บทที่ 2
พระมาลัยเยี่ยมแดนปิศาจ
วันหนึ่ง หลังจากที่กลับจากทัศนาจรเมืองนรกได้ไม่นาน พระมาลัยเถระ นึกอยากจะไปเยี่ยมแดนปิศาจดูบ้าง บางทีอาจจะได้ข่าวคราวอะไรดีๆ มาฝากชาวบ้านชาวเมืองดังที่เคย ดังนั้น เมื่อกลับจากบิณฑบาต และฉันอาหารเช้าเสร็จแล้ว พระคุณเจ้าก็เข้าจตุตฌาน อธิษฐานจิต เหาะตรงไปยังแดนปิศาจ ซึ่งอยู่กลางป่าหิมพานต์ แดนชมพูทวีป นั่นเอง

และเพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว พระคุณเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ก็พาร่างมายืนอยู่หน้าวิมานแก้วผลึก ซึ่งตั้งตระหง่าน อยู่ตรงกลางสระโบกขรณีอันกว้างใหญ่ และเต็มไปด้วยดอกบัวชูช่อไสว เป็นที่น่าเพลิดเพลินเจริญใจยิ่งนัก

"มีใครอยู่บ้างไหม?" พระเถระส่งเสียงร้องเรียก พอดีประตูวิมานเปิดออก พร้อมกับใบหน้าอันเกรอะกรังไปด้วยน้ำเหลือง ไม่ต่างอะไรกับซากศพที่โผล่ขึ้นจากโลง ยื่นออกมา และทันทีที่เจ้าของใบหน้าอันน่าขยะแขยงนั้น เห็นชายผ้าเหลืองปลิวไสว มันรีบทรุดกายลงนั่ง พร้อมกับกุลีกุจอยกมือไหว้ท่วมหัว

"อ๋อ! พระคุณเจ้านั่นเอง ต้องการพบใครหรือขอรับ?"

"ท่านมหิทธิกะอยู่ไหม?" พระเถระหมายถึงปิศาจผู้มีฤทธิ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าของบรรดาปิศาจร้าย และไม่ร้ายทั้งมวล "ถ้าอยู่ช่วยบอกด้วยว่า เราคือพระมาลัย อยากจะพบสนทนาด้วยสักครู่"

"พระคุณเจ้ามาลัย?" เจ้าปิศาจตนนั้นทวนคำอย่างตื่นเต้น "โอ! พระคุณเจ้าอุตส่าห์มาถึงที่นี่"

"เจ้ารู้จักเราด้วยหรือ?" พระมาลัยย้อนถาม

"รู้จักซีขอรับ รู้จักชื่อพระคุณเจ้า" มันตอบเสียงมิวายตื่นเต้นดีใจ "พระคุณเจ้าที่มีเมตตาเที่ยวโปรดสัตว์นรก ผู้ตกยากทั้งหลายอยู่เสมอ จนชื่อเสียงลือกระฉ่อนทั่วไปยังไงขอรับ อย่าว่าแต่ข้าพเจ้าตนเดียวเลย แม้แต่ปิศาจทุกตนในเมืองนี้ ก็ล้วนแต่รู้จักพระคุณเจ้าทั้งนั้น เพราะบางตนและหลายตนเคยพบพระคุณเจ้า ได้รับความเมตตาจากพระคุณเจ้า เมื่อครั้งยังเสวยทุกข์ทรมาณอยู่ในนรกด้วยขอรับ"

"งั้นผู้ที่อยู่เมืองนี้ ส่วนมากก็มาจากนรกกันทั้งนั้นนะซี?"

"ถูกแล้วขอรับ พระคุณเจ้า มีส่วนน้อยที่ไม่ได้ผ่านนรกมา พอตายจากมนุษย์มาเกิดเป็นปิศาจอยู่ที่นี่เลย"

"แล้วเจ้าล่ะ ผ่านนรกมาแล้วหรือเปล่า?"

"เปล่าขอรับ ข้าพเจ้ามาจากมนุษย์เลยทีเดียว"

"เจ้ามีบาปกรรมอะไรหรือ ถึงต้องมาเป็นปิศาจอยู่ที่นี่"

เจ้าปิศาจหันไปมองซ้ายมองขวาอยู่นิดหนึ่ง คล้ายระแวงว่า จะมีใครมาแอบฟังเรื่องราวอันแสนชั่วของมัน แล้วจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเศร้าว่า

"ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพเจ้านี้เมื่อเป็นมนุษย์ เป็นคนเห็นแก่ได้ ยังไงก็ช่าง ขอให้ได้มาเป็นเอาทั้งนั้น ถูกผิดชั่วดีไม่คำนึงถึง"

"แล้วเจ้าไปได้อะไรมาล่ะ? เล่าให้ละเอียดซิ"

"ก่อนนี้ข้าพเจ้าเป็นคนเดินขายน้ำหอม แรกๆ ก็เอาน้ำหมอชนิดดีขนานแท้ไปขาย ปรากฏว่าขายดีมาก จนข้าพเจ้าร่ำรวย มีเงินทองขึ้นในชั่วระยะเวลาไม่กี่มากน้อย จากนั้นข้าพเจ้าเกิดความคิดขึ้นมาว่า ทางที่ดีถ้าเอาน้ำหอมปลอมไปขาย โดยโกหกว่าเป็นของจริง เราคงจะได้เงินมากกว่านี้ ดังนั้นจึงเอาน้ำหอมปลอมไปขายตามที่คิด ปรากฏว่าขายดิบขายดี จนนับเงินไม่ทัน ข้าพเจ้าร่ำรวยขึ้น อีกเท่าตัว แต่คนที่ซื้อน้ำหอมปลอมไปใช้นะซิแย่ พอเอาน้ำหอมทาที่ไหน ก็เกิดพุพองขึ้นที่นั่น ทั้งหน้าตา เนื้อตัวของเขา เน่าเฟะไปหมด เพราะน้ำหอมปลอมของข้าพเจ้านั่นเอง และเพราะบาปกรรมอันนี้ ข้าพเจ้าตายลง จึงมาเกิดเป็นปิศาจ เนื้อตัวหน้าตาเน่าเฟะไปหมด ตลอดเวลาข้าพเจ้ากินอาหารอย่างอื่นไม่ได้ ต้องดูดน้ำเหลืองจากแผลของตัวเอง กินเป็นอาหาร แสนลำบากทรมาณเหลือเกินพระคุณเจ้า ไม่ควรเลย-ไม่ควรที่ข้าพเจ้าจะทำชั่วช้าให้ตัวเองต้องลำบากลำบนเช่นนี้"

"คงอีกไม่นานดอกกระมัง?" พระมาลัยตอบ "ตั้งหน้าตั้งตาและตั้งจิตใจมั่นอยู่ในความดีเข้าเถอะ ไม่ช้าเจ้าก็จะพ้นทุกข์หรอก"

พอดีขณะที่พระมาลัยพูดจบนั่นเอง ก็ปรากฏมีงูเหลือมใหญ่ตัวหนึ่ง หัวเท่าขันตักน้ำขนาดใหญ่ โผล่ขึ้นมาจากสระ ตรงเบื้องหน้าที่พระเถระยืนอยู่ เจ้าปิศาจเห็นเข้าก็บอกเสียงลั่นว่า

"เฮ้ย! อ้ายเหลือม นี่พระมาลัยผู้เป็นเจ้าของพวกเรา เอ็งมาไหว้ท่านเสีย"

"อ๋อ! เจ้าหรอกหรือ?" พระเถระหันมาพอดี มันหยุดชะงัก ขดตัวเข้า แล้วผงกหัวเป็นเชิงแสดงความเคารพ

"เจ้าเคยเป็นมนุษย์เดินเหินไปไหนด้วยเท้าอย่างสบาย แต่บัดนี้มาเดินด้วยอก คงลำบากมากซีนะ"

"ลำบากแสนสาหัส ประคุณเอ๋ย" อ้ายเหลือมตอบ "แต่ทำยังไงได้ มีกรรมก็จำต้องทนอย่างนี้แหล พระคุณเจ้า"

"เจ้าทำบาปกรรมอะไรนักหนาหรือ? บอกเราหน่อยได้ไหม"

"ได้ขอรับ เมื่อก่อนตอนที่ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าเป็นเศรษฐีมีเงินทองมากมาย แต่หาได้ใช้เงินนั้นให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นแต่อย่างไรไม่ ได้มาเท่าไรมีอยู่เท่าไร เก็บฝังดินไว้จนหมดสิ้น ในที่สุด เมื่อชีวิตสิ้นลง ก็ต้องมาเกิดเป็นงูเหลือม เฝ้าทรัพย์ ไม่ได้กินอะไรเช่นนี้ พระคุณเจ้าโปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถอะ ช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นกรรมด้วยขอรับ"

"จะให้เราช่วยยังไงเล่า?"

"ไม่ยากขอรับ เมื่อพระคุณเจ้ากลับไปเมืองมนุษย์แล้ว ขอได้โปรดบอกกับญาติชื่อนั้นของข้าพเจ้า ได้มาขุดเอาทรัพย์ ซึ่งฝังอยู่ในถ้ำโน้นไปทำบุญทำทาน แล้วอุทิศส่วนกุศลมาให้ข้าพเจ้าด้วย แค่นี้ ข้าพเจ้าก็จะพ้นทุกข์ทรมาณแล้ว"

"เอาละถ้างั้นเราจะบอกให้" พระเถระรับคำ

"เป็นบุญวาสนาของข้าพเจ้าอย่างยิ่งทีเดียวขอรับ" อ้ายงูเหลือมพูดขึ้นอย่างดีใจ พลางผงกหัวแสดงความเคารพอีกครั้งหนึ่ง "ข้าพเจ้าลาพระคุณเจ้าละ ยังไงได้โปรดข้าพเจ้าให้ได้นะขอรับ"

ว่าแล้วมันก็หันหลังกลับ พุ่งตัวลงน้ำเสียงดังโครมใหญ่และไม่ช้าก็ลับหายไปในกอบัว

ไม่ทราบว่าเป็นการบังเอิญหรืออย่างไรก็สุดจะเดา ทันทีที่อ้ายงูเหลือมหายลงไปในสระ ร่างสูงโย่งเท่าต้นตาลของปิศาจตนหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นทางเบื้องซ้ายพระเถระ พร้อมด้วยคออันแสนยาว ไม่ต่างกับคอนกกระยาง มันยื่นตาและจมูกอันกลวงโบ๋ และลิ้นอันยาวเกือบวา พุ่งตรงมายังท่าน พลางจะตระหวัดร่างท่านเข้าไปในปากอันกว้างของมันอย่างกระเหี้ยนกระหาย แต่ทว่าพอปลายลิ้นปะทะกับผ้าเหลืองเข้าไปนิด ก็ต้องหดกลับพร้อมกับส่งเสียงร้องโอดโอยลั่น ยังกะถูกไฟลวกกระนั้นแหละ

"โอย! ตายแล้ว ร้อนเหลือเกิน"

"ฮะ ฮะ สมน้ำหน้าแล้ว" เจ้าปิศาจหัวเราะเยาะ "เอ็งมันตะกละ เห็นใครก็จะกินตะบันราด ถึงเจอดีเข้าอย่างนี้ นี่พระคุณเจ้าพระมาลัย เอ็งรู้จักไหม?"

"ขะ...ข้าไม่รู้" เจ้าปิศาจลิ้นยาวตอบเสียงตะกุกตะกัก เพราะความปวดแสบปวดร้อน ยังรวดร้าวอยู่ที่ปลายลิ้น "ข้าขอโทษด้วย"

"นั่งลงซี อ้ายเวร" เจ้าปิศาจตะคอก "ขอโทษเปล่าๆได้หรือ? นั่งลงกราบพระคุณเจ้าเสีย เร็วเข้า"

"จ๊ะ ข้าจะนั่งลงกราบท่านเดี๋ยวนี้" มันตอบพร้อมกับพาร่างอันสูงโย่งของมัน ทรุดลงนั่งพับเพียบแต้ และยกมือไหว้พระเถระประหลกๆ "ข้าผิดไปแล้ว ยกโทษให้ข้าด้วยเถอะ พระคุณเจ้า"

พระมาลัยมองเจ้าปิศาจลิ้นยาว อย่างสมเพทเวทนา พลางพูดว่า

"เราไม่ถือโทษโกรธเจ้าหรอก นั่งตามสบายเถอะ ร่างเจ้าสูงโย่งแถมยังคอยาวลิ้นยาวเช่นนี้ ขืนนั่งเรียบร้อย มีหวังลำบากทรมาณหนักแน่ จริงไหมล่ะ?"

"จริงขอรับ พระคุณเจ้า แต่จะทำยังไงได้ขอรับ ข้ามีกรรม กำอย่างไม่ยอมแบเลย พระคุณเจ้าได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะ"

"จะให้เราช่วยได้ยังไงเล่า ในเมื่อเรายังไม่ทราบเลยว่า เจ้าทำบาปกรรมอะไรไว้ และพอจะแก้ไขหรือช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้หรือไม่อย่างไร?"

"ข้ากำลังจะเล่าถวายพระคุณเจ้าเดี๋ยวนี้" "ที่ข้ามาตกระกำลำบายอยู่เช่นนี้ เพราะเมื่อข้าเป็นมนุษย์ ข้าเป็นคนจรวัด ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ได้แต่เที่ยวนอนตามศาลาวัด พอทายกทายิกามาทำบุญทำทาน และจัดอาหารเตรียมถวายพระที่ศาลานั้น ข้าก็คอยจ้องจังหวะที่เขาเผลอ แอบขโมย ของคาวหวานเขากิน ก่อนที่จะได้ถวายพระ ครั้นพวกเขาหันมาเห็นเข้า ต่างก็โมโหโกรธอย่างหนัก คว้าไม้ไล่ตีข้า จนหัวร้างข้างแตก และตายคาที่ ข้าเลยมาเกิดเป็นปิศาจตัวยาว ลิ้นยาวคอยเขมือบอะไรต่อมิอะไรกินเข้าไปอยู่เสมอ แต่ทว่าไม่รู้จักอิ่มเช่นนี้ พระคุณเจ้ามีทางไหนที่จะช่วยให้ข้าพ้นกรรม ได้โปรดเวทนาด้วยเถิดขอรับ"

"ก็มีอยู่วิธีเดียว เจ้าลิ้นยาว" พระเถระบอกหลังจากที่ฟังมันเล่าจบ "เจ้าต้องตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลห้า คืองดเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักขโมยของเขากิน ไม่ละเมิดสิทธิประเวณี ในลูกเมียคนเื่น ไม่พูดเท็จ และไม่ดื่มสุรายาเมา อย่างเคร่งครัด และเรากลับไปจากนี่ ก็จะไปบอกให้ญาติของเจ้า ทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาให้ เข้าใจว่าไม่ช้าคงจะพ้นกรรม"

"แหม! เป็นพระคุณแก่สัตว์ผู้ยากเหลือเกินขอรับ ข้าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ ที่พระคุณเจ้าช่วยเหลือแนะนำเช่นนี้"  เจ้าลิ้นยาวพูดพร้อมกับยกมือไหว้ประหลกๆด้วยความตื่นเต้นดีใจ "ข้าจะปฏิบัติตามที่พระคุณเจ้าบอกทุกอย่างขอรับ"

ว่าแล้วเจ้าปิศาจลิ้นยาวก็ลุกขึ้น พาร่างอันสูงโย่งของมันเดินจากไป ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องใจ ราวกับว่าจะได้พ้นทุกข์ทรมานในวันพรุ่งนี้กระนั้นแหละ

พอเจ้าปิศาจลิ้นยาวพาร่างเดินกลับไปได้ไม่ถึงอึดใจ ณ บริเวณหน้าวิมาณแก้วผลึก ซึ่งพระมาลัยก็เจ้าปิศาจหน้ารังผึ้งยืนอยู่นั้น ก็มืดครึ้งลง พร้อมกับพายุพัดผันมาอย่างหนัก อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ และบัดดลน้ำฝนก็เทลงมาราวกับฟ้ารั่ว มิหนำซ้ำ สายฟ้าเบื้องบน ฟาดเปรี้ยงลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

"เอ๊ะ! นี่มันอะไรกันนี่?" พระมาลัยผู้เป็นเจ้า รีบสำรวมจิต เพ่งพิจารณาเหตุวิบัติอัศจรรย์ที่เกิดขี้นทันที และเมื่อทราบชัดว่า มหิทธิกะ หัวหน้าปิศาจผู้มีฤทธิ์ ซึ่งเพิ่งจะกลับมาจากธุรกิจข้างนอก บันดาลให้เป็นไป เพื่อทดลองของดีกับท่านดังนั้น ท่านก็จัดแจงแก้ไขด้วย "กำลังภายใน" โดยไม่รอช้า

อึดใจเดียวเท่านั้นเอง พายุที่พัดผันและสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาก็พลันหายไปราวกับปลิดทิ้ง พร้อมทั้งร้องฟ้าที่มืดครึ้ม พลันสว่างจ้าขึ้นในพริบตา

"มหิทธิกะเอ๋ย เราคือพระมาลัยยังไงล่ะ?" พระเถระร้องบอกแนะนำตัวไป ปิศาจจะปล่อยกำลังภายในชุดใหม่มาอีก "ท่านจำเราได้มิใช่หรือ?" เราเคยลงไปช่วยท่านตอนที่ท่านยังจมอยู่ในนรกอเวจีโน่นไง?"

เท่านั้นเองร่างอันสง่าผึ่งผายของมหิทธิกะ ภายใต้เครื่องทรงอันเฉิดฉาย ไม่ต่างอะไรกับเทพบุตรก็ปรากฏขึ้น และดูเหมือนทันทีที่เจ้าปิศาจหน้ารับผึ้งถอยออกห่าง เขาก็คลานเข้ามากราบแทบเท้าพระเถระ ด้วยความตื่นเต้นดีใจทันที

"โอ! พระคุณเจ้า ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้พบพระคุณเจ้า ทั้งๆที่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า พระคุณเจ้าจะมาถึงที่นี่ เขาละล่ำละลัก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นสุดขีด "พระคุณเจ้ามานานแล้วหรือขอรับ?"

"ไม่นานเท่าไรหรอกท่าน" พระเถระตอบ "เรามาถึงก็ถามปิศาจตนนี้ว่าท่านอยู่หรือเปล่า แต่ยังไม่ทันที่เขาจะตอบ ก็มีเจ้างูเหลือมกับเจ้าลิ้นยาวมาคุยด้วย เลยคุยกับเข้าทั้งสองพักหนึ่ง พอดีท่านก็มานี่แหละ"

"แหม! เจ้างูเหลือมกับเจ้าลิ้นยาวมันบังอาจมาพบพระคุณเจ้าถึงที่นี่เชียวหรือ? เสียงหัวหน้าปิศาจชักขุ่นขึ้นมาทันใด "มันทำอะไรพระคุณเจ้าหรือเปล่าขอรับ? บอกข้าเถอะ ข้าจะลากคอมันมาจัดการลงโทษเดี๋ยวนี้"

พระมาลัยหัวเราะ "เขาไม่ได้ทำอะไรเราหรอก นอกจากจะขอความช่วยเหลือให้ไปบอกญาติพี่น้องทำบุญ ทำทานส่งมาให้เขาเท่านั้นเอง ท่านอย่าขัดเคืองเขาเลย หาที่นั่งให้เรานั่งก่อนเถอะ เรายืนขาแข็งนานแล้ว"

"เออ! จริงซีนะ ข้าก็ลืมไป" หัวหน้าปิศาจร้องลั่น บอกเจ้าปิศาจหน้ารังผึ้งไปจัดแจงยกอาสนะมาปูถวายที่หน้ามุขปราสาททันที "นิมนต์พระคุณเจ้าเข้าไปนั่งเสียก่อนขอรับ แล้วจะได้คุยกันต่อ"

พระเถระเดินเข้าไปนั่งบนอาสนะ ที่เจ้าปิศาจหน้ารังผึ้งจัดถวายเป็นการด่วนนั้นอย่างไม่รอช้า และพอนั่งลงเรียบร้อย หัวหน้าปิศาจก็ถามต่อทันที

"ข้ายังไม่ได้ถามพระคุณเจ้าเลยว่า พระคุณเจ้าสบายดีหรือขอรับ?"

"เราสบายดีเสมอ แล้วท่านล่ะ?"

"ข้าไม่ค่อยสบายนักหรอกขอรับ เพราะตอนนี้ อ้ายพวกปิศาจอันธพาลมีแยะ ต้องคอยไปปราบปรามกันอยู่เรื่อง ก็มิใช่ใครหรอก อ้ายงูเหลือม กับอ้ายลิ้นยาวที่พบพระคุณเจ้านั่นแหละขอรับ เป็นตัวการใหญ่ มันคอยเกะกะระรายพรรคพวกอยู่เรื่อยๆ และพอข้าเรียกมาลงโทษ ก็เลิกเสียพักหนึ่ง ไม่ช้าไม่นานมันก็พาลอาละวาดขึ้น"

"คงจะเป็นเพราะมันถูกทรมาณหนักเกินไป จนมองโลกในแง่ร้าย เห็นพรรคพวกเป็นศัตรูไปหมดเองแหละท่าน และต่อไปนี้เราคิดว่ามันคงไม่ก่อความวุ่นวายอะไร ให้ท่านปวดเศียรอีกต่อไป เพราะได้สั่งสอนมัน และให้ความหวังว่าจะช่วยเหลือมัน ให้พ้นเวรพ้นกรรมแล้ว"

"ถ้าได้อย่างงั้นก็เยี่ยมนะซี พระคุณเจ้า" หัวหน้าปิศาจชักเสียงใสขึ้นมาทันที "แต่ อ้อ ก็อีกนั่นแหละ พระคุณเจ้าขอรับ เมื่อสองตัวนี่หมดพยศ ก็มีตัวสำรองคอยรับหน้าที่แทนอีกสองตัว คือเจ้าปากเข็มกับเจ้าปากไฟ เจ้าสองตัวนี่ออกท่าให้ข้าเห็นอยู่หลายครั้ง โดยเจ้าปากเข็ม เที่ยมเอาเข็มที่ปากของมันทิ่มหน้าตา เนื้อตัวพรรคพวก ส่วนเจ้าปากไฟ ก็เที่ยวพ่นเปลวไฟออกจากปากใสหน้าเพื่อน แต่ทว่า บารมี มันยังไม่แก่กล้าถึงขนาดอย่างอ้ายงูเหลือม กับอ้ายลิ้นยาว หรือไม่ก็คงเห็นว่า อ้ายงูเหลือมกับอ้ายลิ้นยาว ยังคงความเป็นลูกพี่ใหญ่อยู่ ไม่งั้นคงประกาศศักดาไปนานแล้วพระคุณเจ้า มีทางใดจะช่วยปราบพยศมันก่อนที่จะลุกลามใหญ่โต ก็ช่วยข้าด้วยซิขอรับ"

"เรามาที่นี่ก็หวังจะมาช่วยท่าน และมวลปิศาจทั้งหลายในเมืองนี้ให้บรรเทาจากเคราะห์กรรม" พระมาลัยเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเนิบนาบ "เอายังงี้ก็แล้วกัน ท่านช่วยพาเราไปพบปิศาจทุกตัวที่อยู่ในเมืองนี้ แล้วเราจะสั่งสอนเขาหาทางช่วยเขาให้พ้นทุกข์"

"แต่เมืองนี้ใหญ่โตกว้างขวางมากนะขอรับ" หัวหน้าปิศาจทัดทาน เพราะเกรงพระเถระจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า โดยใช่เหตุ "วันนี้ทั้งวัน พระคุณเจ้าเดินไม่ทั่วแน่ ขอให้ข้าเรียกปิศาจทุกตัวมาพร้อมกันที่นี่ดีกว่าขอรับ"

"ปิศาจที่นี่มีมากเท่าไร?" พระเถระย้อนถาม

"ประมาณสองสามหมื่นตัว จากสิบสองตระกูลขอรับ"

"ถ้ายังงั้น ท่านพาเราไปพบหัวหน้าตระกูลจะไม่ดีกว่าหรือ?" พระเถระคงอยากจะตระเวณดูด้วยตนเองอยู่ดี "เพราะการที่เรียกประชุมที่นี่ จะเป็นการยุ่งยากแก่ท่านโดยใช่เหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว เราจะไม่มีโอกาสเห็นชีวิตจริงของเขาพวกนั้นเลย"

"ก็ได้เหมือนกันขอรับ งั้นตามข้ามาเถอะ ข้าจะพาพระคุณเจ้าไปเดี๋ยวนี้"

หัวหน้าปิศาจตกลง พร้อมกับลุกขึ้นเดินนำหน้า พาพระเถระตระเวณแดนปิศาจทันที

พอออกจากวิมาณแก้วผลึก ของหัวหจ้าปิศาจมาได้ไม่เท่าไหร่ ก็มาถึงต้นไทรต้นหนึ่ง ซึ่งมีกิ่งก้านสาขา ดกหนาแผ่ไปทั่วบริเวณอันกว้างใหญ่ เป็นที่น่าร่มรื่นยิ่งนก และพอหัวหน้าปิศาจพาพระเถระย่างเท้าเข้าไปในร่มต้นไทรแห่งนั้น ก็พบปิศาจตนหนึ่ง เอาขาเกี่ยวกิ่งไทร ห้อยหัวที่รุงรังด้วยผมลงมายังภาคพื้น หน้าตาเนื้อตัวของมัน เต็มไปด้วยรอยแผล และมีเลือดหนองไหลหยดย้อย โดยเฉพาะที่ปาก ดูเหมือนจะเน่าเฟะ มีหนอนตัวโตเท่าแขน เจาะไช ไต่ยั้วเยี้ยอยู่เต็ม และ ดูเหมือนทันทีที่มันเห็นเจ้านายเดินนำหน้า พาพระเถระมา มันก็ยกมือทั้งสองขึ้นไหว้จนท่วมหัว พลางละล่ำละลักถามว่า

"เจ้านายจะไปไหนขอรับ"

"พาพระคุณเจ้ามาลัยมาเยี่ยมเอ็ง" หัวหน้าตอบแล้วพลางหันมาทางพระคุณเจ้า "พระคุณเจ้าขอรับ นี่คืออ้ายปากเน่า มันมีกรรมหนักกว่าใครทั้งหมดในเมืองนี้ เพราะต้องห้อยหัวอยู่กับต้นไม้อย่างนี้ ตลอดเวลา จะลงมาเดินไปไหนก็ไม่ได้"

"แล้วจะได้กินอะไรหรือ?" พระมาลัยถามด้วยเสียงเศร้า เต็มไปด้วยความสมเพทเวทนาเหลือประมาณ "หรือมีคนเอาอะไรมาส่งให้?"

"ไม่หรอกขอรับจะได้กินก็คือหนอนใหญ่ๆ ที่ไต่ยั้วเยี้ยอยู่เต็มปากของมันนั่นแหละ เพราะบังเอิญเผลอๆ เจ้าหนอนมันไต่เพลินหลงเข้าไปในปาก อ้ายเจ้านี่หิวแสบไส้อยู่แล้ว ก็เคี้ยวกลืนลงท้องไปเลยขอรับ พระคุณเจ้า"

"แหม! น่าสงสารมาก" พระเถระคราง "นี่เจ้าผู้น่าสงสาร เจ้าทำบาปทำกรรมอะไรไว้นะถึงได้ทรมานขนาดนี้?"

อ้ายปากเน่ายกมือไหว้พระเถระอย่างลำบากยากเย็นพลางตอบว่า "ข้าเป็นคนโง่เง่าเต่าตุ่น และเลวชาติมากขอรับพระคุณเจ้า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ข้ามีพ่อแม่ที่แสนดี รักและเอาอกเอาใจข้า ราวกับแก้วตา แต่ข้ากลับเกลียดชังท่าน ด่าว่าท่านสารพัด ยังกับท่านเป็นขี้ข้าทาสาทาสีกระนั้นแหละ พอข้าสิ้นชีวิตไป ก็ตกนรก ถูกยมพบาลเอาน้ำกรดกรอกปาก และเหยียบจมลงในกระทะทองแดง เสียนมนาน ครั้นข้าหลุดมาจากนรก ก็มาเกิดเป็นปิศาจปากเน่าอยู่ที่นี่อีก"

"คงอีกไม่นานกระมัง เจ้าจะได้พ้นกรรม?" พระเถระซักต่อไป

"ข้าไม่ทราบขอรับ แต่ยังไงพระคุณเจ้าได้โปรดช่วยเหลือข้าด้วยเถอะ นึกว่าเวทนาสัตว์ผู้ยากก็แล้วกัน"

"จะให้เราช่วยอะไรเล่า?"

"ช่วยไปบอกญาติข้าชื่อนั้น ที่เมืองอนุราชธานี ให้ทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลมาให้ด้วย ข้าอดอยากไม่ได้อาหารอะไร นอกจากหนอนมาเป็นเวลานานแล้วขอรับ"

"แค่นั้นเองหรือ?"

"ขอแค่นั้นก่อนเถอะครับ เพราะเมื่อข้าได้กินอาหารดีๆอิ่มๆ แม้จะต้องห้อยหัวทรมาณอยู่อย่างนี้ อีกสักห้าปี สิบปีก็คงพอทนได้กระมัง?"

"เอาละ แล้วเราจะบอกให้"

พระเถระตอบในที่สุด แล้วหันมาบอกให้หัวหน้าปิศาจมัคคุเทศก์ พาเดินต่อไป

สักครู่หนึ่ง มหิทธิกะก็พาพระเถระมายืนอยู่ตรงหน้าภูเขาใหญ่ สีดำทมึนลูกหนึ่ง ซึ่งตั้งขวางปิดทางเดินอยู่ ทันทีที่หัวหน้าปิศาจหยุดยืนกึกลงตรงเชิงเขา เจ้าภูเขาลูกนั้น ก็มีอาการเคลื่อนไหวยวบเยียบ ราวกับมีวิญญาณ และ ก่อนที่พระเถระผู้เดินตามหลังมาจะทัน รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ปรากฏมีหน้าอันรกรุงรังด้วยหนวดเครา และผมเผ้ายาวเฟื้อย แต่ตรงตากับจมูกกลวงโบ๋ เลื่อนออกมาจากอีกด้านหนึ่ง พร้อมกับปากอันเต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคม ไมต่างอะไรกับเขี้ยวสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งเผยออก

"สวัสดีขอรับ ท่านหัวหน้าท่านจะไปไหนขอรับ?"

"เออ! สวัสดี อ้ายภูเขา" หัวหน้าปิศาจตอบ "ข้าพาพระคุณเจ้ามาลัยมาเยี่ยมเอ็ง"

"โอ! พระคุณเจ้ามาลัยผู้ใจดี" มันอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น พลางผงกศีรษะหงึกๆ เป็นเชิงแสดงความเคารพ "ข้าขอไหว้ขอรับ พระคุณเจ้า"

"นี่คือปิศาจภูเขาขอรับ พระคุณเจ้า" หัวหน้าปิศาจแนะนำขึ้นก่อนที่พระเถระจะตอบมันประการใด "รูปร่างมันใหญ่โตเท่าภูเขาใหญ่ๆ ลูกหนึ่ง แต่มีหัว มีหน้าตานิดเดียว"

"คงเคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้นะซี?" พระเถระถาม

"ไม่ได้ขอรับ" มันต้องจมอยู่ที่นี่ชัวกัปป์ชั่วกัลป์"

"เจ้าทำบาปทำกรรมอะไรไว้หนักหนาหรือ เจ้าภูเขา?" พระเถระหันไปถามเจ้าปิศาจ

"ข้าเป็นคนไม่มีศาสนา เห็นผิดเป็นชอบ เที่ยวหลอกลวงชาวบ้านชาวเมืองให้หลงเชื่อ กราบไหว้บูชาต้นไม้ ภูเขา โดยเอาเครื่องเซ่นไหว้ ไปกราบกรานทุกวี่ทุกวัน แล้วข้าก็ไปเก็บเอากินเสียเอง ข้าเลี้ยงชีวิตแบบนี้มานาน จนกระทั่งตาย จึงได้มาเกิดเป็นปิศาจภูเขา เฝ้าแผ่นดินอยู่ที่นี่ เคลื่อนไหวไปไหนก็ไม่ได้ หิวแสนหิวก็ไม่มีอะไรมาให้กินขอรับ" ปิศาจภูเขาเล่าประวัติอันชั่วช้าของมัน "หากพระคุณเจ้ามีทางใดจะช่วยให้พ้นกรรม พ้นทุกข์ทรมานก็ได้โปรดเวทนาข้าด้วยเถิดขอรับ"

"ก็ได้ ถ้าเจ้าทำตามที่เราบอกได้" พระเถระว่า

"ทำอย่างไร พระคุณเจ้า?" ปิศาจภูเขาย้อนถามอย่างตื่นเต้นดีใจ "พระคุรเจ้าโปรดสั่งมาเถอะ ข้าจะพยายามทำให้ได้ทุกอย่าง"

"เจ้าจงระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณอยู่เสมอ ไม่ช้าไม่นานเจ้าก็จะพ้นทุกข์ทรมาน"

"ขอรับ ข้าจะทำตามที่พระคุณเจ้าบอกทุกอย่าง" ปิศาจยืนยันอย่างมั่นใจ

หลังจากที่ออกจากที่ของปิศาจภูเขามาได้ไม่นาน มหิทธิกะก็พาพระเถระมาถึงป่าใหญ่ อันเต็มไปด้วยความมืดครึ้ม และมีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง ฟุ้งออกมาจนแทบสำลักแห่งหนึ่ง เพื่อให้พระผู้เป็นเจ้าเดินเข้าไปในอาณาบริเวณแห่งนั้นได้อย่างสบาย หัวหน้าปิศาจผู้มีฤทธิ์ก็บันดาลให้ความมืดครึ้ม และกลิ่นอันแสนเหม็นนั้นหายไปในบัดดล แล้วก็พาพระเถระย่างเหยียบเข้าไปในป่าแห่งนั้น และทันทีทันใดที่เข้าไปถึง พระเถระก็ได้พบร่างผอมโซ ของพวกปิศาจพวกหนึ่ง มีหัวติดอยู่ที่ท้อง กำลังงมมะงาหรา เที่ยวเก็บซากศพทั้งสัตว์ ทั้งคน ซึ่งแข็งทื่อ ขึ้นอืด เน่าเปื่อย ระเกะระกะอยู่บริเวณแถวนั้น มาฉีกเนื้อกินอย่างเอร็ดอร่อย

"นี่คือปิศาจศพขอรับ พระคุณเจ้า" หัวหน้าปิศาจแนะนำ "อ้ายพวกนี้มีหัวติดอยู่กับท้อง และหน้าที่ของมันอย่างเดียว คือเที่ยวไปเก็ฐศพทั้งสัตว์ทั้งคน จารที่ต่างๆ มากองไว้ที่นี่ รอให้ขึ้นอืดเน่าเปื่อยเสียก่อน แล้วจึงค่อยฉีกเนื้อกินขอรับ"

"ทำยังไงจะคุยกับเขาได้เล่า ท่าน?" พระมาลัยถาม

"เดี๋ยวข้าจะเรียกมา" หัวหน้าปิศาาจว่าพลางหันไปทางเจ้าปิศาจศพตัวหนึ่ง ซึ่งเพิ่งจะกัดเนื้อเน่าก้อนหนึ่งเข้าปากเคี้ยวกลืนลงท้องเรียบร้อย "เฮ้ย! เจ้านั่น เข้ามานี่หน่อยซิ มากราบพระคุณเจ้าพระมาลัยเสีย ข้าพาท่านมาเยี่ยม"

เจ้าปิศาจผู้พิศมัยเนื้อเน่า คลานเข้ามากราบพระมาลัยอย่างว่าง่าย

"พระคุณเจ้ามาจากไหนขอรับ?" มันทักทายขึ้นเป็นประโยคแรก

"เรามาจากเมืองมนุษย์" พระเถระตอบ "เจ้าอยู่ที่นี่มานานแล้วหรือ?"

"นานแล้วขอรับ"

"อาหารของเจ้า มีแต่ศพอย่างเดียวเท่านั้นหรือ?"

"ขอรับ อย่างอื่นถึงมีก็กินไม่ได้"

"เจ้าทำบาปทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มากินศพอยู่เช่นนี้?"

เจ้าปิศาจศพเมื่อถูกถามเช่นนั้น ก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเล่าประวัติอันแสนชั่วของมันด้วยเสียงเศร้า น่าสงสารว่า

"เมื่อข้าพเจ้าเป็นมนุษย์เป็นมหาอำมาตย์ผู้มีอำนาจ ของกษัตริย์องค์หนึ่ง ข้าใช้อำนาจเที่ยวกดขี่ข่มเหง ประชาราษฎร์ ขูดรีดภาษี เบียดบังเอาทรัพย์สินของราษฎรมาบำรุงความสุข ความสำราญของตน โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนยากเข็ญคนอื่น เมื่อข้าตายลงก็ไปตกนรกหมกไหม้ อยู่เป็นเวลานาน พอพ้นนรก ก็ยังมาเกิดเป็นปิศาจ คอยเก็บซากศพกินเป็นอาหารเช่นนี้ขอรับ"

"เจ้าจะให้เราช่วยอะไรบ้างไหม?" พระเถระถามต่อไป ด้วยความสงสารเห็นใจ

"ช่วยไปบอกญาติขอข้าชื่อนั้น อยู่ที่เมืองนั้นให้ตั้งหน้าทำความดี อย่ากดขี่ข่มเหงคนอื่น และขอให้เขาทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลให้ข้าด้วยเถอะ พระคุณเจ้า"

"เอาละ ถ้างั้นเรากลับไปถึงแล้ว เราจะบอกให้" พระเถระรับคำ

พอดีกับที่พระเถระพูดจบนั่นเอง ก็มีปิศาจสองตัว ตัวหนึ่งปากเขรอะด้วยขี้มูกน้ำลาย ส่วนอีกตัวหนึ่งปากเปรอะไปด้วยอุจจาระ พากันวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา พร้อมกับละล่ำละลัก บอกหัวหน้าปิศาจว่า

"เจ้านายขอรับ ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด"

"เรื่องอะไรวะ?" มหิทธิกะย้อนถาม

"อ้ายปากเข็มกับอ้ายปากไฟ มันมารังแกข้าทั้งสอง และกำลังไล่กวดข้าทั้งสองมา" ปิศาจทั้งสองบอกเสียงกระเส่า พร้อมกับหันหน้ามองทางเบื้องหลัง "โน่นไง มันวิ่งมาโน่นแล้ว"

"เอาละ เจ้านั่งเฉยๆ ก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าจัดการกับมันเอง"

"หัวหน้าปิศาจบอก พอดีปิศาจปากเข็ม กับปิศาจปากไฟวิ่งกวดติดตามมาถึง และครั้นมันเหลือบมองเห็นเจ้านายยืนจ้องมันอยู่ มันหยุดกึกและเตรียมจะหันหลังถอยกลับ

"หยุดก่อนอ้ายปากเข็ม อ้ายปากไฟ" มหิทธิกะตวาด "เอ็งทั้งสองมาหาข้าซิ"

ปิศาจอันธพาลทั้งสองเดินคอตก เข้ามาหาอย่างว่าง่าย

"มันเรื่องอะไรกันวะ หากินอยู่คนละที่แท้ๆ ทำไมต้องมารังแกกัน?" เจ้านายปิศาจเริ่มสอบสวน

"ข้าหิว อยากจะกินเลือดของเจ้านี่"  เจ้าปากเข็มตอบอย่างตรงไปตรงมา "จึงเอาเข็มทิ่มหลังมัน เจาะเลือดมันกิน แต่มันไม่ยอมขอรับ"

"ข้าก็หิวเหมือนกัน หาไฟที่ไหนกินไม่ได้ จึงเอาไฟมาพ่นเผาไอ้นี่" ปิศาจปากไฟก็ตอบตามตรงดุจเดียวกัน "พอเนื้อตัวมันไหม้แล้ว ข้าก็จะได้เปลวไฟกินจนอิ่ม"

"แต่เอ็งทั้งสองไม่น่าจะมารังแกพวกเดียวกัน" เจ้านายตัดบท "เลือดที่อื่น และไฟที่อื่นมีแยะ เอ็งทำไมไม่ไปหามากินวะ?"

"ข้าทั้งสองไปหาแล้ว มันไม่มีขอรับนาย" ปิศาจปากเข็มเถียง "สงสัยจะขาดตลาด หรือไม่งั้นก็ถูกพ่อค้าสมองใสเก็บกักตุนเสียหมด"

"เอ็งพูดยังกับว่าเอ็งเป็นพ่อค้ายังงั้นแหละ" หัวหน้าปิศาจหัวเราะเบาๆ "เอายังงี้ดีกว่า เลิกรังแกกัน และมากราบพระผู้เป็นเจ้ามาลัยเสีย ข้าพาท่านมาเยี่ยมพวกเอ็ง"

"มาโปรดพวกข้าด้วยหรือเปล่า พระคุณเจ้า?"

ปิศาจพวกนั้นร้องถามขึ้นเกือบจะพร้อมกัน ขณะที่พากันทรุดนั่ง และยกมือทั้งสองไหว้พระเถระ

"เจ้าทำบาปกรรมอะไรไว้หรือ?" พระเถระเอ่ยถามปากเข็มขึ้นก่อนที่จะตอบคำถามพวกมัน "เล่าให้เราฟังหน่อยซิ แล้วเราจะช่วย"

เจ้าปากเข็มยกมือไหว้ประหลกๆ ขึ้นอีกครั้ง พลางเล่าประวัติของมันขึ้นว่า

"ก่อนนี้ข้าเป็นคนมีเงิน มากและออกเงินให้กู้ ขูดรีดเอาดอกเบี้ย อย่างไม่เมตตาปรานีคนยากคนจนขอรับ ครั้นตายลงมาเกิดเป็นปิศาจปากเท่ารูเข็มอยู่ที่นี่ ข้าได้รับความทุกข์ทรมานมาก เพราะกินอาหารอะไรอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเที่ยวดูดเลือดคนอื่นกิน และเมื่อหาเลือดจากคนอื่นไม่ได้ ก็ต้องเอาปากทิ่มเนื้อตัวเอง ดูดเลือดตัวเองกินแทนขอรับ"

"แล้วเจ้าปากไฟนั่น?" พระเถระหันมาทางอ้ายปากไฟ ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ "ก่อนนี้เจ้าทำบาปกรรมอะไรไว้?"

"ข้าเป็นนักวางเพลิงขอรับ พระคุณเจ้า" อ้ายปากไฟเล่าประวัติตัวเอง "ที่โลกมนุษย์นั้นพระคุณเจ้าก็ทราบ ดีว่าเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงเพียงไหน คนมีเงินที่มีที่ดินมากๆ ก็เอาเงินให้กู้ เอาที่ดินให้คนจนเช่าปลูกบ้านสร้างเรือนอยู่ ครั้นเก็บดอกเบี้ย หรือเก็บค่าเช่าไม่ได้ ก็โมโหโกรธาจ้างคน เอาไฟมาเผาบ้านเรือนเสียพินาศสิ้นหมด ข้าเป็นสมุนมือขวาของนายทุนคนหนึ่ง และเที่ยวเผาบ้านเรือนของคนยาคนจน ที่ไม่มีเงินจ่ายค่าดอกเบี้ย หรือไม่มีค่าเช่าให้นายทุนเสียป่นปี้ไป มากนับไม่ถ้วนขอรับ ครั้นตายลงมา ก็ไปตกนรกถูกไฟเผาไหม้อยู่นมนาน พอพ้นจากนรก ก็มาเป็นปิศาจ เที่ยวกินแต่เปลวไฟอยู่ที่นี่แหละขอรับ พระคุณเจ้า"

"สำหรับข้าเป็นคนขี้เหนียวขอรับ" เจ้าปิศาจที่ปากเขรอะไปด้วยน้ำมูกและน้ำลาย เล่าความชั่วของตัวเองต่อไป ก่อนที่จะพระเถระจะถาม "ไม่ว่าข้าวปลาอาหาร ทรัพย์สินเงินทองข้ามีพร้อมทุกอย่าง แต่ทว่าไม่ยอมให้ใคร เมื่อคนยากคนจนมาขอ ข้าก็สั่งขี้มูก บ้วนน้ำลายใส่ห่อใบตองให้เสมอไป ดังนั้น ข้าจึงมาเกิดเป็นปิศาจ เที่ยวกินแต่ขี้มูก น้ำลายของคนอื่นเป็นอาหารขอรับ"

"ข้าก็เหมือนกัน" เจ้าปิศาจที่ปากเปรอะด้วยอุจจาระเล่าต่อบ้าง ก่อนนี้ข้าเอาอุจาระห่อใบตอง ให้ขอทานไปทุกครั้งที่เขามาขอ ด้วยบาปกรรมอันนี้ ข้าจึงต้องมาเป็นปิศาจ เที่ยวกินอุจจาระ เป็นอาหารอยู่เช่นนี้"

"แหม ! น่าสงสารเหลือเกิน" พระผู้เป็นเจ้ามาลัยครางขึ้นเมื่อปิศาจพวกนั้นเล่าประวัติ อันชั่วช้าของตนจบลง "เอาละ ถ้าพวกเจ้าอยากพ้นกรรมเร็วๆ ก็จงยึดมั่นรำลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และอย่าเบียดเบียนเกะกะระรานพวกเดียวกัน อีกทั้งคนอื่นก็อย่าไปก่อกรรมทำเข็ญ ให้เขาเดือดร้อน แล้วพวกเจ้าจะพ้นทุกข์ทรมานในไม่ช้า"

"เอาละ เราจะบอกให้" พระเถระตอบในที่สุด

ครู่ต่อมา หัวหน้าปิศาจก็พาพระเถระมาถึงอาณาบริเวณ อันเต็มไปด้วยทรายอันร้อนระอุ และทั่วอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่แห่งนั้น มีแต่ทรายสุดลูกหูลูกตา ไม่มีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นแม้แต่ต้นเดียวเลย

ณ บริเวณแห่งนี้ พระเถระได้พบร่างผอมโซ มีแต่กระดูกของปิศาาจจำนวนมาก ทั้งนั่งทั้งนอนระเนระนาด และส่งเสียงร้องครวญครางอยู่บนพื้นทราย อันร้อนระอุนั้น

"ที่นี่เป็นที่อยู่ของพวกปิศาจกระดูกขอรับ พระคุณเจ้า" หัวหน้าปิศาจหันมาบอก ขณะที่ก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าปิศาจตนหนึ่ง ซึ่งนอนร้องครวญครางอยู่อย่างน่าเวทนา "ปิศาจพวกนี้ถูกทรมานอยู่กลางทะเลาทราย ไม่มีข้าวมีน้ำ หรืออาหารอื่นใดกิน ต้องนั่งนอนร้องครวญครางอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา"

"แล้วทำไมพวกนี้ไม่ออกไปหากินที่อื่นเล่าท่าน?"

"มันไม่มีตาจะมองเห็น ไม่มีขาจะเดิน อีกทั้งไม่มีแขน ที่จะขยับเขยื้อนพาร่างเคลื่อนไหวไปไหนขอรับ"

"แหม ! น่าเวทนาเหลือเกิน พวกนี้ทำบาปกรรมอะไรไว้หนักหนานะ ท่านรู้ไหม?"

"ชาติก่อนนี้เขาชอบจับสัตว์น้อยมาขัง ทรมานให้อดอยากขอรับ พระคุณเจ้า เพราะกรรมอันนี้ จึงส่งให้เขามาเกิดเป็นปิศาจอดอยากทรมาน จนเหลือแต่กระดูกอย่างนี้"

"อืม ! การทรมานสัตว์เล็กน้อยนี่ บาปหนักมิใช่เล่นเหมือนกัน นี่เจ้ากระดูก เราคือพระมาลัย มาเยี่ยมเจ้า เจ้าจะให้เราช่วยอะไรบ้างไหม?"

เจ้ากระดูกมองไม่เห็น แต่ได้ยินเสียงชัดเจนดี ครั้นรู้ว่าพระมาลัยมาโปรดเช่นนี้ ก็ดีใจร้องบอกว่า

"ขอพระคุณเจ้า ได้โปรดช่วยบอกญาติของข้า ชื่อนั้น อยู่ที่นั่น ทำบุญทำทานอุทิศมาให้ข้าบ้างเถอะ ข้าจะได้มีอาหารกินบ้าง ข้าหิวเหลือเกินขอรับ"

"เอาเถอะ เราจะบอกให้" พระเถระบอก "สำหรับเจ้าอยู่ทางนี้ ถ้าอยากพ้นทุกข์ทรมานเร็วๆ ก็จงระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เข้าไว้เสมอ เจ้าจะเป็นสุขในไม่ช้า"

"ขอรับ พระคุณเจ้า" ปิศาจกระดูกรับคำในที่สุด

หลังจากที่ออกจากแดนทะเลทรายมาได้สักครู่ มหิทธิกะ ก็พาพระเถระมาถึงริมแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง และตอนริมฝั่งอันยาวเหยียดนั้น มีวิมานแก้ว วิมานทอง วิมานเงิน ตั้งเรียงรายอยู่มากมาย ราวกับมีผู้มาเนรมิตไว้กระนั้นแหละ และ ณ วิมานอันสวยงามเหล่านั้นเอง หัวหน้าปิศาจบอกพระเถระว่า เป็นที่อยู่ของพวกปิศาจชั้นดี ซึ่งพวกนี้เรียกว่า "ปิศาจมีวิมานอยู่"

"พวกนี้กลางวันเป็นเทวดา แต่กลางคืนเป็นปิศาจขอรับ พระคุณเจ้า" มหิทธิกะ เล่าถึงพวกปิศาจชั้นดีต่อไป "บางคน ก็ต้องออกไปให้สุนัข จากนรก กัดกินเจื้อเป็นอาหาร ตั้งแต่หัวค่ำ ตลอดจนย่ำรุ่ง พอพระอาทิตย์ขึ้นก็กลับกลายเป็นเทวดา มาเสวยสุขอยู่ในวิมานของตน บางคนก็ออกไปเที่ยวกินของสกปรกตามที่ต่างๆ จนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว จึงกลับกลายเป็นเทวดา เข้าวิมานไป"

"ทำไมจึงเป็นดังนั้นเล่า ท่าน?" พระเถระซักขึ้นอย่างฉงนฉงาย

"ปิศาจพวกนี้มีทั้งบาป ทั้งบุญขอรับ บางคนก็มีบาปเหลืออยู่น้อย บางคนก็เหลืออยู่มาก แต่มีบุญช่วยหนุน ช่วยแบ่งเบาอยู่บ้าง จึงเป็นดังนี้ แม้แต่ข้าก็เหมือนกัน"

"ท่านเป็นยังไง?"

"ข้าแม้จะมีวิมานอยู่อย่างสวยหรู มีฤทธิ์เดชมากมาย อีกทั้งมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าปิศาจอยู่ ณ เมืองนี้ ก็เฉพาะกลางวันถึงเที่ยงคืนเท่านั้น หลังจากนั้นไปแล้ว ข้าต้องกลายร่างเป็นปิศาจออกจากวิมาน ไปเที่ยวเก็บอุจจาระสัตว์น้อยใหญ่ตามป่า กินเป็นอาหาร จนกระทั่วรุ่งเช้าจึงกลับเป็นเทวดา มาเสวยสุขอยู่ในวิมานได้ ขอรับ"

"ท่านยังมีบาปกรรมอะไรอีกหรือ?"

"ข้าเคยห่อขี้นกใส่บาตรพระภิกษุ ซึ่งมาบิณฑบาต ครั้งเดียวเท่านั้นขอรับ ครั้งเดียวจริงๆ และเพื่อจะล้อพระภิกษุองค์นั้นเล่น แต่ต้องมาตกนรกหมกไหม้ เป็นเวลาช้านาน และเมื่อพ้นจากนรก ยังมาเกิดเป็นปิศาจชดใช้กรรมต่อไปอีกขอรับ"

"แล้วท่านทำบุญอะไรบ้างเล่า"

"ข้าเคยสร้างกุฏิถวายพระภิกษุสงฆ์ ขอรับ"

"อ๋อ ! เพราะอย่างนี้เอง ท่านจึงมีวิมานแก้วผลึกอันสวยงามอยู่ และได้เป็นถึงหัวหน้าปิศาจ ณ ดินแดนแห่งนี้"

"ก็คงอีกไม่ช้าหรอกขอรับ ข้าจะพ้นกรรมและขึ้นไปเกิดบนสวรรค์" หัวหน้าปิศาจเล่าต่อไป "พระคุณเจ้าช่วยแนะนำข้าบ้างซิขอรับ ข้าจะทำอย่างไรจึงจะได้ไปเสวยสุข บนสวรรค์เร็วๆ "

"ท่านต้องยึดถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง และรักษาศีลห้า โดยเคร่งครัด แล้วท่านจะพ้นทุกข์ อีกทั้งไปเสวยสุขบนสวรรค์นานแสนนานทีเดียว"

"ขอรับ พระคุณเจ้า ข้าจะปฏิบัติตามคำแนะนำ ขอพระคุณเจ้าเสมอ" หัวหน้าปิศาจผู้มีฤทธิ์กล่าวพร้อมกับ ทรุดตัวลงกราบแทบเท้าพระคุณเจ้า

ฝ่ายพระเถระ เมื่อตระเวนแดนปิศาจมา และได้พบปิศาจผู้เป็นทาสกรรมมากมาย หลายตนถึงขนาดนี้แล้ว เห็นว่าได้เวลาพอสมควร จึงอำลามหิทธิกะจอมปิศาจกลับสู่เมืองมนุษย์

หลังจากที่มาถึงเมืองมนุษย์แล้ว พระผู้เป็นเจ้าก็นำข่าวคราวไปบอก ญาติพี่น้อง ของบรรดาปิศาจทั้งหลาย ตามตำบลที่อยู่ ซึ่งพวกปิศาจบอกมา ให้เขาพากันทำบุญทำทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ และให้พวกเขาตั้งหน้าทำความดีกันต่อไป