอันเกิดจากความหลงเข้าใจผิดนี้ ถ้ามีอยู่ในจิตสันดานของบุคคลใดแล้วหรืออยู่ในโลกใดแล้ว
ย่อมทำบุคคลนั้นหรือโลกนั้นให้วุ่นวายเดือดร้อนมากแลน้อย ตามกำลังพลังของมัน สุดแล้วแต่มันจะบันดาลให้เป็นไป ฯ

ความจริงธาตุ ๔ มันก็เป็นธาตุล้วนๆ มิได้ไปก่อกรรมทำเข็ญให้ใครเกิดกิเลสหลงรักหลงชอบเลย ถึงก้อนธาตุจะขาวจะดำสวย
ไม่สวย มันก็มีอยู่ทั่วโลก แล้วก็มีมาแต่ตั้งโลกโน่น ทำไมคนเราพึ่งเกิดมาชั่วระยะไม่กี่สิบปีจึงมาหลงตื่นหนักหนาจนทำให้สังคมวุ่นวายไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร มืดบอดยิ่งกว่ากลางคืน

ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าของพวกเราทั้งหลายผู้ทรงประสงค์ความสันติสุขแก่โลก จึงทรงจำแนกสมมติที่เขาเหล่านั้นกำลังพากัน
หลงติดอยู่เหมือนลิงติดถัง ออกให้เป็นแต่สักว่าธาตุ ๔ ดังจำแนกมาแล้วข้างต้น
หรือจะเรียกว่าพระองค์ทรงบัญญัติให้เป็นไปตามสภาพของเดิม

เพื่อให้เขาเหล่านั้นที่หลงติดสมมติอยู่แล้ว ให้ค่อยๆ จางออกจากสมมติ แล้วจะได้เห็นสภาพของจริง
บัญญัตินี้ไม่เป็นตนเป็นตัว เป็นสภาพธรรมอันหนึ่ง แล้วบัญญัติเรียกขื่อเป็นเครื่องหมายใช้ชั่วคราวเท่านั้น
ถ้าผู้มาพิจารณาเห็นกายก้อนนี้เป็นสักแต่ว่าธาตุ ๔ แล้ว จะไม่หลงเข้าไปยึดเอาก้อนธาตุมาเป็นอัตตาเลย
อันเป็นเหตุให้เกิดกิเลสหยาบช้า ฆ่าฟันกันล้มตายอยู่ทุกวันนี้

ก็เนื่องจากความหลงเข้าไปยึดก้อนธาตุว่าเป็นอัตตาอย่างเดียว ผู้ใคร่ในธรรมข้อนี้จะทดลองพิจารณาให้เห็นประจักษ์ด้วยตนเอง
อย่างนี้ก็ได้ คือพึงทำใจให้สงบเฉยๆ อยู่ อย่าได้นึกอะไร แลสมมติว่าอะไรทั้งหมด แม้แต่ตัวของเราก็อย่านึกว่านี่คือเราหรือคน แล้วเพ่งเข้ามาดูตัวของเราพร้อมกันนั้นก็ให้มีสติทำความรู้สึกอยู่ทุกขณะว่า เวลานี้เราเพ่งวัตถุสิ่งหนึ่ง แต่ไม่มีชื่อว่าอะไร

เมื่อเราทำอย่างนี้ได้แล้ว จะเพ่งดูสิ่งอื่นคนอื่นหรือถ้าจะให้ดีแล้วเพ่งเข้าไปในสังคมหมู่ชนมากๆ ในขณะนั้น
อาจทำให้เกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาในใจแปลกๆ และเป็นสิ่งน่าขบขันมาก
อย่างน้อยหากท่านมีเรื่องอะไรหนักหน่วงและยุ่งเหยิงอยู่ภายในใจของท่านอยู่แล้ว เรื่องทั้งหมดนั้นหากจะไม่หายหมดสิ้นไปทีเดียว ก็จะเบาบางแลรู้สึกโล่งใจของท่านขึ้นมาบ้างอย่างน่าประหลาดทีเดียว หากท่านทดลองดูแล้วไม่ได้ผลตามที่แสดงมาแล้วนี้ ก็แสดงว่าท่านยังทำใจให้สงบไม่ได้มาตรฐานพอจะให้ธรรมเกิดขึ้นมาได้

ฉะนั้นจึงขอให้ท่านพยายามทำใหม่จนได้ผลดังแสดงมาแล้ว แล้วท่านจะเกิดความเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า เป็นคำสอนที่นำผู้ปฏิบัติให้ถึงความสันติได้แท้จริง ฯ

อนึ่ง คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนเพื่อสันติ ผู้ที่ยังทำใจของตนให้สงบไม่ได้แล้ว
จะนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นสันติมาพิจารณาก็ยังไม่เกิดผล หรือมาตั้งไว้ในใจของตนก็ยังไม่ติด

ฉะนั้น จึงขอเตือนไว้ ณ โอกาสนี้เสียเลยว่าผู้จะเข้าถึงธรรม ผู้จะเห็นธรรม รู้ธรรม ได้ธรรม พิจารณาธรรมใจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งที่แสดงมาแล้วและกำลังแสดงอยู่หรือที่จะแสดงต่อไปนี้ก็ดี ขอได้ตั้งใจทำความสงบเพ่งอยู่เฉพาะในธรรมนั้นๆ แต่อย่างเดียว แล้วจึงเพ่งพิจารณาเถิดจึงจะเกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมนั้นๆ อย่างถูกต้อง

เรื่อง ธาตุ ๔ เป็นสภาวธรรมเป็นจริงอยู่ตามธรรมชาติแล้ว แต่คนเรายังทำจิตของตนไม่ให้เข้าถึงสภาพเดิม (คือความสงบ)
จึงไม่เห็นสภาพเดิมของธาตุ ธาตุ ๔ เมื่อผู้มาพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่า ธาตุเป็นสักแต่ว่าธาตุ มันมีสภาพเป็นอยู่เช่นไร มันก็เป็นอยู่เช่นนั้นตามสภาพของมัน

ธาตุมิได้ก่อกวนให้ใครเกิดกิเลสความรักแลความหวัง หรือโลภโกรธหลงอะไรเลย ใจของคนเราก็เป็นธาตุเหมือนกัน เรียกว่ามโนธาตุ หากผู้มาพิจารณาให้เห็นสิ่งทั้งปวงเป็นแต่สักว่าธาตุคือเห็นธาตุภายใจ (คือกายก้อนนี้) และธาตุภายนอก (คือนอกจากกายของเรา) และมโนธาตุ (คือใจ) ตามเป็นจริงแล้ว ความสงบสุขก็จะเกิดมีแก่เหล่าประชาสัตว์ทั่วหน้ากัน สมตามพุทธประสงค์ที่พระพุทธองค์ตั้งปณิธานไว้ทุกประการ

อ่านต่อหน้า ๒>>>>>

หน้าแรก I ประวัติพระพุทธเจ้I บททำวัตรเช้า-เย็น แปล I ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก I ตู่มือมนุษย์I การฝึกใจ l มงคลชีวิต ๓๘ ประการ

Non Copyright 2002. Buddhamamaka Home Page. All Rights Reserved. Comment or suggestion : webmaster@yahoo.com