บทที่ 1
พระมาลัยเยี่ยมเมืองนรก
ณ ตามพปัณณิทวีป ซึ่งปัจจุบันคือเกาะลังกา มีพระเถระองค์หนึ่งชื่อ "พระมาลัย" ท่านเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ มีบุญญานุภาพ และฤทธิ์เดชเกริกไกร มีเกียรติคุณแผ่ไพศาล เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในทวีปนี้

พระมาลัยอาศัยบ้านกัมโพชะ ซึ่งเป็นชนบทเล็กๆ เป็นที่โคจรบิณฑบาต และอยู่จำพรรษามาเป็นเวลาช้านาน ท่านมีอุปการคุณแก่บรรดามนุษย์ ในหมู่บ้านแห่งนี้มาก โดยนอกจากจะเป็นเนื้อนาบุญให้ชาวบ้าน ได้ทำบุญสุนทานกันแล้ว ท่านยังเข้าฌาณสมาบัติชำแรกแผ่นดินไปเมืองนรกบ่อยๆ และทุกครั้งที่ท่านไปถึง ท่านจะสำแดงฤทธิ์บันดาลไฟที่กำลังลุกโชนโชติช่วง เผาไหม้บรรดาสัตว์นรกอยู่อย่างบ้าคลั่งนั้นให้ดับ พร้อมกับให้ฝนเทลงมาตกต้องร่างแสนจะร้อนเร่าจนเกือบจะสุกเกรียมของสัตว์ผู้ยาก เป็นการใหญ่ ขณะเดียวกัน ก็บันดาลลมให้กระพือพัดต้นงิ้วและภูเขาไฟ รวมทั้งอีกาปากเหล็กทั้งหลาย ให้กระจัดกระจายพลัดพรายไปจนหมด เสร็จแล้วบันดาลให้น้ำที่กำลังเดือดพล่านในกระทะทองแดง กลายเป็นน้ำเย็น และมีรสหวานปานน้ำผึ้ง ให้พวกสัตว์นรกเหล่านั้นได้ดื่มกินกันอย่างสำราญ ต่อจากนั้นก็แสดงธรรมโปรดให้เป็นที่เอิบอาบซาบซึ้งใจทั่วกัน พวกสัตว์นรกทั้งหลายเมื่อได้ฟังเทศน์จบแล้ว ต่างพากันยกมือไหว้แล้วร้องสั่งท่านว่า

"พระคุณเจ้าขอรับ ได้โปรดเวทนาพวกข้าพเจ้าด้วย เมื่อพระคุณเจ้ากลับไปถึงโลกมนุษย์แล้ว ขอได้แวะไปบ้านนั้น เมืองนั้น บอกญาติของข้าพเจ้าชื่อนั้น ให้เร่งทำบุญ แล้วอุทิศส่วนบุญมาให้ข้าพเจ้าด้วยเถอะ ข้าพเจ้าจะได้พ้นกรรมเร็วๆ เจ้าข้า"

ฝ่ายพระมาลัยครั้นกลับมาถึงโลกมนุษย์ ก็นำความตามที่สัตว์นรกพวกนั้นสั่งมาบอกแก่ ญาติ พี่ น้อง ตามตำบลที่ระบุไว้ทุกประการ บรรดาญาติ ครั้นได้ฟังท่านบอก ก็ทำบุญให้ทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ โดยไม่รั้งรอ สัตว์นรกผู้เสวยกรรม เมื่อได้อนุโมทนาส่วนกุศลแล้ว ก็พ้นกรรมไปเกิดบนสวรรค์ เสวยสมบัติทิพย์เป็นที่สำราญในทันที

ต่อมา หลังจากที่ท่านไปโปรดสัตว์นรก ณ เมืองนรกแล้ว พระมาลัยก็ไปสวรรค์บ้าง ครั้นได้เห็นเทพบุตร เทพธิดาเสวยสุขสำราญในสวรรค์ ก็กลับมาบอกชาวบ้านให้เร่งทำบุญสุนทาน เพื่อจะได้ไปเกิดในสวรรค์อย่างเทพบุตรเทพธิดาเหล่านั้นบ้าง ทำให้ชาวบ้านเกิดเลื่อมใส ศรัทธา ทำบุญให้ทานเป็นการใหญ่ และเมื่อสิ้นชีวิตลงไปก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์เสวยสุขสำราญตามควรแก่ ผลบุญของตน ด้วยประการเช่นนี้

ต่อมาวันหนึ่ง พระมาลัยผู้มีฤทธิ์ได้ชำแรกแผ่นดินลงมาเยี่ยมเมืองนรกอีกคำรบหนึ่ง เพื่อจะได้ไปนำข่าวคราว การเสวยผลกรรมของบรรดาสัตว์นรก ที่ยังเหลือมาบอกแก่ชาวบ้านต่อไป

พอดีคราวนี้ จะเป็นการบังเอิญหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ท่านได้พบบรรดาสัตว์นรกทั้งหลาย กำลังถูกผู้คุมเอาหอกทิ่มแทงอย่างไม่ปรานีปราศรัยแทงซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่างไม่เลือกที่ จนเลือดทะลักไหลนองท่วมพื้น และบรรดาสัตว์ผู้น่าสงสารเหล่านั้น ต่างก็ร้องโอดโอยลั่นขึ้นด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ท่ามกลางการนั่งมองอย่างชอบอกชอบใจของยมพบาล เจ้าแห่งนรก ท่านจึงแวะเข้าไปถามยมพบาลว่า

"นี่แน่ะท่าน ท่านคือยมพบาลใช่ไหม?"
"ถูกแล้ว พระคุณเจ้า" ยมพบาลตอบ "ข้าพเจ้าคือพระยายมราช หรือที่ใครๆเรียกกันติดปากว่ายมพบาลนั่นแหละขอรับ"

"อาตมาอยากจะถามท่านสักหน่อยว่า ทำไมท่านโหดเหี้ยมเหลือร้ายนัก พวกผู้คุมลงโทษสัตว์นรกอย่างไม่ปรานีปราศรัย แต่ท่านกลับนั่งดูเฉย ไม่เห็นห้ามปรามอะไรเลยยังงี้เล่าท่าน"

ยมพบาลหัวเราะ ราวกับว่าคำถามนั้น ทำให้เขาขบขันเสียเต็มประดา "พระคุณเจ้าถามอะไรก็ไม่ทราบ ความจริงข้าพเจ้าไม่ได้โหดร้ายอะไรเลยสักนิด มีแต่เมตตาปรานีอย่างมากที่สุด"

"ท่านพูดเป็นเล่นไปได้" พระมาลัยหัวเราะออกมาด้วยความขบขันเหมือนกัน "นี่นะหรือคนที่มีเมตตาปรานี เห็นคนถูกเฆี่ยนตีทิ่มแทงจนเลือดท่วมตัว ดิ้นรนทุรนทุรายเหมือนปลาถูกทุบหัวเช่นนี้ กลับนั่งเฉยเหมือนเป็นทองไม่รู้ร้อน อาตมาว่าท่านใจดำเป็นหมึกมากกว่านะท่านนะ"

"ขอพระคุณเจ้าอย่าได้เข้าใจผิดอย่างนั้นเลยขอรับ" ยมพบาลอธิบาย "ทุกอย่างมันเกิดจากกรรมที่สัตว์พวกนั้นก่อไว้เองทั้งนั้น พระคุณเจ้า และกรรมนั่นเองแหละที่ทำร้ายตัวเขาอยู่ขณะนี้ ใครจะห้ามปรามหรือคัดค้านทัดทาน ช่วยเหลืออย่างไรก็ไม่ได้หรอก ใครทำไว้อย่างไร ต้องได้อย่างนั้นขอรับ"

"ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ได้เรียกว่าท่านมีเมตตาปรานีอย่างที่สุดอยู่ดี" พระมาลัยติดใจสงสัยเรื่องความเมตตาปรานีของยมพบาลอยู่ "เพราะเมื่อท่านช่วยเหลืออะไรเขาไม่ได้ แล้วทำไมต้องคุยว่ามีเมตตาปรานีด้วยเล่า?"

"อ๋อ! ข้อนั้นข้าพเจ้ายังไม่ได้อธิบายถวายพระคุณเจ้า" ยมพบาลรีบสาธยายต่อไป "ความจริงตามกฎของนรกระบุไว้ว่า เมื่อคนที่ตายมาแล้วถึงที่นี่ ข้าพเจ้าจะให้สุวานเปิดดูบัญชีความดี ความชั่วที่เขาทำไว้ ใครทำความดีไว้มากก้จะส่งไปบนสวรรค์ แต่ถ้าใครทำความชั่วไว้มาก ก็จะส่งไปลงโทษตามสถานความผิดทันที โดยไม่มีการลดหย่อนหรือปรานีใดๆทั้งสิ้น แต่กระนั้นก็ดี ข้าพเจ้ายังให้โอกาสซักถามเขาถึงความดี และเทวฑูตทั้งห้าประการอีกหลายครั้ง เพื่อจะให้เขาได้สติ ระลึกนึกถึงความดีบางสิ่งบางอย่างที่เขาทำไว้บ้าง จนกระทั่งเห็นว่าเขานึกไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ จึงจะส่งตัวไปลงโทษ และถ้าตอนนั้นเกิดมีใครนึกขึ้นมาได้ ก็จะส่งตัวไปสวรรค์ทันที"

"ท่านถามเขายังไง คงยากไปกระมังถึงตอบไม่ได้"

"ไม่ยากดอกขอรับ-เรื่องความดี ข้าพเจ้าถามว่าเมื่ออยู่เป็นมนุษย์ ได้ทำบุญให้ทาน หรือช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากบ้างไหม ที่ไหน เท่านี้แหล่ะ"

"แล้วเรื่องเทวฑูตล่ะ"

"ข้าพเจ้าก็ถามทุกข์ ที่มนุษย์ทุกรูปทุกนามจะพึงได้รับ คือ ทุกข์ตอนเกิด ทุกข์ตอนแก่ ทุกข์ตอนเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์ตอนตาย แล้วก็ทุกข์ในการ เวียนว่ายตายเกิดนั่นแหละขอรับ ข้าพเจ้าเคยถามว่า ตอนเจ้าเป็นมนุษย์เห็นเด็กเล็กๆ นอนอยู่ในผ้าอ้อมเลอะเทอะจมขี้จมเยี่ยวบ้างไหม ครั้นเขาตอบว่าเห็น ข้าพเจ้าก็ซักต่อไปว่าเจ้าเห็นแล้วคิดยังไงบ้าง เขาตอบว่า ไม่ได้คิดอะไรเลย ข้าพเจ้าพยายามซักถามอีกสองสามครั้ง เพื่อจะให้เขาเกิดความสังเวชในชาติทุกข์ มีสติระลึกถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ เขากลับย้อนเอาว่า กะแค่เห็นเด็กเล็กเด็กแดง จะต้องคิดให้เป็นกังวลทำไม เสียเวลาเปล่าๆ ข้าพเจ้าเห็นว่า เขาผู้นี้ไม่มีสติ มีความประมาทในชาติธรรม เป็นคนใช้ไม่ได้

แต่กระนั้นยังให้โอกาสเขาต่อไปอีกว่า เจ้าเห็นคนแก่หนังเหนียว เดินถือไม้เท้างกๆ เงิ่นๆ บ้างไหม? เขากลับย้อนถามเอาอีกว่า จะไปคิดให้เสียเวลาทำไม ข้าพเจ้าเห็นว่า เขาผู้นี้ไม่มีสติ ประมาทในชราธรรม เป็นคนใช้ไม่ได้อีกตามเคย

ข้าพเจ้าได้ให้โอกาสถามเขาต่อไปอีกว่า เจ้าเห็นคนป่วยบ้างไหม และเห็นแล้วคิดอะไรบ้าง? เขาก็ตอบอย่างฉะฉานตามเคยว่า คนป่วยนะหรือ เคยเห็นมาเสียนับไม่ถ้วน แต่เห็นแล้วจะให้คิดถึงทำไม ขยะแขยงเต็มทน ตกลงเขาผู้นี้ก็ยังไม่มีสติ ประมาทในพยาธิธรรมอีกอย่างหนึ่ง

ข้าพเจ้าได้ถามเขาต่อไปว่า เจ้าเคยเห็นคนตามบ้างไหม และเห็นแล้วคิดอะไรบ้าง? เขาตอบว่า เห็นนะเห็นหรอก แต่จะไปคิดทำไมให้เสียเวลา มีแต่กลัวจะมาหลอกเอาเท่านั้น ตอลงเขาก็ยังไม่มีสติ ประมาทในมรณธรรม อีกประการหนึ่ง

ข้าพเจ้าได้ถามเขาต่อไปเป็นครั้งสุดท้ายว่า เจ้าเคยเห็นคนถูกลงโทษเฆี่ยนตีประหารบ้างไหม? เขาตอบอย่างเหนื่อยหน่ายว่า โอ๊ย! เห็นมาแยะ แต่จะให้คิดถึงนะหรือ ป่วยการ นอกจากจะสมน้ำหน้ามันเท่านั้นเอง ก็เป็นอันว่า เขาไม่มีสติพิจารณาสังขารธรรมให้เกิดความสังเวชใจ มัวแต่ประมาทมองไม่เห็นภัยในความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และการเวียนว่ายตายเกิดประการใดเลย เขาถูกบาปหนา ปิดบังดวงปัญญาไว้ คนเช่นนี้จะปรานีไม่ได้ ควรที่จะโยนลงกระทะทองแดง เอาหอกแหลมแทงให้ดิ้นพล่านไปทันทีดีกว่า จริงไหม? พระคุณเจ้า?"

พระมาลัยพยักหน้า "ก็จริงอยู่หรอก แต่ทว่า เท่าที่ท่านบอกทั้งหมด ยังไม่เห็นตอนไหนบ่งบอกว่าท่านมีเมตตาปรานี ดังที่คุยไว้เลย มีแต่แสดงความโหดร้าย หาแง่จะลงโทษเขาอยู่ท่าเดียวเท่านั้นเอง"

"พระคุณเจ้าจะกรุณาอธิบายหน่อยได้ไหมว่า เมตตาปรานี มีลักษณะอย่างไร?" ยมพบาลย้อนถาม

"ลักษณะความเมตตาปรานีก็คือ การสำรวมจิตมั่นอยู่ในความรักใคร่ สนิทสนมเอ็นดู สงสารในสัตว์ไม่เลือกหน้า อย่างมั่นคงนะสิท่าน"

"ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้ามีความรักใคร่สัตว์นรกอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้วนี่ พระคุณเจ้า"

"แต่ท่านเอาแต่สั่งลงโทษสัตว์นรก อย่างนี้จะเรียกว่าความรักใคร่ได้อย่างไร? มันขัดกันอยู่นะท่านยมพบาล"

ยมพบาลหัวเราะ พลางตอบอย่างฉะฉาน

"พระคุณเจ้ายังเข้าใจข้าพเจ้าผิดอยู่นั่นเอง เอาละทีนี้จะยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ตามธรรมดาย่อมรักใครในบุตร และลูกศิษย์มาก พยายามเลี้ยงดูอย่างทะนะถนอม และสั่งสอนวิชาการให้อย่างดี แต่เมื่อบุตรนั้น ประพฤติผิดก็ดุด่าเฆี่ยนตี-อย่างนี้ พระคุณเจ้าจะตำหนิว่า พ่อแม่ ครูอาจารย์พวกนั้น ขาดเมตตาปรานีหรือเปล่าของรับ?"

"เปล่าหรอกท่าน พ่อแม่ครูอาจารย์พวกนั้นทำไปด้วยความรักใครเมตตาปรานีต่างหาก"

"ข้าพเจ้าก็เหมือนกัน สัตว์นรกพวกนี้กระทำผิดก็จำต้องลงโทษ เพื่อให้สำนึกตัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยความเมตตาปรานีพวกเขาแท้ๆ ข้าพเจ้าจึงทำ"

พระเถระได้ฟังเหตุผลของเจ้านรก ก็หมดสิ้นความสงสัย ไม่พูดว่ากระไรต่อไป จนยมพบาลถามขึ้น

"พระคุณเจ้าลงมาเมืองนรกนี่ ได้เดินตรวจดูทั่วหรือยังขอรับ?"

"ยังเลยท่าน เพียงแต่ผ่านๆสามสี่แห่งเท่านั้น หากท่านจะพาเดินชมให้ทั่วสักหน่อย ก็จะเป็นการดีมาก อาตมาจะได้บันดาลให้ชาวโลกข้างบนเห็นด้วย"

"แหม! ถ้ายังงั้นก็วิเศษขอรับ พระคุณเจ้า เอาละ ข้าพเจ้าจะพาพระคุณเจ้า ไปตระเวณให้ทั่วเดี๋ยวนี้แหละ และยังไงก็ขอให้พระคุณเจ้าช่วยเปิดให้ชาวโลกเห็น จนครบถ้วนให้ได้ พวกเขาจะได้กลัว ไม่กล้าทำบาปกันต่อไป มนุษย์เดี๋ยวนี้ก็ดื้อด้านกันเหลือเกิน พระคุณเจ้า"

"อ้าว! แล้วท่านไม่กลัวว่างงานหรือ?" พระมาลัยแกล้งย้อน

"อ๋อ! ว่างงานเพราะไม่มีคนตกนรกน่ะหรือพระคุณเจ้า?" ยมพบาลหัวเราะร่วน "ข้าพเจ้าจะไปกลัวทำไม ในเมื่อไม่มีคนมาตกนรก จนนรกต้องล้มเลิกไป ข้าพเจ้าก็ได้ขึ้นสวรรค์หมดกรรมเท่านั้นเอง"

"หมายความว่าทุกวันนี้ท่านยังมีกรรมเวรยังงั้นหรือท่าน"

"นั่นมันของตายขอรับ พระคุณเจ้า ทุกวันนี้ ข้าพเจ้ามีทั้งกรรมเวรและมีทั้งบุญกุศล ครึ่งหนึ่งเป็นเทวดา อีกครึ่งเป็นสัตว์นรก พระคุณเจ้ารู้ไว้เสียด้วยเถอะ"

"ท่านพูดยังงี้ ทำให้อาตมางงใหญ่ โปรดอธิบายต่ออีกสักหน่อยเถอะ"

"ก็หมายความว่า ข้าพเจ้ามีความสุขเยี่ยงเทวดาทั้งหลายเพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งต้องมาวุ่นวาย ทรมานสังขารสอบสวนคดีความ ตัดสินลงโทษสัตว์นรกอยู่ในดินแดนโลกันต์อย่างนี้แหละท่าน"

"อ๋อ! ยังงั้นเองหรอกหรือ?" พระมาลัยเพิ่งจะถึงบางอ้อตอนนี้ "เอาละ ขอให้อาตมาได้รบกวนถามเพียงเท่านี้เถอะ ต่อไปนี้ช่วยพาอาตมาไปเที่ยวชมนรกดีกว่า อาตมามาที่นี่หลายครั้ง แต่ไม่เห็นทั่วสักที"

ยมพบาลว่าพลางลุกขึ้น จากแท่นออกเดิดนำหน้า พาพระเถระจากเมืองมนุษย์เที่ยวชมเมืองนรกโดยไม่รอช้า

ดินแดนลงโทษสัตว์นรกแห่งแรกที่ยมพบาลพาพระมาลัยไปชมนั้น เป็นภูเขาหินลูกใหญ่สองลูกเป็นเครื่องหมาย ซึ่งภายในภูเขาลูกนี้ มีเครื่องยนต์กลไกอยู่ภายใน สามารให้เคลื่อนมากระทบบดขยี้ สัตว์นรกที่เข้าไปอยู่ในระหว่างกลาง ให้แหลกละเอียด ได้อย่างน่าอัศจรรย์ หากจะเปรียบง่ายๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับหีบ ที่หีบอ้อยสดให้น้ำอ้อยไห้อ้อยออกมานั่นเอง

ในช่วงเวลาที่ยมพบาลพาพระเถระไปถึงนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่สัตว์นรก ผู้ตกเป็นทาสกรรมหลายต่อหลาย กำลังถูกผู้คุมจับพุ่งเข้าไปในภูเขายนต์ และถูกภูเขาเคลื่อนมาบดขยี้เนื้อตัวอย่างไม่ปรานีปราศรัย ต่างก็ส่งเสียงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว แสนสาหัส จนกระทั่งร่างแหลกเหลวเป็นจุณวิจุณไป ไม่มีเสียงที่จะร้องต่อไปนั่นแหละ ภูเขาทั้งสองจึงเคลื่อนตัวออกจากกัน แล้วผู้คุมก็จับคนใหม่พุ่งเข้าไปแทน เช่นนี้เรื่อยไป เป็นที่เสียวไส้ สยดสยอง ขนลุกขนพอง แก่ผู้ที่ได้พบเห็นอย่างมากทีเดียว

นี่เองชีวิตของผู้ตกเป็นหนี้กรรม ต้องยอมเสวยทุกขเวทนาชดใช้ไป แม้ว่าความทุกขเวทนาดังกล่าว จะแสนสาหัสยิ่งกว่ากรรมที่ตนทำไว้เพียงใดก็ตาม ทางเดียวคือ ยอม-ยอมก้มหน้ารับมันต่อไป จนกว่าจะหมดสิ้น

"ที่นี่เรียก ยันตปสาณนรก พระคุณเจ้า" ยมพบาลเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น หลังจากที่ปล่อยให้พระมาลัย นิ่งมองด้วยความสมเพชเวทนาอยู่เป็นเวลานาน "เป็นนรกย่อยๆ ที่ใช้ลงโทษสัตว์นรกผู้มีกรรมเล็กๆ น้อยๆ ขอรับ"

"กรรมเล็กๆ น้อยๆ ?" พระมาลัยทวนคำ "หมายความว่ากรรมประเภทไหนล่ะท่าน?"

"ก็จำพวกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ด้วยการใช้เครื่องทรมานนี้ประการต่างๆ เช่น จับสัตว์ใส่เครื่องบดทั้งๆ ที่ยังเป็นๆ อยู่นั่นแหละ พระคุณเจ้า" ยมพบาลตอบ "คนพวกนี้เห็นชีวิตสัตว์อื่นเป็นเครื่องเล่น การร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดของสัตว์อื่น แทนที่จะก่อให้เกิดความเวทนาสงสาร กลับทำให้พวกเขา เกิดความครึกครื้น สนุกสนาน ประการหนึ่งว่า ได้ฟังเสียงดนตรีอันไพเราะ ครั้นตัวเขาตาย จึงมาพบกับความทุกขเวทนาเช่นนี้ ขอรับ"

"แหม! น่าสงสาร นี่เป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขาแท้ๆ" พระมาลัยครางเสียงเศร้า "แล้วนี่ เมื่อไหร่พวกเขาจะพ้นกรรมเสียทีเล่า ท่าน"

"ก็หลายปีขอรับ ทั้งนี้ต้องแล้วแต่กรรมที่เขาทำไว้ มากหรือน้อยเท่าใดเป็นเกณฑ์ ใครทำไว้มากก็ต้องรับโทษนาน ใครทำน้อยก็รับโทษไม่นาน โดยการตายแล้วเกิด มาถูกโยนเข้าไปในภูเขายนต์อีกเช่นนี้อยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะสิ้นกรรม เออ นิมนต์ไปดูที่อื่นเถอะขอรับ ยังมีอีกแยะเดี๋ยวจะไม่ทั่ว"

ยมพบาลว่าพลางเดินนำหน้าพระมาลัย ไปยังแดนทรมาณแห่งต่อไป

สักครู่ก็มาถึงหน้าประตูบานใหญ่ ซึ่งปิดสนิทอยู่ ตรงกลางกำแพงเหล็กมหึมา ที่ล้อมรอบบริเวณภายในประตูนั้นไว้อย่างมิดชิด และมั่นคงแข็งแรงทั้งสี่ด้าน หลังจากกำปั้นอันใหญ่ของยมพบาลเคาะกึกๆ ที่บานประตูสองครั้ง บานเหล็กใหญ่ก็เผยออกต้อนรับ และทันทีที่ยมพบาลก้าวนำหน้าเข้าไป ปิศาจร่างผอมกระหร่องผิวดำสนิท ราวกับถ่าน ซึ่งเฝ้าอยู่ด้านในประตู ก็ผุดลุกขึ้นแสดงความเคารพเจ้าแห่งนรกอย่างรวดเร็ว

ยมพบาลพยักหน้านิดหนึ่ง แล้วเดินนำหน้าพระมาลัยเข้าไปข้างใน ชั่วครู่ก็มาถึงขอบสระน้ำอันกว้างใหญ่ และเปี่ยมด้วยน้ำใสสะอาดดุจตาตั๊กแตน พอดีขณะนั้น ปิศาจร่างใหญ่สองสามคน กำลังจับสัตว์นรกลงกลางสระอย่างไม่ปรานีปราศรัย สัตว์นรกได้แต่ร้องโอดโอยเรียกให้ช่วยลั่น ครั้นแล้วเมื่อร่างของมันโครมลงน้ำ เสียงร้องก็เงียบหายไป และสักครู่ร่างของมันก็ลอยทื่อขึ้นมาอยู่บนผิวน้ำอย่างไร้ชีวิตจิตใจ

มิใช่แต่เพียงเท่านั้น ยังมีอีกหลายตนซึ่งถูกจับโยนลงในสระ และดับดิ้นสิ้นใจ พาร่างลอยขึ้นมาเหนือน้ำเช่นเดียวกัน

"ที่นี่เรียก สีตละนรก พระคุณเจ้า" ยมพบาลอธิบาย "หมายถึงนรกที่มีน้ำเย็นที่สุดกว่าแห่งใดทั้งสิ้น หากจะเรียกให้ทันสมันหน่อยก็ว่า แดนน้ำเย็นมหาภัย ขอรับ

"แล้วพวกสัตว์นรกทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มารับโทษที่นี่เล่า?" พระมาลัยซักต่อไป

"สัตว์นรกพวกนี้ เมื่อชาติก่อน ชอบผลักคนหรือสัตว์ให้ตกไปจมน้ำตาย โดยเห็นเป็นของสนุกสนาน หรือเกมกีฬา อย่างใดอย่างหนึ่งนั่นแหล พระคุณเจ้า" ยมพบาลตอบ แล้วพาพระเถระออกจากแดนน้ำเย็นมหาภัย ไปดูที่อื่นต่อไป

ชั่วเวลาต่อมา ยมพบาลก็พาพระเถระ มายืนอยู่หน้าประตูเหล็กมหึมา ที่ปิดสนิทอยู่ตรงกลางกำแพงเหล็กหนา รายล้อมปิดอาณาบริเวณภายในไว้ทั้งสี่ด้าน อย่างเดียวกับแดนน้ำเย็นมหาภัย ซึ่งเพิ่งจากมาเมื่อครู่นี้ จะแตกต่างไปก็เพียงแต่ใหญ่และสูงกว่าเล็กน้อยเท่านั้น

หลังจากที่ยืนรีรอการเปิดรับ จากข้างในเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย ฉับพลันทันใด ที่บานประตูเหล็กมหึมานั้น เปิดอ้าออก เจ้าแห่งนรกก็พาพระเถระ เดินผ่านประตูเหล็กอีกชั้นหนึ่ง เข้าไปถึงสนามหญ้าเขียวขจี ซึ่งมีเป็นลานกว้างใหญ่อยู่ข้างใน และถัดไปเป็นสระน้ำใสสะอาด ดารดาษด้วยดอกบัวชูช่อไสว มีฝูงปลาตัวน้อยใหญ่ แหวกว่ายอยู่ ดูน่ารื่นรมย์และสมควรที่จะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ มากกว่าจะเป็นแดนอันหฤโหด

ดูเหมือนจะไม่ช้านานเท่าใดนัก ที่พระมาลัยถูกพามาหยุดยืนอยู่ริมสระนั้น ท่านก็สังเกตเห็นสัตว์นรก รูปร่างผอมโซเหลือแต่กระดูก ราวกับอดอยาก มานานนับปีฝูงหนึ่ง วิ่งกรูกันมาจากห้องขังใหญ่ที่มุมสนามหญ้าด้านโน้น และพอมาถึงสระน้ำ ต่างก็แย่งกันกระโจนลงกินน้ำ อย่างคนกำลังกระหายหิวเป็นที่สุด

เพียงครู่เดียว เมื่อต่างคนต่างได้อื่มน้ำจนอื่มแปล้พุงกลางสมอยากแล้ว ก็พากันขึ้นจากสระมานอนแผ่หรา อยู่สนามหญ้ารอบๆ เป็นการพักเหนื่อยเอาแรง ไม่มีใครรู้ว่าน้ำที่ตนดื่มกินเข้าไปนั้น จะกลับกลายเป็นสิ่งทำลายตนในภายหลัง

และขณะที่พระคุณเจ้าจากเมืองมนุษย์ กำลังนิ่งมองด้วยความสนใจนั้น เสียงร้องโอดโอยอย่างคนได้ครับความเจ็บปวดแสนสาหัสของสัตว์นรกตนหนึ่ง ซึ่งนอนแซ่วอยู่เบื้องหน้าก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างของมันกระโดดถลาไปดิ้นทุรนทุราย เกลือกกลิ้งตามพื้นหญ้าอย่างน่าเวทนา และในชั่วอึดใจต่อมา ไส้น้อยใหญ่และตับไตของมัน ก็ไหลทะลักออกมาทางทวารเบื้องต่ำ พร้อมด้วยเมล็ดแกลบที่กำลังลุกเป็นไฟ เผาไหม้อย่างไม่หยุดหย่อน

ถูกแล้ว! น้ำที่ดื่มเข้าไปอัดไว้ในท้องเมื่อครู่ ได้กลายเป็นแกลบ และลงมือทำงานเผาผลาญขึ้นแล้ว ไม่เพียงแต่เท่านี้ สัตว์นรกอีกหลายต่อหลายตน ซึ่งนอนแผ่หราอยู่ในบริเวณนั้น พอคนแรกด่าวดิ้นสิ้นใจไป คนต่อมา ที่สอง ที่สาม สี่ ห้า จนกระทั่งถึงคนสุดท้ายที่มีอยู่ ต่างร้องโอดโอยและกระโดดถลาไปดิ้นทุรนทุราย เหมือนคนแรกหมด ตามลำดับ ท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของผู้ที่ได้พบเห็น

"ที่นี่เรียก ธุสนรก พระคุณเจ้า" ยมพบาลอธิบาย "แดนแห่งนี้เป็นแกลบเพลิงที่เหล่าสัตว์นรกเห็นเข้าแล้วนึกว่าน้ำ สวาปามดื่มกินเข้าไปในท้อง สุดท้ายก็ทำลายตับไตไส้พุงของพวกมันเสียป่นปี้ และก็ผู้ที่จะมาเสวยทุกข์ทรมานในนรกแห่งนี้ ส่วนมากเมื่อชาติก่อน เอายาพิษใส่ในอาหารหรือน้ำดื่ม ให้คนอื่นกินขอรับ"

"แหม! น่าสังเวชเหลือเกินท่าน" พระมาลัยครางออกมาด้วยความสังเวชสลดใจ

"มันเป็นเรื่องเวรกรรม พระคุณเจ้า กรรมที่เขาทำไว้นั่นแหละ จะตามมาสนองเขาเอง ไม่มีใครทำให้เลย นิมนต์ไปดูที่อื่นต่อเถอะ ขอรับ" ยมพบาลรีบตัดบท พาพระเถระออกจากที่นั้นไปโดยเร็ว

อีกครู่ต่อมา เจ้าแห่งนรกก็พาพระเถระมาถึงแดนนรกอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ถึดกันไปไม่ถึงยี่สิบก้าว และดูเหมือนนรกแห่งนี้ จะแปลกกว่าสองสามแห่งที่ผ่านมาไม่น้อยทีเดียว โดยไม่มีกระทะครอบ หรือประตูเหล็กปิดกั้น กำแพงล้อมใดๆทั้งสิ้น พอไปถึง ก็มองเห็นเป็นลานกว้าง ปูด้วยหินอ่อนสีเขียวอย่างราบเรียบ เป็นเงาวาววับคล้ายแผ่นกระจก ถูกแล้วมันน่าจะเป็นที่ประชุมสโมสร บริษัทบริวาร หรือมิฉะนั้นก็เป็นที่เล่นกีฬากลางแจ้ง ของผู้ยิ่งใหญ่คนใดคนหนึ่งมากกว่าอย่างอื่น

ยมพบาลคงจะพาพระเถระจากเมืองมนุษย์ มาดูความกว้างของลานหินอ่อนอย่างนี้ไม่มีปัญหา?

"พระคุณเจ้าอย่าเพิ่งคิดว่า ที่นี่เป็นสนามกีฬาหรืออื่นใด" ยมพบาลเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้มือไปยังมุมสุดเบื้องหน้า ซึ่งปรากฏเป็นมีลูกกลิ้งหินมหึมาเท่าภูเขาลูกหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ "โน่นขอรับ ลูกกลิ้งหินที่เห็นอยู่นั่นแหละ คือสิ่งแปลกประหลาดอัศจรรย์ที่สุด มิใช่มีลูกเดียวนะ ข้างหลัง และซ้ายขวา ยังมีอีก รวมเป็น 4 ลูกด้วยกัน ลูกหิ้นทั้งสี่นี้เป็นลูกกลิ้งไฟ มีไว้สำหรับกลิ้งมาบดสัตว์นรกที่วิ่งเข้าไปยืนบนลานหินนี้ พระคุณเจ้า"

พอดีกับที่ขณะนั้น เสียงผีเท้าของใครต่อใครวิ่งมาอย่างสับสน พร้อมกับเสียงหวดแส้ดังวื้ดว้าด และเสียงกรีดร้องโอดโอยติดตามมาทางเบื้องหลัง

ทั้งยมพบาลและพระเถระหันขวับมาดูพร้อมๆกัน มันจะเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากฝูงสัตว์นรก ที่กำลังถูกเหล่าผู้คุมไล่ต้อนเข้าเครื่องบดชดใช้กรรมนั่นเอง ตัวไหนที่พูดกันรู้เรื่องง่าย และวิ่งเร็วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตรงกันข้าม ตัวไหนพูดยากและวิ่งช้า แส้เหล็กอันใหญ่ยาวราวกับสายบรรทัด ก็ซัดโครมๆ เข้าที่เนื้อตัวอย่างไม่เลือกที่และปรานีปราศรัย แม้จะเกิดเป็นรอยแผลแตกเลือดทะลักออกม และมันจะส่งเสียงร้องครวญครางขอความเวทนาสงสารสักปานใด ก็เหมือนยั่วยุให้พวกผู้คุมกระหน่ำแส้เหล็กเข้าให้หนักขึ้น จนในที่สุด แม้จะถึงกับลุกไม่ขึ้น ก็ต้องพยายามคลานรุดหน้าไปตามคำสั่ง

เหล่าสัตว์นรกวิ่งทยอยล้มลุกคลุกคลาน และกระเสือกกระสน หนีออกหน้าซ้ายขวากันให้อลหม่านไปหมด แต่จนแล้วจนรอด ก็หนีไปไหนไม่พ้น นอกจากจะถูกต้อนไปนอนแซ่วหมดสติเรี่ยวแรง อยู่บนลานหินอ่อนเบื้องหน้านั่นเอง ไม่มีใครกระเสือกกระสนหนีต่อไปอีก ราวกับรู้ชะตาตนเองฉะนั้น

ชั่วขณะนั้นเอง ก็บังเกิดมีไฟลุกแดงวาบขึ้นและโชติช่วงไปทั่วลูกกลิ้งหินเหล่านั้น ราวกับปาฏิหารย์ ขณะเดียวกัน ลูกกลิ้งแต่ละลูกก็ผันออกจากที่เข้ามาสู่กลางถนน ซึ่งเหล่าสัตว์นรกทั้งหลาย กำลังนอนรอความตายอยู่ ด้วยความเร็วราวกับลูกธนู และเสียงดังราวกับฟ้าลั่น

ครืน! ครืน! ครืน! พริบตาเดียวก็ถึงตัว บังเอิญมีสัตว์นรกบางตัวรู้สึก เบิกตาโพลงขึ้น ครั้นมองเห็นภัยกำลังจะมาถึงตัว ก็ส่งเสียงร้องให้คนช่วย
 

"โอย! ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! พร้อมกันนั้น ต่างถลันลุกขึ้นจะตะเกียกตะกายหนี แต่ช้าไปเสียแล้ว ลูกกลิ้งทั้งสี่ครืนเข้ามาทับ และบดขยี้พร้อมๆกัน ไม่ต่างอะไรกับรถบดถนน ท่ามกลางเสียงร้องโอดโอย ให้ระงมไปหมด เลือดสดๆ กระจายไปทั่วลานหินอ่อน จนมองเห็นเป็นสีแดงทั้งผืน

"ที่นี่เรียก ปิสสกปัพพตนรก ขอรับ พระคุณเจ้า พวกที่ชอบทรมาณสัตว์ด้วยการเอาเหล็ก หรือหินเผาไฟนาบ หรือบดตามเนื้อตัวสัตว์ทั้งหลายอย่างสนุกมือนั่นแหละ เมื่อตายแล้วจะมาเสวยผลกรรมอยู่ในนรกแห่งนี้ขอรับ" ยมพบาลกล่าวแล้วพาพระเถระเดินออกจากที่นั้น ตรงไปยังแดนนรกแห่งอื่นทันที

สักครู่ก็มาถึงศาลาใหญ่ตั้งอยู่ โดดเดี่ยวบนเนินสูง และดูเหมือนนอกจากจะมีบันไดเหล็กเล็กๆ มีรูปร่างไม่ต่างจากบันไดลิงทอดขึ้นไปจากข้างล่างเพียงอันเดียวแล้ว ก็ไม่มีกำแพงเหล็กหรือประตูใหญ่ใดๆทั้งสิ้น

ฉับพลันทันใดที่ถูกพาไต่ขึ้นไปยืนอยู่หน้าศาลาหลังนั้น พระมาลัยก็เหลือบไปเห็นมีถาดอาหารอันโอชารส ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ตั้งเรียงรายอยู่เต็มตามความกว้างขวางและโอ่โถงของมัน ซึ่งอาหารเหล่านี้จัดไว้สำหรับใคร ไม่สามารถจะทราบหรือเดาได้ถูก และชั่วขณะที่เต็มไปด้วยความแปลกใจสงสัย ของพระเถระนั่นเอง ก็มีสัตว์นรกรูปร่างผอมโซฝูงหนึ่ง วิ่งกรูกันเข้ามาในศาลานั้น โดยไม่ทราบว่ามาจากทิศทางใด และสัตว์พวกนั้นต่างพากันตรงเข้าหาสำรับกับข้าว ที่ตั้งเรียงรายอยู่นั้น ตัวไหนที่ล้าหลังมาไม่ทัน ต้องใช้วิธียื้อแย่งจากเพื่อน ปราศจากความเกรงอกเกรงใจใดๆทั้งสิ้น ฝ่ายตัวที่ถูกแย่งก็พยายามต่อสู้ป้องกัน มิให้ถ้วยชามอาหารซึ่งตน กำลังกินอยู่อย่างเอร็ดอร่อยนั้นหลุดลอยไปจากมือเป็นการใหญ่ แต่ยิ่งต่อสู้ป้องกันเท่าใด เหมือนยิ่งยุ อ้ายตัวนักแย่งยิ่งรุกหนักขึ้น เอาไปเอามาเกิดศึกชิงอาหาร สัตว์นรกเหล่านั้นต่างแย่งถ้วยชามขึ้นขว้างปา และโผนเข้าทุบต่อยเตะตีกันอุตลุด

ฝ่ายยมพบาลเมื่อเห็นเหตุการณ์รุนแรงเช่นนั้น ก็ส่งให้ผู้คุมเข้าห้ามปรามอย่างทันควัน หลังจากหวดแส้และประเคนฆ้อนเหล็กตัวนั้นตัวนี้อยู่ชั่วขณะ ศึกชิงอาหารก็สงบราบคาบลงด้วยการลงไปหมอบราบคาบแก้ว เป็นแถว อยู่กับภาคพื้นของเหล่าสัตว์นรกผู้อดโซ ทั้งสองมือที่ยกขึ้นพนกศีรษะและเนื้อตัวของพวกมัน ตกอยู่ในอาการสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวต่อโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ เพราะความผิดครั้งนี้ เป็นที่สุด

กล่าวกันว่า กฎหมายในเมืองนรกนั้น มีการลงโทษสัตว์นรกอย่างหนึ่ง สำหรับความผิดที่บังอาจไปก่อขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการลักขโมย แย่งชิงวิ่งราวข้าวของกัน หรือทะเลาะวิวาทต่อตีกัน ไม่ว่าหนักหรือเบา น้อยหรือมาก นอกเหนือไปจากโทษทัณฑ์ที่จะพึงได้รับจากผลกรรมแล้ว นั่นก็คือ วิธีที่พวกผู้คุมจับมามัดแล้วใช้ฆ้อนเหล็กทุบตี จนกระทั่งทนเจ็บปวดทรมานไม่ไหว สลบไปแล้วเอาน้ำรดให้ฟื้นคืนมา และกระหน่ำตีต่อไปจนสลบไปอีก ทำอย่างนี้ถึงสามครั้ง ฟื้นสาม-สลบสาม เรียกกันว่า "สามสลบ" ถูกแล้ว อันวิธีสามสลบนี้ เหล่าสัตว์นรกต่างเข็ดขยาด หวาดกลัวกันเหลือเกิน บางรายถึงบอกว่า ถ้าจะให้เปลี่ยนเอาอย่างอื่นที่หนักหนากว่านี้ เช่นกรอกน้ำทองแดง หรือเข้าเครื่องบด มันยินดีทีเดียว เพราะถึงแม้วิธีเหล่านี้จะทำให้มันตายวายชีวาไป ก็ยังดีกว่าอยู่แบบเสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสเช่นนี้

ในช่วงเวลาที่เต็ฒไปด้วยอาการสั่นสะท้านหวาดกลัวของสัตว์นรกพวกนั้น ดูเหมือนจะไม่มีสัตว์นรกตัวใด ที่ไม่นึกวิงวอนขอความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า บนสวรรค์ ตลอดจนกระทั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างในสากลโลก จงช่วยดลบันดาลอย่าให้เหล่าผู้คุมใช้วิธีสามสลบนี้กับตน ยังไงๆก็ขอให้ใช้อย่างอื่นเถอะ แม้ว่ามันจะหนักหนายิ่งกว่านี้สักเพียงใด

อนิจจา! เหล่าสัตว์นรกผู้น่าสงสาร บางทีการวิงวอนขอความเมตตา จากพระผู้เป็นเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสัตว์นรกเหล่านั้น จะช่วยพวกมันได้จริงก็เป็นได้ และเป็นได้ยิ่งกว่าที่วิงวอนขอนั้นอีก-มันช่างเป็นความปรานีที่เอิบอาบซาบซ่านใจ อย่างไม่นึกไม่ฝันอะไรเช่นนั้น

ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดรวดร้าว อันเนื่องมาแต่การถูกเหล่าผู้คุมเข้าไปห้ามทุบตีเมื่อครู่นี้ ตลอดจนกระทั่งอาการสั่นสะท้าน หวาดกลัวทั้งหลายจะเหือดหายไปราวกับปลิดทิ้ง เหล่าสัตว์นรกที่หมอบราบคาบแก้ว ณ ที่นั้นต่างโดดผลุงลอกยขึ้นด้วยความปิติยินดีในทันใด เมื่อได้ยินเสียงยมพบาลร้องสั่งลูกน้องขึ้นว่า "พอ-พอทีเถอะไม่ต้องทุบตีอะไรพวกนี้อีก แค่นี้มันก็แสนสาหัสพอแล้ว ไป-ไปจัดสำรับกับข้าวมาให้พวกมันกินใหม่ดีกว่า"

"ไชโย ขอให้ท่านยมพบาล เจ้านายของเราจงเจริญ" ปากคอที่กำลังระริก แสนเต็มตื้นด้วยความปิติยินดีของสัตว์นรกเปล่งเสียงไชโยโห่ร้องขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่กังวานเสียงของยมพบาลจะขาดห้วงลง และแล้วพวกมันก็พากันกรูเข้ามาหมายจะกราบกราน แสดงความซาบซึ้งดีใจครั้งนี้อย่างที่สุด แต่ "ไม่ต้องเข้ามาหรอก พวกแกนั่งลงตามเดิมดีกว่า" ยมพบาลโบกมือห้ามเสียก่อน "เดี๋ยวพวกนั้น ก็จะยกสำรับกับข้าวมาให้กิน และหวังว่ายังไงเสียคราวนี้คงจะไม่เกิดการตะลุมบอนกันอย่างเมื่อกี้เป็นแน่"

"ไม่เกิดแน่ขอรับ พวกข้าพเจ้าขอรับรอง" พวกสัตว์นรกร้องตอบขึ้นพร้อมกันอย่างทันควัน "เออ! ดีมาก" ยมพบาลตอบในที่สุด

ในช่วงเวลาต่อมานั้นเอง สำรับกับข้าวชุดใหม่โอชารสที่กำลังส่งกลิ่นหอมกรุ่นฟุ้ง ไม่แพ้ชุดก่อนก็ถูกนำมาตั้งไว้เป็นที่เรียบร้อยตามคำสั่งของยมพบาลทุกประการ และเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว เหล่าสัตว์นรกผู้อดโซ ก็พากันลงมือตักข้าวปลาอาหารใส่ปากอย่างไม่รีรอ แต่ระมัดระวัง ไม่ให้มือไม้ของตน เผลอไปยื้อแย่งกันและกันอย่างเมื่อกี้เป็นที่สุด เดี๋ยวจะเกิดศึกชิงอาหารถึงขั้นตะลุมบอนกันขึ้นอีก

อย่างไรก็ดี ตลอดเวลาที่กำลังตักข้าวปลาอาหารกินนั้น พวกมันต่างนึกขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เมตตาช่วยดลบันดาลให้เหตุการณ์ครั้งนี้ เปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี แทนที่จะถูกลงโทษทัณฑ์ แต่กลับได้กินอาหารอย่างดีโอชารสเช่นนี้

ครั้นแล้ว โดยไม่มีใครนึกฝันว่าเหตุการณ์ที่เปลี่ยนจากร้ายกลายมาเป็นดีแล้วนั้น จะย้อนกลับมาเป็นร้าย และร้ายยิ่งกว่าเดิมอีก พอข้าวปลาอาหารเหล่านั้นถูกเคี้ยวกลืนเข้าไปในท้องเพียงครู่เดียว ก็กลับกลายเป็นก้อนเหล็กแดงไหม้ เอาไส้พุงขาดกระจุยกระจายออกมา ท่ามกลางความเจ็บปวดและร้องครวญคราง อย่างสุดเสียงของพวกมัน จนในที่สุดต่างก็หงายตึงลงฟาดพื้นสิ้นใจไป อย่างน่าสมเพทเวทนา ทิ้งไว้แต่ชามข้าวที่พึ่งจะกินเข้าไปไม่ทันไร

นี่เอง ความเมตตาปรานีที่เอิบอาบซ่านใจ ซึ่งพวกมันคิดว่าได้รับจากพระผู้เป็นเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความจริง มันเป็นการใช้ไม้นวม เพื่อหลอกให้พวกมันกินข้าวปลาอาหารเข้าไป จะได้ไหม้ไส้พุงแตกทลายออกมา ตามความประสงค์ของยมพบาลโดยแท้

"ทำไมท่านโหดร้ายอย่างนั้นเล่า ยมพบาล?" พระมาลัยท้วง "ท่านรู้ว่าอาหารเหล่านี้เป็นก้อนเหล็กแดง ยังอุตส่าห์หลอกให้พวกนี้กินเข้าไปได้?"

"มิใช่ข้าพเจ้าหลอกพวกเขาดอกขอรับ" ยมพบาลตอบ "กรรมแต่ชาติก่อนต่างหากหลอกพวกเขา-ชาติก่อนนี้ พวกเขาเป็นข้าราชการ ทำงานเพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน แต่กลับทุจริตคิดมิชอบ ฉ้อฉลเอาทรัพย์สินตลอดจนข้าวปลาอาหาร จากประชาชน มาบำรุงกระเพาะตนเอง โดยมิได้คำนึงถึงความเดือดร้อนของใคร เขาถือว่ายังไง ขอให้เราได้กินอิ่มไปตลอดชาติก็แล้วกัน ในที่สุดเลยต้องมาอดอยากปากแห้ง มองเห็นก้อนเหล็กแดงเป็นอาหารโอชะไปเช่นนี้แหละ พระคุณเจ้า"

ยมพบาลพูดจบ ก็รีบพาพระเถระเดินออกจากที่นั่นไปทันที ไม่ยอมให้ท่านได้ถามอะไรอีกต่อไป เพราะเวลามีน้องเกรงจะไปไม่ทั่ว

ไม่ช้าก็มาถึงสวนใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยต้นมะม่วงนานาชนิด และต้นสูงใหญ่ และดกหนกด้วยกิ่งใบ ต่างกับมะม่วงธรรมดา เรียงรายเป็นทิวแถว ยาวสุดลูกหูลูกตา อยู่ในอาณาบริเวณอันโล่งเตียน เป็นระเบียบสวยงาม ราวกับผู้หนึ่งผู้ใดมาตกแต่งไว้ และไม่ผิดอะไรกับสวนมะม่วงของพระราชามหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองมนุษย์โดยแท้

และนอกไปกว่านั้น ทั่วกิ่งใบมะม่วงทุกต้น กำลังสะพรั่งด้วยผลอันสุกงอม แต่ละลูกมีขนาดเท่าฟักแฟงแตงไทยของเรา และส่งกลิ่นหอมน่ากินมากทีเดียว

ในฉับพลันที่ยมพบาลพระเถระไปถึงนั่นเอง ก็มีสัตว์นรกกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาทางเบื้องหน้า ด้วยกิริยาท่าทางที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี รายกับมันวิ่งเข้ามาเห็นป่า ยิ่งกว่านั้น พวกเขายิ่งส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวมาแต่ไกล

"สบายแล้ว พวกเรา ที่นี่เป็นสวนมะม่วงดังที่คิดไว้จริงๆ แหม! มันกว้างใหญ่ร่มรื่นเหลือเกิน และโอ! ต้นมะม่วงเหล่านี้กำลังมีลูกสุกงอมเสียด้วยสิ คราวนี้ต้องฟาดให้หมดทั้งสอนเลย มาพวกเราเร็วเข้า"

และโดยไม่ยอมปล่อยเวลาให้ผ่านไป พวกมันต่างพากันปีนป่ายขึ้นต้นมะม่วงหมายเขย่าผล ให้หล่นร่วงลงมา จะได้เก็บกินให้สมใจ และสมกับความหิวกระหาย ที่กำลังทวีความรุนแรงหนักขึ้นอยู่ในขณะนี้

แต่ยังมิทันที่จะได้ถึงคาคบ ก็บังเกิดมีลมพัดแรงขึ้นอย่างกำหนด หมายไม่ได้ว่ามาจากทิศทางใด มันพัดมาต้องใบมะม่วงทั้งหลายให้ร่วงหล่นลงมา กลับกลายเป็นหอกดาบอันคมกล้า พุ่งลงมาเสียบหน้าเสียบหลังสัตว์นรกพวกนั้นอย่างรวดเร็ว ราวกับห่าฝน ยังผลให้พวกมันหกคะเมนลงมาสู่ภาคพื้น พร้อมทั้งส่งเสียงร้องลั่น ด้วยความเจ็บปวด ตัวไหนที่ยังไม่ขาดใจ พอทรงกายลุกขึ้นได้ ก็พยายามตะเกียกตะกายหนีอย่างสุดแรง บางตัวที่ยังมีแรงมากกว่าเพื่อนหน่อย ก็ร้องตะโกนมาบอกพรรคพวก ซึ่งอยู่เบื้องหลังว่า "หนีเร็ว พวกเรา ไอ้ใบมะม่วงนี่ กลายเป็นหอกดาบเล่นงานเราเสียแล้ว เร็วหนีเร็ว"

ปากตะโกนพลาง เท้าจ้ำอ้าวกลับไปตามทางที่เข้ามา หมายจะให้พ้นจากสวนมะม่วงอุบาทว์นี้โดยเร็วที่สุด ฝ่ายพรรคพวกผู้อยู่เบื้องหลังที่ยังไม่ได้สติสตัง พอได้ยินเช่นนั้น ก็รีบถลันลุกพรวดพราดวิ่งตามมา บางตัวแม้จะแขนขาดด้วนไป เพราะหอกดาบแล่นมาต้อง แต่ก็ยังพยายามยันกายวิ่งมาด้วย

อย่างไรก็ดี ยังมิทันที่สัตว์นรกผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นจะพ้นไปจากสวน ในขณะนั้น บังเกิดมีกำแพงเหล็กใหญ่ลุกโชนด้วยเปลวไป ผุดขึ้นมาจากพื้นดินขวางหน้า พวกมันไว้อย่างฉับพลัน ไม่ผิดอะไรกับฝูงสัตว์น้อยใหญ่ ในป่าที่ถูกนายพรานผู้ฉลาด สกัดกั้นการหนีของพวกมันไว้ด้วยวิธีเผาป่า ให้ลุกลามขึ้นข้างหน้า ในขณะที่ให้พวกของตนคนหนึ่งคนใดไล่ยิงมาฉะนั้น

หมดสิ้นกันที สำหรับหนทางจะวิ่งหนีไป ครั้นจะย้อนกลับมาอีก หอกดาบก็ยังพุ่งตามมาราวกับห่าฝน ดูเหมือนชั่วขณะนั้น เหล่าสัตว์นรกผู้น่าสงสารจะมองไม่เห็นวิธีใด ดีไปกว่าการตะเกียกตะกายเลียบไปตามกำแพงเหล็กมหึมานั้นต่อไป เพื่อบางทีจะได้พบช่องทาง พอโผล่พ้นออกไปจากสวนมะม่วงอุบาทว์นี้บ้าง แม้ว่า ความยาวของกำแพงจะเหยียดยาวออกไปจนสุดลูกหูลูกตา และมองหาที่สุดไม่ห็นก็ตามที

แต่ฉับพลันนั้นเอง เหตุการณ์ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่าที่เกิดขึ้นแล้ว ก็อุบัติขึ้น สุนัขตัวใหญ่ขนาดเท่าช้างสาร มีเขี้ยวยาวโง้งออกมาจากปาก นัยน์ตาทั้งสองโตเท่าไข่ห่านนั้น ลุกวาวอย่างน่ากลัว 1-2-3-4-5 ตัวพอดิพอดี วิ่งมาจากทิศทางใดไม่ทันเห็น และทั้งหมดทะยานเข้าใส่สัตว์นรกพวกนั้น เหมือนเสือร้าย ที่กำลังกระหายหิว ต่างตัวต่างกระโดยเข้าขย้ำค้ำคอเหยื่อของมันให้ด่าวดิ้นลงสู่ภาคพื้น และกัดกินเลือดเนื้ออย่างเอร็ดอร่อย ท่างกลางเสียงร้องโอดโอย และพยายามดิ้นรนทุรนทุราย หนีพวกสัตว์นรกอย่างสุดแรงเกิด

ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาต่อมาไม่ถึงอึดใจ ยังมิทันที่สุนัขพวกนั้นจะกินอิ่ม ก็มีแร้งใหญ่ขนาดเท่าเรือนเกวียนโถมถลาลงมาจากอากาศ ขับไล่สุนัขทั้งหมด ให้หนีไป แล้วจิกทิ้งกินเนื้องสัตว์นรกเหล่านั้นจนเหลือแต่กระดูกในพริบตา

"ที่นี่มีชื่อว่า แดนหอกดาบร่วง ขอรับ พระคุณเจ้า" ยมพบาลสาธยาย "สัตว์นรกต้องมาเสวยทุกข์ทรมาณอยู่ในดินแดนนี้ แต่ชาติก่อนได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตด้วยการเป็นพลานล่าเนื้อ ไล่ต้อน ทิ่มแทงสัตว์อื่น ด้วยหอก และเอาไฟเผาป่า ครอกสัตว์ตายอย่างทารุณโหดร้าย พระคุณเจ้า"

"แหม! น่าอัศจรรย์แท้" พระมาลัยพึมพำเบาๆ

"ยังมีที่น่าอัศจรรย์กว่านี้มากขอรับ นิมนต์ตามข้าพเจ้ามาเถอะ ข้าพเจ้าจะพาไปดู" ว่าพลางยมพบาลก็รีบเดิน ออกหน้าพระเถระไปยังแดนอื่นโดยไม่รอช้า

ต่อมา ก็มาถึงที่โล่งแห่งหนึ่ง ซึ่งแลเห็นแม่น้ำเหยียดยาวขวางกั้น เป็นเส้นขนานอยู่เบื้องหน้า ทั้งสองฟากฝั่งมีเครือหวายอันใหญ่มหึมา เท่าต้นมะพร้าวขนาดเขื่องขึ้นสลับซับซ้อน และเกี่ยวพันกันเต็มไปหมด แทบจะไม่มีเถาวัลย์ หรือ พันธุ์ไม้ใดๆเจือปน ราวกับมีคนหนึ่งคนใด จงใจมาปลูกไว้ฉะนั้น

และดูเหมือนตลอดฟากฝั่งที่มาถึงนั้น จะมีที่ซึ่งเครือหวายเหล่านั้น ยอมเว้นว่างให้เพียงช่องทางเล็กๆ พอเดินเข้าไปในอาณาบริเวณของแม่น้ำได้ช่องเดียวเท่านั้นเอง

"ที่นี่คือแดนเครือหวายขอรับพระคุณเจ้า" ยมพบาลแนะนำขณะที่พาพระเถระ ไปยืนอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำแห่งนั้น ตลอดสองฝั่งแม่น้ำ มีต้นหวายขึ้นแต็ม ทั้งเครือทั้งหนามของมันคมยิ่งกว่ามีดโกน สามารถบาดร่างกายของสัตว์นรกให้ขาดสะบั้นหั่นแหลก เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ได้ดีทีเดียว

"สัตว์นรกที่มาได้รับกรรม ณ แดนนี้ เพราะทำความชั่วอะไรไว้หรือท่าน?" พระมาลัยซัก

"ส่วนมาก็เป็นพวกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ด้วยการเอาเครื่องดักวาง ซุ่มซ่อนลวงไว้นั่นแหละขอรับ สัตว์อื่นๆ ที่เดินผ่านมา ไม่ทันได้ระวังตัว ก็ติดเครื่องดักของเขาเข้าจนได้ รับความทรมาณอย่างแสนสาหัส"

"คงจะเป็นพวกพรานดักนก หนู เก้ง กวาง นั่นกระมัง?"

"ใช่ขอรับ พระคุณเจ้า และนอกไปกว่านั้นก็ยังมีพวกพรานดักคนไปขายเป็นสินค้าอีก เพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวอย่างเดียว ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนทรมาณของคนอื่น เลยต้องมารับกรรมเช่นนี้แหละ ขอรับ"

พอดีขณะที่ยมพบาลพูดจบนั่นเอง มีสัตว์นรกพวกหนึ่ง กำลังเดินมาด้วยท่าทางระโหยโรยแรงเต็มที ครั้นเหลือบเห็นแม่น้ำอยู่เบื้องหน้าเช่นนั้น ก็มีความปิติยินดี ขยับฝีเท้าวิ่งเข้ามาโดยไม่รั้งรอ ด้วยหวังที่จะดื่มน้ำดับความกระหายให้สมใจ และโดยไม่ได้มองเห็นเครือหวายที่กีดกั้นใดๆทั้งสิ้น พวกมันพุ่งตัวโครมหมายจะลงสู่แม่น้ำทันทีทันใด

แน่นอน! ไม่มีตัวใดจะไม่ปะทะเข้ากับเครือหวายเบื้องหน้า ต่างก็พากันถูกเครือและหนามหวายบั่นร่างกาย ขาดเป็นท่อนน้อยใหญ่ในฉับพลัน พวกมันได้แต่ส่งเสียงร้องโอดโอย และดับดิ้นสิ้นใจไปอย่างน่าสยดสยอง และน่าสมเพชเวทนาเป็นที่สุด

มีบางตัวที่วิ่งมาข้างหลัง พอเห็นเพื่อนร่วมทุกข์ประสบกับอันตรายอย่างร้ายแรงเช่นนั้น ก็ตื่นตระหนกตกใจกลัว และหันหลังวิ่งกลับไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่ขณะเดียวกัน ผู้คุมซึ่งคอยดูแลอยู่แถวนั้นเหลือบมาเห็น ก็ฉวยค้อนเหล็กอันใหญ่ กระโจนไล่กวดติดตามไปในฉับพลัน คว้าไหล่ของมันไว้ พร้อมกับดึงเข้ามาประเคนค้อนเหล็ก ลงกลางกระหม่อมเต็มเหนี่ยว

"โอย! ช่วยด้วย"

สัตว์นรกผู้เคราะห์ร้ายร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว เหมือนศีรษะจะแตกทลายไปในบัดดล แต่ยิ่งร้อง ค้อนเหล็กในมือของผู้คุม ยิ่งกระหน่ำลงอย่างมันมือ และเพียงไม่กี่โป๊ก สัตว์นรกตนนั้น ก็พาร่างที่โชกด้วยเลือด ทรุดฮวบม่อยกระรอกไป ครั้นแล้ว ผู้คุมก็คว้าร่างที่ปราศจากสติสตังนั้น โยนกลับมายังกองหวาย ร่างขาดสะบั้นหั่นแหลกไปทันใด

อนิจจา! ช่างน่าสงสาร

หลังจากที่ออกจากแดนเครือหวายแล้ว ยมพบาลก็พาพระเถระ ตระเวนต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แดนต่อไป คือ แดนขี้เถ้า ซึ่งอยู่ถัดแดนเครือหวายเพียงเล็กน้อย

แดนขี้เถ้าดังกล่าวนี้ มีกองขี้เถ้าใหญ่ ที่เต็มไปด้วยความร้อนดังไฟ สามารถเผาผลาญสัตว์นรก ซึ่งถูกจับโยนเข้าไปให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา แม้ว่ามันจะมีเพียงสองสามกอง และราบเรียบ อยู่ในแอ่งเหล็กใหญ่หนา มองดูไม่ต่างอะไรกับขี้เถ้าธรรมดา แต่ความร้อนของมันก็แรงระอุอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัตว์นรกเป็นร้อยเป็นพัน ต่างดับดิ้นสิ้นร่างไปอย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว

สำหรับสัตว์นรกที่ต้องมาตกระกำลำบากในแดนแห่งนี้ ก็เพราะเหตุที่เมื่อชาติก่อน ชอบเอาสัตว์อื่น จับหมกขี้เถ้าร้อนๆทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นเอง

แห่งต่อมาคือ แดนหลุมคูถ ทั่วทั้งอาณาบริเวณสี่เหลี่ยมจตุรัสภายในกำแพงเหล็กอันใหญ่หนานั้น เต็มไปด้วยหลุมคูถอันกว้างใหญ่ และลึกขนาดท่วมศีรษะ ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งตลบอบอวล เรียงรายอยู่ต่อๆกันไป รวมทั้งหมดประมาณ 10 หลุมเห็นจะได้

ภายในหลุมคูถแต่ละแห่ง มีหนอนตัวใหญ่เท่าช้าง แหวกว่ายกันเป็นหมู่ๆ อยู่ในหลุมนั้น ต่างตัวต่างคอยจ้อง ปากที่แหลมดังเข็ม คอยเหยื่ออย่างหิวกระหายตลอดเวลา พอเหล่าผู้คุม จับสัตว์นรกโยนทิ้งลงไป พวกมันก็กรูกันเข้ารุมล้อมกัดกินเนื้อสัตว์นรกเป็นการใหญ่ ตัวไหนที่ฉลาดว่องไวกว่าเพื่อน ก็ล้วงเข้าไปในปาก ทึ้งตับไตไส้พุงออกมากินอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อเนื้อตัวหมดตับไตไส้พุง ก็ฟาดกระดูกเข้าอีก จนราบเรียบไม่มีเหลือหรอ

ไม่มีหนอนที่ไหนจะร้ายเท่านี้!

ต่อจากนั้น ยมพบาลก็พาพระเถระมาดูหม้อกระทะเหล็กอันใหญ่เท่าภูเขาลูกมหึมา ซึ่งกำลังตั้งเดือดพล่านอยู่บนเตาไฟ เหล่าสัตว์นรกผู้เป็นเชลยกรรม ต่างถูกจับโยนลงในกระทะเหล็กนั้น ไปด่าวดิ้นปลิ้นไป อยู่ในน้ำร้อน ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ถูกโยนในหม้อนน้ำร้อนทั้งเป็น

ที่นี่มีชื่อเรียกว่า โลหะกุมภี หรือเรียกง่ายๆว่า แดนกระทะเหล็ก ผู้ที่ชอบลักลอบข่มขืนลูกเมียเขาโดยไม่เลือกหน้า มักจะมาเสวยกรรมอยู่ ณ โลหะกุมภีนี้ทั้งนั้น

ถัดจากโลหะกุมภีนี้ไปเพียงเล็กน้อย ก็เป็น แดนกระทะทองแดง ซึ่งแดนนี้นอกจากจะมีหม้อกระทะใบใหญ่ต้มน้ำทองแดง และแทรกด้วยก้อนกรวดเหล็กเดือดพล่านอยู่บนเตาไป เช่นเดียวกับโลหะกุมภีแล้ว ณ ภาคพื้นตรงหน้า ยังมีแผ่นเหล็กหนา กำลังลุกโชนด้วยเปลวไฟติดไว้เป็นแท่น ที่สำหรับจับสัตว์นรก มานอนหงายแล้วตักน้ำทองแดงในกระทะ มากรอกปาก ให้ปากคอและท้องไส้ ถูกเผาไหม้แตกพังทลายตายไปในที่สุด

แดนกระทะทองแดงนี้ เป็นแหล่งลงโทษนักดื่มเหล้าคอทองแดงทั้งหลาย พวกที่เช้าเมาเย็นเมา ระวังไว้ให้ดีเถอะ ตายไป จะถูกนำตัวไปนอนหงายกรอกน้ำทองแดง ณ แดนนี้จนได้

และทันทีที่เดินผ่านหม้อกระทะทองแดงนั้นไป ก็มาถึงป่างิ้วใหญ่ ซึ่งมีต้นงิ้วสูงยิ่งกว่าต้นไม้ใด ในเมืองมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละต้นมีหนามแหลมคม เป็นเหล็กยาวชี้ออกมา พร้อมด้วยเปลวไฟติดโชนอยู่ทั่วทุกอัน

นี่คือ ดงต้นงิ้ว ที่บรรดาชายหญิง ผู้ไม่รู้จักอิ่มในรสสวาท เที่ยวนอกใจผัวนอกใจเมีย ไปเสพสุขกับคนที่เขามีเจ้าของอื่นๆ พากันกลัวนักกลัวหนา ถึงกับบางคน ก่อนจะตาย ได้สั่งให้ญาติเอาขวานใหญ่ใส่ในโลง จะได้เอาขวานนั้นไปโค่นต้นงิ้วในเมืองนรกเสียนั่นเอง

พอดีขณะนั้น ผู้คุมในแดนนี้ กำลังไล่ให้สัตว์นรกตัวเมีย ป่ายปีนขึ้นไปตามความสูงลิบลิ่ว ของต้นงิ้วนั้น และไล่ตัวผู้ขึ้นตามไป ครั้นขัดขืนก็เอาหอกแทงส่งขึ้นไป ทั้งตัวเมียตัวผู้ถูกหนามงิ้วทิ่มแทงทั่วร่าง ร้องเจ็บปวดครวญครางออกมาไม่ขาดระยะ

แต่ดูเหมือนจะยิ่งร้องครวญครางเท่าใด เหล่าผู้คุมก็ส่งขึ้นไปด้วยหอกคู่มือเท่านั้น และพอแข็งจิตแข็งใจขึ้นไปได้ครึ่งต้น ก็มีกาปากเหล็กตัวใหญ่ โผถลาเข้ามาจิกเนื้อกินเป็นพัลวัน ทั้งตัวเมียและตัวผู้ต่างก็สู้ทนความเจ็บปวดต่อไปไม่ไหว เลยปล่อยร่างหงายผึ่งลงมาสิ้นใจอยู่เบื้องล่าง

ทุกสิ่งทุกอย่างน่าจะอวสานเพียงแค่นั้น แต่ในทันทีนั้นเอง มีสุนัขตัวใหญ่เท่าช้างหลายต่อหลายตัว ซึ่งคอยทีอยู่เบื้องล่าง พอเห็นร่างของสัตว์นรกเหล่านั้นหงายผึ่งลงมา ก็โจนฟัดเนื้อหนังกิน จนเหลือแค่กระดูก

ความจริง อันรสสวาทนั้นจะก่อให้เกิดความชื่นมื่นได้ก็เพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่ทว่า หากเป็นการละเมิดต่อ "ของต้องห้าม" ผลลัพธ์ของมันช่างสยดสยองเสียจนเทียบกันไม่ติดเลยจริงๆ

เมื่อออกจากป่างิ้วแล้ว ยมพบาลก็พาพระเถระมาดูพวกผีดิบ ที่ถูกขังอยู่ภายในอาณาบริเวณ ล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็กใหญ่หนา และมีเปลวไฟลุกโชนติดไปโดยตลอด

อันผีดิบพวกนี้ มีรูปร่างผอมกระหร่อง แลเห็นซี่โครงเป็นแถบๆ พวกมันมีเล็บมือเล็บเท้าเป็นดาบ เป็นจอบเสียมอันคมกล้า กำลังก้มหน้าก้มตาถากเนื้อหนังของมันกินเป็นอาหารอย่างน่าเวทนา บางตัวหมดเนื้อหนังที่จะถากกิน ก็จัดแจงงัดกระดูกซี่โครงของมันมาทดแทน แก้ความกระหายหิวต่อไปโดยไม่ยอมอดตาย แต่วาระสุดท้าย มันก็ต้องพาร่างฟาดตึงลงสิ้นใจจนได้

ยังมีอีกพวกหนึ่ง ซึ่งพวกนี้มีเพียงนิ้วมือเป็นหอกดาบอย่างเดียว แต่ดูเหมือนจะร้ายยิ่งกว่าพวกก่อนเป็นไหนๆ โดยมิได้ใช้น้ำมือที่เป็นหอกดาบนั้นถากเนื้อเถือหนังของตนกิน หากใช้ไล่ทิ่มแทงพรรกพวกมันเองอย่างบ้าดีเดือด และไม่ยอมนึกถึงใคร นอกไปกว่าความเคียดแค้นต่อกันและกัน ซึ่งไม่ทราบมีมาแต่ปางใด พอเห็นหน้ากันเข้า ก็โจนเข้าใส่กันทันทีทันใด ราวกับพวกเจ้ายุทธจักรในหนังกำลังภายใจยังไงยังงั้น ที่ตายก็ตายไป แต่ที่ยังอยู่ก็ต้องเป็นศัตรูคอยสังหารผลาญชีวากันต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด นี่เขาเรียกว่า ผีดิบอันธพาล ล่ะ

กล่าวกันว่า สัตว์นรกพวกนี้ เมื่อชาติปางก่อนเป็นอันธพาล คอยเกะกะรังควาน ความสุขสงบของชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา ครั้นตายจึงถูกส่งมาเป็นอันธพาล ณ แดนแห่งนี้

จากแดนผีดิบอันธพาล ก็เป็น แดนนักโทษประหาร แดนนี้มีกำแพงเหล็กใหญ่ ล้อมรอบอย่างแข็งแรง และทันทีที่ยมพบาลพาพระเถระไปถึง ก็มองเห็นเหล่าผู้คุมในแดนนั้น กำลังจับสัตว์นรก ให้นอนลงบนแผ่นเหล็กแดง เสร็จแล้วจัดการแล่เนื้อเถือหนังออก ให้เหลือแต่กระดูก สัตว์นรกพวกนั้น ต่างได้รับความเจ็บปวด ร้องไห้ครวญคราญระงมไปทั่วบริเวณ สิ้นเสียงร้องเมื่อใด ย่อมหมายถึง มันได้จบสิ้นชีวิตแล้วเมื่อนั้น ตัวไหนตายช้า ก็ได้รับความทรมาณมากกว่าตัวที่ตายเร็ว แต่อย่างไรก็ดี ดูว่าจะมีน้อยรายเหลือเกินที่ตายเร็ว มีแต่นอนร้องครวญครางอยู่เช่นนั้นเป็นสองวันจึงจะตาย ทั้งนี้อาจจะเป็นด้วยการหาอุบายสืบต่อชีวิตสัตว์เหล่านั้น ให้ทรมาณอย่างสาสมกับกรรมที่ทำไว้ ของเหล่าผู้คุมเพชฌฆาตก็เป็นได้

อีกแดนหนึ่ง ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกัน และมีชื่อเรียกกันว่า แดนนักโทษประหาร เช่นเดียวกัน แต่แดนนี้มีภูเขาเป็นกำแพงล้อมรอบ และวิธีประหารของเพชฌฆาตก็แตกต่างกัน โดยใช้สายบรรทัดเหล็ก โตเท่าลำตาล ลุกโชนด้วยเปลวไฟ ฟาดลงมาบนร่างของสัตว์นรก ที่มัดให้นอนหงายอยู่บนแผ่นเหล็กทองแดง ยังผลให้ร่างนั้นขาดเป็นสองท่อน ท่ามกลางเสียงร้องไห้ ครวญครางอย่างโหยหวลของพวกมัน

ยิ่งไปกว่านั้น ในแดนนี้ยังมีพิเศษอยู่อีกอย่างหนึ่งนั่นคือ ตรงประตูด้านหลัง ซึ่งเปิดโล่งไว้ให้สัตว์นรก เผลอวิ่งหนีออกไป ให้รอดพ้นจากความตาย ที่กำลังคุกคามตนอยู่ทุกขณะนั้น มีแผ่นเหล็กที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟอยู่แผ่นหนึ่ง พอมันวิ่งไปถึง มันจะแล่นมาสกัดกั้น เผาสัตว์ทั้งหลายให้วอดวายไปในพริบตาทีเดียว

ถัดจากแดนที่สองนี้ไปอีกเล็กน้อย ก็เป็นแดนนักโทษประหารอีกแดนหนึ่ง ในแดนนี้มีวิธีประหารด้วยการเอาลวดเหล็กเส้นใหญ่ มัดสัตว์นรก ฉุดกระชากไปนอนหงายบนแผ่นเหล็กแดง แล้วกระหน่ำด้วยค้อนเหล็กอันใหญ่ ให้บี้แบนแตกกระจุยกระจายไป ไม่ต่างอะไรกับนายช่างตีเหล็ก

อีกวิธีหนึ่งก็คือ การขุดหลุมฝังสัตว์นรกนั้นไว้เพียงแค่เอว และเอาเชือกมัดรั้งแขนไว้ มิให้กระดุกระดิกได้ สักครู่มีลูกกลิ้งอันใหญ่ ที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟ แล่นมาจากทิศตะวันออก ตรงเข้าบดขยี้ร่างนั้นเป็นจุณวิจุณไป

มีสัตว์นรกบางตัวที่กระเสือกกระสนดิ้นรนหนี แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีทางพ้นไปได้ ตัวที่ถูกจับได้ก่อน ก็พูกมัดโยงเอาไว้เหนือกองไฟที่กำลังลุกโชน เพียงชั่วไม่กี่มากน้อยก็จบสิ้นชิวิตชั่วของมัน กลางกองเพลิง สำหรับตัวที่มีเท้าไฟ วิ่งหนีไปได้คล่องแคล่วว่องไว พอวิ่งไปไม่ทันพ้นเขตแดน ก็มีกองไฟผุดขึ้นข้างหน้า และล้อมข้างซ้ายขวาไว้ มิให้หนีต่อไป แล้วก็ขณะที่มันวิ่งพล่านไปมาอยู่ระหว่างกองไฟนั้นเอง มีภูเขาสองลูก กลิ้งมาบดขยี้แหลกเหลวไปในทันทีทันใด

สำหรับแดนที่สี่ มีเปลวไฟติดตลอดไปทั่วพื้นที่ ซึ่งปูด้วยแผ่นเหล็กหนา ราบเรียบดุจหน้ากลอง และมีดอกบัว กรวดหนามแหลมคม สำหรับครอบคลุมร่างของสัตว์นรกไว้ ตั้งแต่ศีรษะลงไปจนถึงเท้า ส่วนเปลวไฟเบื้องล่าง ก็พุ่งขึ้นมาครอกสัตว์นรกนั้น ตลอดแนวที่ดอกบัวกรดครอบคลุมอยู่ ทำให้มันร้องลั่นเสียงหลง และร้อนเร่าเผาไหม้อยู่เช่นนั้น จนกว่าจะขาดใจตาย

บางตัวดิ้นไปดิ้นมา สามารถถอนดอกบัวกรดขึ้นจากคอได้ จึงรีบวิ่งหนีออกไป ฝ่ายผู้คุมเห็นเข้า ก็ฉวยเอากระบองเหล็กอันใหญ่ ไล่ตามตีมันจนหัวเละ มันสมองไหล ล้มฟาดลงสิ้นใจอยู่ ณ ที่นั้น

แดนประหารต่อไป มีหลาวเหล็กใหญ่เท่าลำตาล กำลังรุ่งโรจน์เป็นเปลวไฟ ปักอยู่ในแดนนี้เป็นหมื่นแสนอัน และเหล็กหลาวเหล่านั้น มีสัตว์นรกเสียบอยู่ตรงปลายภายใต้เปลวไฟ ที่พุ่งขึ้นไปเผาไหม้ จนเกรียมอยู่กับปลายหลาวเหล็ก ไม่ผิดอะไรกับเนื้อเสียบไม้ ปิ้งบนถ่านไฟ ฉะนั้น

และครั้นเนื้อหนังของสัตว์นรกไหม้เกรียมแล้ว ก็มีสุนัขใหญ่ วิ่งมาลากลงจากปลายหลาวเหล็ก มาเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย

อีกแดนหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไปอีกไม่เท่าไร แดนนี้ทั้งลึกทั้งกว้าง มีกำแพงล้อมรอบถึงสองชั้น ชั้นนอกเป็นกำแพงเหล็กอย่างที่ผ่านมา แต่ชั้นในเป็นภูเขาเหล็กใหญ่ ลุกโชนด้วยเปลวไฟ และบนพื้นแผ่นเหล็กเหล่านั้น มีขวากเหล็กแหลมปักเรียงรายอยู่เต็ม พอสัตว์นรกถูกไล่หนีขึ้นไปบนภูเขานั้น ก็มีลมกรดพดขวากเหล็กมาเสียบหน้าเสียบหลังของพวกมัน ล้มตายกันเกลื่อนกลาด ไม่มีทางใด จะรอดพ้นไปได้แม้แต่ตัวเดียว

แดนประหารแหล่งสุดท้าย ใหญ่กว่าทุกแดนในนรก ล้อมรอบด้วยกำแพงเหล็กเป็นเปลวไฟ และภายใน มีเปลวไฟ ลุกไหม้สัตว์นรกอยู่ตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน ทนได้ก็ทนไป หารทนไม่ไหว ก็ตายไปเท่านั้นเอง

"พระคุณเจ้าขอรับ ที่นี่แหละ คือ โลกันตนรก หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า อเวจี ล่ะ" ยมพบาลเอ่ยขึ้นภายหลังที่พระมาลัย ตระเวณดูทั่วทุกแดนแล้ว "แดนนี้เป็นแดนที่ยิ่งใหญ่และมีความหฤโหดทารุณที่สุด พระคุณเจ้า"

"งั้นก็เป็นแดนสุดท้ายแล้วซีท่าน?" พระเถระย้อนถาม

"ถูกแล้วขอรับ แดนนี้เป็นแดนสุดท้าย หมดสิ้นเมืองนรกเพียงแค่นี้"

"แหม! น่าชมมิใช่เล่นนะท่าน เออว่าแต่ นรกทั้งหมดนี่ เมื่อรวมแล้ว มีกี่แดนด้วยกัน ท่านยมพบาล?"

"มีมากแดนเหลือเกินขอรับ เฉพาะแดนใหญ่ๆ ก็มี 8 แดน และแต่ละแดนยังแยกออกเป็นแดนเล็กๆน้อยๆ เรียกว่าแดนบริวาร อีก 16 แดน เบ็ดเสร็จทั้งแดนเล็กแดนใหญ่ ดูเหมือนจะมีไม่น้อยกว่า 136 แดน แล้วก็ยังมีแดนปลีกย่อย สำหรับลงโทษสัตว์นรก ผู้มีโทษน้อย นับไม่ถ้วน พระคุณเจ้า"

"แล้วทำยังไง ท่านจึงสามารถดูแลทั่วถึงได้เล่า?" พระมาลัยซักต่อไป

"ข้าพเจ้าดูแลโดยใช้ผู้ช่วยหลายคนขอรับ พระคุณเจ้า โดยเฉพาะแดนใหญ่ๆ แต่ละแดน ข้าพเจ้ามีผู้ช่วยถึง 4 คน รวมทั้งหมด 32 คน และผู้ช่วยของข้าพเจ้าแต่ละคน มีสุวานคอยทำหน้าที่ จดรายงานถึง 4 คนด้วยกัน รวมแล้ว มีสุวานถึง 128 คน"

"หมายความว่า ผู้ช่วยของท่านทุกคน ต้องคอยรายงานการลงโทษสัตว์นรก ผู้มีกรรมให้ท่านทราบอยู่เสมอยังงั้นหรือ?"

"ถูกแล้วขอรับ พระคุณเจ้า และโดยรายงานของผู้ช่วยพวกนี้แหละ ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า คนไหนได้รับโทษครบถ้วนตามกรรมที่ตนทำไว้หรือยัง? หรือว่ายังมีเศษกรรมใดๆตกค้างอยู่อีก แต่หมดหน้าที่ของเมืองนรกแล้ว ข้าพเจ้าก็สั่งให้เขาไปเกิดเป็นเปรต ชดใช้หนี้กรรมนั้นต่อไปในโลกมนุษย์"

พระคุณเจ้าจากโลกมนุษย์ ฟังยมพบาลอธิบายดังกล่าวนั้น ก็เข้าใจเป็นอันดี และครั้นจะถามต่อไปอีก ก็เห็นว่ารบกวนเจ้านรกมาพอสมควรแล้ว จึงกล่าวขอบอกขอบใจและอำลากลับ "ไว้วันหน้า อาตมาจะมารบกวนท่านยมพบาลอีก" พระเถระกล่าวในที่สุด

ยมพบาลกระพุ่มมือไหว้แสดงความเคารพ

"นิมนต์ได้ทุกเมื่อขอรับ พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าจะคอยต้อนรับ ถวายคำอธิบายแก่พระคุณเจ้าด้วยความยินดีเสมอ"

"ขอบคุณท่านมาก อาตมาลาก่อน"

ว่าแล้ว พระเถระจากเมืองมนุษย์ ก็นั่งเข้าจตุตถฌาน แผลงฤทธิ์ชำแรกแผ่นดิน ขึ้นไปยังโลกมนุษย์ทันที