แสดงธรรม โดย พระราชนิโรธรังสี   (เทสก์   เทสรังสี)
วัดหินหมากเป้ง   อำเภอศรีเชียงใหม่   จังหวัดหนองคาย
ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ   สัมพันธ์
<<   คัดลอกมาจากหนังสือ   "ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ   สัมพันธ์"   ซึ่งจัดพิมพ์เพื่อแจกเป็นอนุสรณ์   เนื่องในการทำบุญฉลองอายุครบ   90   ปีบริบูรณ์   ของหลวงปู่เทสก์   เทสรังสี   ในวันที่   26   เมษายน   2535   โดยเป็นการนำต้นฉบับที่เขียนโดยลายมือหลวงปู่มาจัดพิมพ์   -   พิม   >>
คำนำ
         คณะศิษยานุศิษย์ปรารภในการที่จะจัดพิมพ์หนังสือแจกเป็นอนุสรณ์   เนื่องในการทำบุญฉลองอายุครบ   ๙๐   ปีบริบูรณ์ของผู้เขียน   ในวันที่   ๒๖   เมษายน   ๒๕๓๕   นี้   ด้วยเหตุผลว่าหนังสือที่พิมพ์มานานแล้วไม่พอกับการแจกจ่าย   ได้มาหารือกับผู้เขียนว่าจะพิมพ์หนังสืออะไรดี   ผู้เขียนพิจารณาเห็นว่าหนังสือที่ได้เขียนไว้ที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน   คือเรื่อง   ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ   สัมพันธ์   ซึ่งสมควรที่ผู้ปฏิบัติธรรมกรรมฐานพึงรู้เรื่องโดยถ่องแท้   ด้วยเหตุว่า   ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ   สัมพันธ์   นี้เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนา   จึงสมควรแท้ที่ผู้ปฏิบัติพึงทำความเข้าใจ   เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมให้เจริญยิ่งๆ   ขึ้นไป   ผู้เขียนจึงเลือกหนังสือธรรมะเรื่องดังกล่าวให้ไปจัดพิมพ์แจกในงานครั้งนี้
         ขออนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่งแก่คณะศิษยานุศิษย์ทั้งหลายที่มีศรัทธาและกุศลเจตนาพิมพ์หนังสือแจกเป็นธรรมทานในครั้งนี้
         พระราชนิโรธรังสี
         ๑   เมษายน   ๒๕๓๕
คำปรารภ
         เนื่องในงานฉลองอุโบสถฝังลูกนิมิต   วัดพระงามศรีมงคล   ซึ่งพระครูสีลขันธ์สังวร   (อ่อนสี)   ได้ชักชวนญาติโยมพากันก่อสร้างมาเป็นเวลานานถึง   ๑๐   กว่าปี   สิ้นเงินไปประมาณล้านกว่าบาท   บัดนี้ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้วด้วยความภาคภูมิใจยิ่ง   การสร้างอุโบสถเป็นงานใหญ่แลงานละเอียด   ต้องใช้เวลาแลความอดทนกล้าหาญต่อสู้กับอุปสรรคนานาประการจึงจะสำเร็จได้   พระครูสีลขันธ์สังวรท่านมีคุณธรรมดังกล่าวแล้วครบครันในตัวของท่าน   จึงสามารถสร้างอุโบสถหลังนี้ให้สำเร็จได้   ซึ่งพระบางรูปแม้แต่ตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้   นอกจากนี้   ถาวรวัตถุอันมีอยู่ในวัดพระงามศรีมงคลที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ทั้งหมด   ก็สำเร็จด้วยฝีมือของท่านทั้งนั้น   (ขณะที่ท่านกำลังทำการก่อสร้างอุโบสถหลังนี้อยู่   ท่านยังได้ชักชวนคณะญาติโยมให้ช่วยกันสร้างอุโบสถ   วัดพระเจ้าองค์ตื้อ   อันเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมให้กลับคืนดีมาอีกด้วย)
         ฉะนั้นท่านจึงเป็นที่เคารพนับถือของเหล่าพุทธศาสนิกชนเป็นอันมาก   ในการฉลองฝังลูกนิมิตครั้งนี้   กรรมการจัดงานวัดไม่ได้ทำรูปเหรียญหรือเครื่องขลังของรางเป็นเครื่องชำรวยแก่ผู้ที่มาบริจาคใดๆ   ทั้งนั้น   จะรับแต่เฉพาะผู้ที่มีจิตศรัทธาบริจาคสมทบก่อสร้างเท่านั้น   แลได้พิมพ์หนังสือประวัติของวัดแลของพระครูสีลขันธ์แจกเป็นธรรมทานด้วย   ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่า   หนังสือควรจะให้มีเนื้อหาเป็นสารธรรมอยู่บ้าง   ในขณะเดียวกันนี้   ข้าพเจ้าก็กำลังเขียนธรรมบรรยาย   ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ   สัมพันธ์อยู่แล้ว   จึงได้ถือโอกาสรีบเขียนเพื่อให้เสร็จทันพิมพ์ต่อท้ายในหนังสือเล่มนี้ด้วย   หนังสือเล่มนี้   หากท่านผู้อ่านไม่เห็นเป็นหญ้าปากคอกละก็   หวังว่าคงจะไม่ไร้สาระแลให้ประโยชน์แก่ท่านผู้สนใจในธรรมปฏิบัติตามสมควร   โดยเฉพาะท่านผู้เจริญกรรมฐานภาวนา   ถ้าอุสส่าห์คิดค้นตรึกตรองตาม   อาจทำให้ท่านได้รับความรู้แปลกๆ   ขึ้นมาบ้าง   ดีกว่าจะนั่งหลับตาเพ่งเอาความสุขสงบแล้วโงกง่วงซึมเซ่ออยู่เฉยๆ   หากไม่คิดค้นตามหลักธรรมให้เกิดแสงสว่างบ้าง   จะไม่สามารถรักษาภูมิจิตของตนไว้ได้เลย   แล้วก็ขอเตือนไว้   ณ   ที่นี้เสียเลยว่า   การคิดค้นพิจารณาอย่าให้หนีจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์   ถ้าคิดค้นไปตามอารมณ์ชอบใจแล้ว   มิใช่แตกปลอกแค่   มันมีหวังปลอกแตกแน่   การรู้จักประมาณ   ท่านผู้รู้ทั้งหลายชมว่าเป็นของดี
เทสรังสี.
         ธรรมกถาซึ่งจะอธิบายต่อไปนี้จะได้ยกธรรมสามกองคือ   ธาตุ   ๔   ขันธ์   ๕   อายตนะ   ๖   ขึ้นมาตั้งเป็นกระทู้แล้วจะได้อธิบายเป็นลำดับต่อไป   เพราะธรรมสามกองนี้เป็นของจำเป็นแก่ผู้ใครในธรรม   ไม่ว่าทางโลกียะแลโลกุตตร   จำเป็นต้องดำเนินแลค้นคว้าพิจารณาตามหลักธรรมสามกองนี้ทั้งนั้น   จึงจะบรรลุตามเข้าหมายของตนได้   อนึ่ง   ธรรมสามกองนี้ก็เป็นของที่มีพร้อมอยู่ในตัวของคนเราแต่ละคนอยู่แล้ว   เมื่อเรามารู้เท่าเข้าใจในธรรมสามกองซึ่งมีอยู่ในตัวของเรานี้แล้ว   ก็จะรู้ธรรมอื่นๆ   ซึ่งนอกออกไปจากตัวของเรา   ซึ่งมีสภาพเช่นเดียวกันนี้   หากหลงใหลเข้าใจผิดไปในธรรมสามกองซึ่งมีอยู่ในตัวของเรานี้แล้ว   ธรรมอื่นๆ   ซึ่งมีอยู่นอกออกไปจากตัวของเราก็จะหลงใหลเข้าใจผิดไปหรอก
ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ   สัมพันธ์
         มนุษย์ตัวตนคนเราที่เกิดขึ้นมาแล้วนี้ย่อมมีของสามอย่างนี้เป็นสมบัติเบื้องต้น   ก่อนจะมีสมบัติใดๆ   ทั้งสิ้น   แล้วก็เป็นของสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันโดยเฉพาะด้วย   จะดีจะชั่วจะสุกจะดิบจะเป็นโลกเป็นธรรม   ก็ต้องมีของสามอย่างนี้เสียก่อนเป็นมูลฐาน   เป็นเครื่องวัดเครื่องหมายแสดงออกมาว่าอะไรเป็นอะไร   ผู้ถือว่าเราว่าเขาว่าสุขว่าทุกข์   ก็ถืออยู่ในองค์ของสามอย่างนี้   หลงอยู่ในห้วงของสามอย่างนี้   ผู้จะรู้แจ้งเห็นจริงจนเป็นสัจจะก็รู้แจ้งเห็นจริงในของสามอย่างนี้   ของสามอย่างนี้เป็นเครื่องวัดเครื่องเทียบโลกแลธรรมได้เป็นอย่างดี   ผู้ไม่เห็นของสามอย่างนี้ก็ตกไปจมอยู่ในของสามอย่างนี้   หรือผู้ที่เห็นแล้วแต่ยังไม่ชัดแจ้งก็ปล่อยวางไม่ได้เข้าไปยึดเอามาเป็นของตัวก็มี   เรียกย่อๆ   ว่าผู้เห็นตนเป็นโลกแล้วย่อมไปดึงเอาของสามอย่างนั้นหรือสิ่งเกี่ยวเนื่องของสามอย่างนั้นมาเป็นโลกไปด้วย   ส่วนผู้ที่ท่านเห็นว่าตนเป็นธรรมแล้ว   ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแต่สักว่าธรรมเท่านั้น   หาได้มีตนมีตัวหรืออะไรทั้งหมดไม่   เช่นธาตุสี่   ก็เป็นสักแต่ว่าธรรมธาตุ   ขันธ์   ๕   ก็เป็นสักว่าธรรมขันธ์   ส่วนอายตนะ   ๖   ก็รวมอยู่ในธรรมทั้งสองนี้
         ฉะนั้นต่อไปนี้จะได้อธิบายถึงธรรมสามอย่างที่กล่าวข้างต้นนั้น   เพื่อประโยชน์แก่ผู้ใคร่ในธรรม   แล้วจะได้นำไปพิจารณาเพื่อเป็นแนวทางนำไปสู่ความสว่างของชีวิตต่อไป   ธรรมสามอย่างนั้นได้แก่   ธาตุ   ๔   ขันธ์   ๕   อายตนะ   ๖
         หากจะถามว่า   ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ   มีเท่านี้หรือ   ทำไมจึงแสดงแต่   ธาตุ   ๔   ขันธ์   ๕   อายตนะ   ๖   เท่านั้น   ตอบว่า   ธาตุมีมาก   เช่นธาตุ   ๖   อายตน   ๑๘   หรือสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในโลกนี้เรียกว่าธาตุทั้งหมด   ดังที่ท่านเรียกว่า   "โลกธาตุ"   แม้พระนิพพาน   ท่านก็เรียกว่านิพพานธาตุ   ขันธ์ก็มีมากเหมือนกัน   ขันธ์แปลว่ากองว่าเหล่าหรือหมู่หมวด   ท่านแสดงภูมิของสัตว์ที่ยังมีกิเลสเวียนอยู่ในโลกนี้ไว้ว่า   ต้องเกิดอยู่ในภพที่มีขันธ์   ๕   ได้แก่มนุษย์และต่ำลงไปกว่ามนุษย์   ตลอดถึงนรก   ๑   ขันธ์   ๔   ได้แก่เทพผู้ไม่มีรูป   ๑   ขันธ์ได้แก่พรหมผู้มีรูป   ๑   รวมความจริงแล้วโลกนี้พร้อมเทวโลกแลพรหมโลก   ท่านก็เรียกว่าขันธ์โลก   ส่วนข้อความแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแลดงไว้แล้วเป็นหมวดหมู่   ท่านก็เรียกว่าขันธ์ทั้งนั้น   ที่เรียกว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามี   ๘๔๐๐๐   พระธรรมขันธ์   ดังนี้เป็นต้น   ส่วนอายตนะนี่ก็แยกออกไปจากธาตุ   ๔   ขันธ์   ๕   แต่มีหน้าที่การงานมากไปกว่าที่แสดงย่อๆ   ก็เพราะต้องการจะแสดงแต่เฉพาะ   ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ   อันเป็นมูลฐานล้วนๆ   เท่านั้น
ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ   สัมพันธ์
ธาตุ ๔
         ธาตุ   ๔   เป็นวัตถุอันเป็นที่ตั้งมูลฐานของสิ่งทั้งปวง   แม้แต่ธรรมทั้งหลายที่เป็นนิยานิกธรรมอันจะดำเนินให้ถึงวิมุติด้วยสมถะวิปัสสนา   ก็จะหนีจากธาตุสี่นี้ไม่ได้   แต่ธาตุ   ๔   เป็นวัตถุธาตุล้วนๆ   ไม่เกี่ยวกับนามธรรมแลกิเลสใดๆ   เลย   ท่านจำแนกออกเป็นกองๆ   ตามลักษณะของธาตุนั้นๆ   เช่นสิ่งใดที่มีอยู่ในกายนี้มีลักษณะข้นแข็ง   ท่านเรียกว่า   ธาตุดิน   มี   ๑๘   อย่าง   คือ   ผม   ๑   ขน   ๑   เล็บ   ๑   ฟัน   ๑   หนัง   ๑   เนื้อ   ๑   เอ็น   ๑   กระดูก   ๑   เยื่อในกระดูก   ๑   ม้าม   ๑   หัวใจ   ๑   ตับ   ๑   พังผืด   ๑   ไต   ๑   ปอด   ๑   ไส้ใหญ่   ๑   ไส้น้อย   ๑   อาหารใหม่   ๑   อาหารเก่า   ๑   (ถ้าเติมกะโหลกศีรษะและมันสมองศีรษะเข้าด้วยก็เป็น   ๒๐   พอดี   แต่ที่ไม่เติมเพราะไปตรงกับกระดูกและเยื่อในกระดูก   จึงยังคงเหลือ   ๑๘)
         ธาตุน้ำ สิ่งใดที่มีลักษณะเหลวๆ   ท่านเรียกว่าธาตุน้ำ   มี   ๑๒   คือ   น้ำดี   ๑   น้ำเสลด   ๑   น้ำเหลือง   ๑   น้ำเลือด   ๑   น้ำเหงื่อ   ๑   นั้นมันข้น   ๑   น้ำตา   ๑   น้ำมันเหลว   ๑   น้ำลาย   ๑   น้ำมูก   ๑   น้ำมันไขข้อ   ๑   น้ำมูตร   ๑
         ธาตุไฟ สิ่งใดที่มีลักษณะให้อบอุ่น   ท่านเรียกว่า   ธาตุไฟ   มี   ๔   คือ   ไฟทำให้กายอบอุ่น   ๑   ไฟทำให้กายทรุดโทรม   ๑   ไฟช่วยเผาอาหารให้ย่อย   ๑   ไปทำความกระวนกระวาย   ๑
         ธาตุลม สิ่งใดที่มีลักษณะพัดไปมาอยู่ในร่างกายนี้   สิ่งนั้นท่านเรียกว่าธาตุลม   มี   ๖   คือ   ลมพัดขึ้นเบื้องบน   ทำให้มึน   งงหาวเอื้อมอ้วกออกมา   ๑   ลมพัดลงข้างล่างทำให้ระบายเผยลม   ๑   ลมในท้องทำให้ปวดเจ็บท้องขึ้นท้องเฟ้อ   ๑   ลมในลำไส้ทำให้โครกครากคลื่นเหียนอาเจียน   ๑   ลมพัดไปตามตัวทำให้กายเบาแลอ่อนละมุนละไม   ขับไล่เลือดและโอชาของอาหารที่บริโภคเข้าไป   ให้กระจายซึมซาบไปทั่วสรรพางกาย   ๑   ลมระบายหายใจเข้าออกเพื่อยังชีวิตของสัตว์ให้เป็นอยู่   ๑   หรือจะนับเอาอากาศธาตุคือช่องว่างที่มีอยู่ตัวของเราเช่น   ช่องปาก   ช่องจมูก   เป็นต้น   เข้าด้วยก็ได้   แต่อากาศธาตุก็เป็นลมชนิดหนึ่งอยู่แล้วจึงสงเคราะห์เข้าในธาตุลมด้วย   มนุษย์ทั้งหลายที่เราๆ   ท่านทั้งหลายที่เห็นกันอยู่นี้   ถ้าจะพูดตามเป็นจริงแล้วมิใช่อะไร   มันเป็นแค่สักว่าก้อนธาตุมารวมกันเข้าเป็นก้อนๆ   หนึ่งเท่านั้น   มนุษย์คนเราพากันมาสมมติเรียกเอาตามชอบใจของตนว่านั่นเป็นคนนั่นเป็นสัตว์   นั่นเป็นนั่นเป็นนี่ต่างๆ   นานาไป   แต่ก้อนอันนั้นมันก็หาได้รู้สึกอะไรตามสมมติของตนไม่   มันมีสภาพเป็นอยู่อย่างไรมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นตามเดิม   อย่างไปสมมติว่าหญิงว่าชายว่าหนุ่มว่าแก่ว่าสวยไม่สวย   ก้อนธาตุอันนั้นมันก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย   หน้าที่ของมันเมื่อประชุมกันเข้าเป็นก้อนแล้วอยู่ได้ชั่วขณะหนึ่งแล้วมันก็ค่อยแปรไปตามสภาพขอมัน   ผลที่สุดมันก็แตกสลาย   แยกกันไปอยู่ตามสภาพเดิมของมันเท่านั้นเอง   ใจของคนเราต่างหากเมื่อความไม่รู้เท่าเข้าใจตามเป็นจริงแล้ว   ก็ไปสมมติว่าเป็นคนเป็นหญิงเป็นชาย   สวย-ไม่สวย   สวยก็ชอบใจรักใคร่อยากได้มาเป็นของตน   ไม่สวยก็เกลียดเหยียดหยามดูถูกไม่ชอบใจไม่อยากได้อยากเห็น   ใจไปสมมติเอาเองแล้วก็ไปหลงติดสมมติของตัวเอง   เพิ่มพูนกิเลสซึ่งมันหมักหมมอยู่แล้วให้หนาแน่นขึ้นอีก   กิเลสอันเกิดจากความหลงเข้าใจผิดนี้   ถ้ามีอยู่ในจิตสันดานของบุคคลใดแล้วหรืออยู่ในโลกใดแล้ว   ย่อมทำบุคคลนั้นหรือโลกนั้นให้วุ่นวายเดือดร้อนมากแลน้อย   ตามกำลังพลังของมัน   สุดแล้วแต่มันจะบันดาลให้เป็นไป   ฯ
         ความจริงธาตุ   ๔   มันก็เป็นธาตุล้วนๆ   มิได้ไปก่อกรรมทำเข็ญให้ใครเกิดกิเลสหลงรักหลงชอบเลย   ถึงก้อนธาตุจะขาวจะดำสวยไม่สวย   มันก็มีอยู่ทั่วโลก   แล้วก็มีมาแต่ตั้งโลกโน่น   ทำไมคนเราพึ่งเกิดมาชั่วระยะไม่กี่สิบปีจึงมาหลงตื่นหนักหนาจนทำให้สังคมวุ่นวายไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร   มืดบอดยิ่งกว่ากลางคืน   ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าของพวกเราทั้งหลายผู้ทรงประสงค์ความสันติสุขแก่โลก   จึงทรงจำแนกสมมติที่เขาเหล่านั้นกำลังพากันหลงติดอยู่เหมือนลิงติดถัง   ออกให้เป็นแต่สักว่าธาตุ   ๔   ดังจำแนกมาแล้วข้างต้น   หรือจะเรียกว่าพระองค์ทรงบัญญัติให้เป็นไปตามสภาพของเดิม   เพื่อให้เขาเหล่านั้นที่หลงติดสมมติอยู่แล้ว   ให้ค่อยๆ   จางออกจากสมมติแล้วจะได้เห็นสภาพของจริง   บัญญัตินี้ไม่เป็นตนเป็นตัว   เป็นสภาพธรรมอันหนึ่ง   แล้วบัญญัติเรียกขื่อเป็นเครื่องหมายใช้ชั่วคราวเท่านั้น   ถ้าผู้มาพิจารณาเห็นกายก้อนนี้เป็นสักแต่ว่าธาตุ   ๔   แล้ว   จะไม่หลงเข้าไปยึดเอาก้อนธาตุมาเป็นอัตตาเลย   อันเป็นเหตุให้เกิดกิเลสหยาบช้าฆ่าฟันกันล้มตายอยู่ทุกวันนี้   ก็เนื่องจากความหลงเข้าไปยึดก้อนธาตุว่าเป็นอัตตาอย่างเดียว   ผู้ใคร่ในธรรมข้อนี้จะทดลองพิจารณาให้เห็นประจักษ์ด้วยตนเองอย่างนี้ก็ได้   คือพึงทำใจให้สงบเฉยๆ   อยู่   อย่าได้นึกอะไรแลสมมติว่าอะไรทั้งหมด   แม้แต่ตัวของเราก็อย่านึกว่านี่คือเราหรือคน   แล้วเพ่งเข้ามาดูตัวของเราพร้อมกันนั้นก็ให้มีสติทำความรู้สึกอยู่ทุกขณะว่า   เวลานี้เราเพ่งวัตถุสิ่งหนึ่ง   แต่ไม่มีชื่อว่าอะไร   เมื่อเราทำอย่างนี้ได้แล้ว   จะเพ่งดูสิ่งอื่นคนอื่นหรือถ้าจะให้ดีแล้วเพ่งเข้าไปในสังคมหมู่ชนมากๆ   ในขณะนั้นอาจทำให้เกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาในใจแปลกๆ   และเป็นสิ่งน่าขบขันมาก   อย่างน้อยหากท่านมีเรื่องอะไรหนักหน่วงและยุ่งเหยิงอยู่ภายในใจของท่านอยู่แล้ว   เรื่องทั้งหมดนั้นหากจะไม่หายหมดสิ้นไปทีเดียว   ก็จะเบาบางแลรู้สึกโล่งใจของท่านขึ้นมาบ้างอย่างน่าประหลาดทีเดียว   หาดท่านทดลองดูแล้วไม่ได้ผลตามที่แสดงมาแล้วนี้   ก็แสดงว่าท่านยังทำใจให้สงบไม่ได้มาตรฐานพอจะให้ธรรมเกิดขึ้นมาได้   ฉะนั้นจึงขอให้ท่านพยายามทำใหม่จนได้ผลดังแสดงมาแล้ว   แล้วท่านจะเกิดความเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า   เป็นคำสอนที่นำผู้ปฏิบัติให้ถึงความสันติได้แท้จริง   ฯ
         อนึ่ง   คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนเพื่อสันติ   ผู้ที่ยังทำใจของคนให้สงบไม่ได้แล้ว   จะนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นสันติมาพิจารณาก็ยังไม่เกิดผล   หรือมาตั้งไว้ในใจของตนก็ยังไม่ติด
         ฉะนั้น   จึงขอเตือนไว้   ณ   โอกาสนี้เสียเลยว่าผู้จะเข้าถึงธรรม   ผู้จะเห็นธรรม   รู้ธรรม   ได้ธรรม   พิจารณาธรรมใจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งที่แสดงมาแล้วและกำลังแสดงอยู่หรือที่จะแสดงต่อไปนี้ก็ดี   ขอได้ตั้งใจทำความสงบเพ่งอยู่เฉพาะในธรรมนั้นๆ   แต่อย่างเดียว   แล้วจึงเพ่งพิจารณาเถิดจึงจะเกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมนั้นๆ   อย่างถูกต้อง   เรื่อง   ธาตุ   ๔   เป็นสภาวธรรมเป็นจริงอยู่ตามธรรมชาติแล้ว   แต่คนเรายังทำจิตของตนไม่ให้เข้าถึงสภาพเดิม   (คือความสงบ)   จึงไม่เห็นสภาพเดิมของธาตุ   ธาตุ   ๔   เมื่อผู้มาพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว   จะเห็นว่า   ธาตุเป็นสักแต่ว่าธาตุ   มันมีสภาพเป็นอยู่เช่นไร   มันก็เป็นอยู่เช่นนั้นตามสภาพของมัน   ธาตุมิได้ก่อกวนให้ใครเกิดกิเลสความรักแลความหวัง   หรือโลภโกรธหลงอะไรเลย   ใจของคนเราก็เป็นธาตุเหมือนกัน   เรียกว่ามโนธาตุ   หากผู้มาพิจารณาให้เห็นสิ่งทั้งปวงเป็นแต่สักว่าธาตุคือเห็นธาตุภายใจ   (คือกายก้อนนี้)   และธาตุภายนอก   (คือนอกจากกายของเรา)   และมโนธาตุ   (คือใจ)   ตามเป็นจริงแล้ว   ความสงบสุขก็จะเกิดมีแก่เหล่าประชาสัตว์ทั่วหน้ากัน   สมตามพุทธประสงค์ที่พระพุทธองค์ตั้งปณิธานไว้ทุกประการ
ขันธ์   ๕
         เมื่อได้อธิบายธาตุ   ๔   มาพอสมควรแล้ว   ต่อจากนี้ไปจะได้อธิบายขันธ์   ๕   ซึ่งเป็นของเกี่ยวเนื่องกันมา   ธาตุ   ๔   เป็นวัตถุธาตุล้วนๆ   มิได้เกี่ยวเนื่องด้วยใจ   คนเราถ้ามีธาตุ   ๔   ล้วนๆ   ไม่มีใจแล้ว   ก็ไร้ค่าหาประโยชน์มิได้   หรือจะพูดให้สั้นๆ   ที่เรียกว่าคนตายนั้นเอง   ขันธ์คือกองแห่งธรรม   ในตัวของคนเรานี้   ท่านจัดกองแห่งธรรมไว้   ๕   ดวง   กองรูปได้แก่ธาตุ   ๔   ดังอธิบายมาแล้ว   เรียกว่ารูปขันธ์   อีก   ๔   กองเรียกว่านามขันธ์   คือ   เวทนาขันธ์   ๑   สัญญาขันธ์   ๑   สังขารขันธ์   ๑   วิญญาณขันธ์   ๑   อายตนภายใน   ๖   มีตาเป็นต้น   ประสบกับอายตนะภายนอก   ๖   มีรูปเป็นต้น   แล้วเกิดความรู้สึกเป็นสุขบ้างทุกข์บ้าง   หรือโสมนัส   โทมนัส   อุเบกขาเฉยๆ   เรียกว่าเวทนาขันธ์ฯ   อายตนะภายใน   ๖   ภายนอก   ๖   ประสบกันเข้าแล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมาดังอธิบายมาแล้วข้างต้น   แล้วจำได้หมายรู้ในอารมณ์นั้นๆ   แม้จะนานแสนนานทั้งที่เป็นอดีตแลอนาคตหรือปัจจุบัน   เรียกว่าสัญญาขันธ์ฯ   จิตชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากอายตนะทั้งสองนั้นประสบกันก็ดี   หรือเกิดลอยๆ   ขึ้นมาแล้วคิดนึกฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปต่างๆ   นานา   จนหาที่จบลงไม่ได้   เรียกว่าสังขารขันธ์   หมายถึงสังขารจิตโดยเฉพาะ   แต่ถ้าเป็นการตรึกตรองในเรื่องนั้นๆ   จนเห็นถ่องแท้ชัดเจนหมดกังขาด้วยปัญญาอันชอบแล้ว   เรียกว่า   "ธัมมวิจย"   มิได้เรียกสังขารขันธ์ฯ   วิญญาณมีมากอย่าง   วิญญาณในปฏิจจสมุปบาทเป็นวิญญาณนำเอาขันธ์ทั้ง   ๕   มาปฏิสนธิ   คือวิญญาณตัวนั้นต้องมีขันธ์ทั้ง   ๕   พร้อมมูลมาในตัว   จึงจะมาอุบัติในภูมิขันธ์   ๕   ได้   ถ้ามี   ๔   ก็ไปอุบัติในภูมิขันธ์   ๔   คือมีแต่นามไม่มีรูป   ความจริงรูปท่านก็เรียกรูปจิตเหมือนกัน   แต่เป็นรูปละเอียดพ้นเสียจากรูปขันธ์ที่อธิบายมาแล้วข้างต้น   ถ้ามีหนึ่งคือมีแต่เฉพาะวิญญาณตัวเดียว   ก็ไปอุบัติใน   "เอกโอปปาติก"   ที่เรียกว่าพรหมลูกฟัก   คือมีแต่รูปจิตอย่างเดียวนั้นเองฯ
         วิญญาณทำหน้าที่ในอายตนะได้แก่   ความรู้สึกในชั้นแรกของอายตนะทั้งสองประสบกัน   แต่ไม่ถึงกับจำอารมณ์หรือเสวยอารมณ์นั้นๆ   การจำอารมณ์เป็นหน้าที่ของสัญญา   การเสวยอารมณ์เป็นหน้าที่ของเวทนา   วิญญาณชนิดนี้จะเรียกว่าวิญญาณธาตุก็ได้ฯ   ส่วนวิญญาณในขันธ์   ๕   เป็นวิญญาณนามบัญญัติล้วนๆ   ยังไม่ได้ทำหน้าที่ใดๆ   เหมือนกับขันธ์อื่นๆ   ขันธ์   ๕   ก็เหมือนกันกับธาตุ   คือไม่ใช่ตัวกิเลสแลไม่ได้ทำให้ใครเกิดกิเลส   แต่ท่านจัดเป็นประเภทแห่งรูปธรรม-นามธรรม   เป็นกองๆ   ไว้เพื่อให้รู้ว่านั่นรูปนั่นนามเท่านั้น   กิเลสเกิดขึ้นเพราะผู้มาหลงสมมติแล้วเข้าไปยึดเอาขันธ์ว่าเป็นตัวของตนหรือตนเป็นขันธ์บ้างต่างหาก   เมื่อจะพูดให้เข้าใจง่ายแล้ว   ความที่เข้าใจผิดหลงไปยึดเดาขันธ์   ๕   ว่าเป็นของตนของตัว   หรือเห็นว่าตัวของตนเป็นขันธ์   ๕   บ้าง   มิฉะนั้น   ก็เห็นว่าขันธ์   ๕   นอกออกไปจากคนหรือคนนอกไปจากขันธ์   ๕   บ้าง   ความเห็นอย่างนั้นแล   จึงทำให้เข้าไปยึดถือจนเกิดกิเลสขึ้นเป็นทุกข์   ในเมื่อขันธ์เหล่านั้นเป็นไปตามปรารถนาแล้วก็ชอบใจเพลิดเพลินหลงระเริงลืมตัวมัวเมาประมาทจนเป็นเหตุให้ประกอบบาปกรรมความชั่วด้วยประการต่างๆ   หากขันธ์เหล่านั้นไม่เป็นไปตามปรารถนาก็ไม่ชอบใจ   เป็นทุกข์โทมนัสด้วยประการต่างๆ   ไม่เห็นตามสภาพความเป็นจริงของขันธ์นั้นๆ   ซึ่งมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมันอยู่อย่างนั้น   ธรรมที่พระอัสสชิแสดงแก่พระสารีบุตรเมื่อท่านยังเป็นนักบวชนอกพระศาสนาครั้งพบกันที่แรกว่า   ธรรมของพระสมณะโคดมทรงแสดงว่า   "ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ   เมื่อเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับไป"   ดังนี้   รูปขันธ์เกิดจากอวิชชา   ตัณหา   อุปาทาน   กรรม   ผู้มีปัญญามาพิจารณาเห็นแจ้งชัดด้วยตนเองแล้วว่า   ธรรมเหล่านั้นเป็นเหตุแห่งรูป   วิชชาเกิดขึ้นอย่างนั้นแล้ว   อวิชชาก็ดับไป   ธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น   ที่มีอยู่แล้วก็กลายเป็นวิบากไป   ที่จะเกิดใหม่อีกก็ไม่มี   กิเลสแลทุกข์ทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นเพราะความหลงในขันธ์แล้วเข้าไปยึดเอาขันธ์อัตตา   ดังแสดงมาแล้ว   ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า
  ภารหเว   ปญฺจักขนฺธา   |   ขันธ์   ๕   เป็นภาระจริง   |
  ภาราหาโร   จ   ปุคคโล   |   แต่บุคคลก็ยังถือภาระไว้   |
  ภาราทานํ   ทุกขํ   โลเก   |   การเข้าไปยึดถือเอาภาระไว้   เป็นทุกข์ในโลก   |
  ภารนิกเขปนํ   สุขํ   |   การปล่อยวางภาระเสีย   เป็นความสุข   |
  นิกขิปิตวา   ครุ   ภารํ   |   บุคคลปล่อยวางภาระเสียได้แล้ว   |
  อญฺญํ   ภารํ   อนาทิย   |   ไม่เข้าไปถือเอาสิ่งอื่นเป็นภาระอีก   |
  สมูลํ   ตณหํ   อพฺพุยห   |   เป็นผู้รื้อถอนตัณหากับทั้งรากได้แล้ว   |
  นิจฺฉาโต   ปรินิพฺพุโต   ติฯ   |   เป็นผู้หมดความอยากแล้วปรินิพพาน   ดังนี้ฯ   |
         ในพุทธพจน์นี้   แสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วว่า   ขันธ์   ๕   เป็นตัวทุกข์อยู่แล้วโดยธรรมชาติ   เมื่อผู้ใดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความสุขแล้วหลงเข้าไปยึดไว้   ผู้นั้นจะได้รับความทุกข์เดือดร้อนอย่างยิ่ง   เปรียบเหมือนผู้เห็นเปลวความร้อนของก้อนเหล็กแดงว่าเป็นของสวยงาม   หลงชอบใจเข้าไปกอดเอาด้วยความรัก   ความร้อนของก้อนเหล็กแดงนั้นจะมิได้ผ่อนความร้อนแล้วย่อมรับด้วยความปราณีเลย   ความร้อนของมันมีอยู่เท่าไรมันก็จะแผดเผาเอาผู้นั้นให้ไหม้เป็นเถ้าผงไปตามเคยฉะนั้น   สมกับพุทธพจน์ว่า   "สังขารา   ปรมา   ทุกขา   -   สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง"
         หากจะมีคำถามว่า   เป็นทุกข์เพราะอะไร?   ก็ต้องตอบว่า   เป็นทุกข์เพราะความหิว   ความไม่รู้จักพอ   ความหิว   ความไม่รู้จักพอไม่ว่าจะเป็นส่วนร่างกายหรือจิตใจ   เป็นทุกข์ทั้งนั้น   เมื่อความอิ่มความพอของจิตใจเกิดขึ้นมาแล้ว   ความสงบสุขของใจก็จะเกิดขึ้นมาทันที   แล้วจะมองเห็นความเกิดดับของขันธ์ตามความเป็นจริงดังอุปมา
         รูปขันธ์   "เปรียบเหมือนฟองน้ำอันเกิดจากคลื่นหรือระลอก   เป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมาชั่วครู่หนึ่งประเดี๋ยวแล้วก็ดับแตกไปเป็นน้ำตามเดิม"   รูปกายนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน   แปรสภาพเป็นรูปมนุษย์ชายหญิงหรือเป็นสัตว์ต่างๆ   นานา   มาจากธาตุ   ๔   อยู่ได้ชั่วระยะหนึ่งซึ่งคนเราเข้าใจว่านาน   แต่สัตว์บางจำพวกซึ่งมีอายุนานกว่า   เขาจะเห็นว่าชั่วครู่เดียวแล้วก็แตกดับสลายไปเป็นธาตุ   ๔   ตามเดิมฯ
         เวทนา   "เปรียบเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง   ลูกคลื่นเหมือนกับเป็นตัวตนกลิ้งมากระทบกับฝั่งดังซู่ซ่าแล้วสลายหายตัวไปเป็นน้ำตามเดิม"   เวทนาก็เกิดจากสัมผัส   แล้วมีความรู้สึกเปรียบเหมือนเสียงคลื่นเป็นสุขบ้างทุกข์บ้างหรือเฉยๆ   แล้วก็หายไป   เดี๋ยวสัมผัสอื่นมากระทบอีก   ดังนี้อยู่ตลอดกาลฯ
         สัญญา   "เปรียบเหมือนพยับแดด   ธรรมดาพยับแดดอันเกิดจากไอระเหยของความร้อน   เมื่อบุคคลเพ่งมองดูอยูแต่ที่ไกลจะแลเห็นเป็นตัวระยิบระยับเป็นกลุ่มเป็นหมู่ๆ   เมื่อเข้าไปถึงใกล้แล้ว   สิ่งที่เห็นอยู่นั้นก็จะหายไป"   ฉันใด   สัญญาความจำที่เกิดจากสัมผัสในอายตนะทั้ง   ๖   ก็ผลุบๆ   โผล่ๆ   เกิดทางตาบ้าง   ทางหูบ้าง   โน่นบ้าง   นี่บ้างอยู่ตลอดกาล   ไม่เป็นของตัวเองเลยก็ฉันนั้นฯ
         สังขาร   "เปรียบเหมือนต้นกล้วย   ธรรมชาติของต้นกล้วยย่อมไม่มีแก่นเป็นธรรมดา"   สังขารรูปกายของคนเรานี้ก็หาสาระมิได้   เริ่มเกิดขึ้นมาก็มีสภาวะแปรสภาพไปพร้อมๆ   กันเลย   จะอยู่ได้นานแสนนาน   สภาพความแปรปรวนของสังขารก็เปลี่ยนแปลงไปตามทุกขณะอยู่อย่างนั้น   แล้วก็มีความแตกดับเป็นที่สุด   แม้แต่สังขารจิตคิดนึกปรุงแต่งเอาจริงเอาจังกันประเดี๋ยวๆ   ก็หายวูบไป   ฉะนั้นเหมือนกันฯ
         วิญญาณ   "เปรียบเหมือนมายา   ธรรมดาเรื่องของมายาแล้ว   มีแต่จะหลอกลวงผู้อื่นให้เข้าใจผิดคิดตามไม่ทันในเรื่องของตัวเท่านั้น"   วิญญาณก็มีลักษณะหลอกลวงให้ผู้อื่นตามไม่ทัน   พอตาเห็นรูปเกิดความรู้สึกขึ้น   เมื่อจะตามไปดูความรู้สึกนั้นยังไม่ทันอะไร   เดี๋ยวไปเกิดความรู้สึกขึ้นทางหู   เมื่อจะตามไปดูความรู้สึกทางหูนั้น   ยังไม่ทันอะไร   เดี๋ยวไปเกิดความรู้สึกขึ้นทางอื่นต่อๆ   ไปอีกแล้ว   มีแต่จะหลอกลวงให้คนอื่นตามไม่ทันฉันนั้นเหมือนกันฯ
         ผู้มาพิจารณาเห็นขันธ์มีอุปมาดังแสดงมาแล้วนี้ชัดแจ้งด้วยปัญญาอันชอบด้วยตนเองแล้ว   จะไม่หลงเข้าไปยึดเอาขันธ์มาเป็นอัตตาหรืออนัตตา   แต่จะหยิบยกเอาขันธ์เป็นเป้าหมายแห่งญาณทัสสนะของปัญญาวิปัสสนา   การใช้ปัญญาแยบคายไม่เข้าไปยึดเอาของมีอยู่แลเนื่องด้วยอัตตา   จัดเป็นปัญญาในอริยมรรค   เพราะของที่ไม่มีและไม่เนื่องด้วยอัตตาสามัญญนาม   ใครๆก็ละได้   หรือจะเรียกว่าผู้ไปยึดของไม่มีเป็นผู้ไร้ปัญญาก็ได้
         คำสอนของพระพุทธองค์เป็นคำสอนยุทธวิธีเพื่อผจญกับกิเลสข้าศึกความชั่ว   ซึ่งมันฝังอยู่ในตัวของแต่ละบุคคลมานานแล้ว   ฉะนั้น   ขันธ์   ๕   คือตัวของคนเราแต่ละคน   จึงเท่ากับสนามยุทธ   แต่ยุทธวิธีของพระองค์   การแพ้คือการเข้าไปยึดถือ   การชนะคือการปล่อยวางให้มันเป็นไปตามสภาพเดิมของมัน   ไม่เหมือนการแพ้แลการชนะของผู้ยังมีกิเลสอยู่   ความเป็นจริงการชนะของทุกๆ   อย่างไม่ว่าชนะภายนอกและภายใน   ในโลกนี้หรือในโลกไหนๆ   ก็ตาม   ถ้าจะว่าการชนะที่บริสุทธิ์แลแท้จริงแล้วก็คือคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีอิสระเต็มที่   หากจะยังมีการคิดเพื่อจะต่อสู้กันอีกหรือเข้าไปยึดอำนาจควบคุมยึดถือกันอยู่แล้ว   ชนะนั้นไม่ชื่อว่าเป็นการชนะที่บริสุทธิ์แลเป็นธรรมเลย   วันหนึ่งข้างหน้าจะต้องมีการแพ้อีกเป็นแน่   หรืออย่างนั้นก็ก่อเวรก่อกรรมซึ่งกันและกัน
         พระพุทธองค์ทรงเห็นทุกข์คือตัวข้าศึกมีชาติเป็นต้น   ก็เห็นอยู่ในขันธ์นี้เอง   แล้วทรงใช้ยุทธวิธีด้วยปัญญาอันชอบจนเอาชนะข้าศึกก็ในขันธ์อันนี้   แต่แล้วข้าศึกก็มิได้ล้มตายฉิบหายไปไหน   ข้าศึกคือขันธ์ก็ยังเป็นขันธ์ปกติอยู่เช่นเดิม   ปัญญาวุธที่พระองค์นำมาใช้เป็นของกายสิทธิ์   ประหารข้าศึกจนพ่ายแพ้ไปได้   แต่หาได้ทำให้ข้าศึกเจ็บปวดแม้แต่แผลเท่าเมล็ดงาก็หาได้ปรากฏไม่   เรื่องนี้มีอุทาหรณ์รับสมอ้างดังปรากฏในพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตรอยู่แล้ว   หากจะมีปัญหาถามว่า   ข้าศึกที่แพ้แก่พระองค์แล้วจะไปตั้งทัพอยู่   ณ   ที่ไหน   ตอบว่าเมื่อแพ้แก่พระองค์แล้วก็ต้องเป็นบ่าวรับใช้ของพระองค์ต่อไป   ผู้ที่เอาชนะมันไม่ได้เท่านั้นจึงยอมเป็นทาสของมันต่อไป   ฉะนั้น   ขันธ์ที่ยังไม่มีใครเอาชนะได้จึงยังมีอิสระครอบโลกทั้งสามอยู่
         อายตนะ   อายตนะแปลว่า   บ่อเกิดหรือสื่อสัมพันธ์   บ่อเกิดหรือสื่อสัมพันธ์อะไร   อธิบายว่า   สื่อสัมพันธ์ของอายตนะทั้งสองแล้วเกิดอารมณ์ขึ้น   บ่อน้ำก็คือสายของน้ำที่ออกมาจากใต้ดิน   แล้วไหลเนื่องติดต่อกันกับน้ำที่อยู่ข้างนอกไม่ขาดสายนั้นเอง   อายตนะมีตาเป็นต้น   เมื่อสัมผัสกับรูปแล้ว   ก็ติดต่อสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องถึงประสาทเข้ามาหาใจ   แล้วใจก็รับเอามาเป็นอารมณ์   ถ้าดีก็ชอบใจ   สนุก   เพลิดเพลิน   หรรษา   ถ้าไม่ดีก็ไม่ชอบใจ   คับแค้นเป็นทุกข์โทมนัสต่อไปเมื่อตายังไม่หลับ   อายตนะอื่นๆ   มีหูเป็นต้นก็มีนัยเช่นเดียวกัน   ดังได้อธิบายมาแล้วข้างต้นตอนว่าด้วยอายตน   ๖   ฉะนั้นในที่นี้จึงจะไม่อธิบายอีก   แต่จะอธิบายเฉพาะยุทธวิธีสำหรับต่อสู้กับข้าศึก   (คืออารมณ์หรือกิเลส)   ที่มันจะรุกรบเข้ามาทางทวาร   ๖   ต่อไป   เพื่อให้เชื่อมกับขันธ์   ๕   อันอุปมาเทียบเหมือน   "สนามยุทธ"   ดังได้พูดค้างไว้   ที่พูดค้างไว้นั้นได้พูดเฉพาะแต่สนามยุทธเท่านั้น   ยังไม่ได้พูดถึงเชิงยุทธวิธีเลย   ฉะนั้นต่อไปนี้จะได้แสดงยุทธวิธีอันจะมีขึ้นในสมรภูมินั้นต่อไป   ใครจะแพ้   ใครจะชนะ   ขอท่านผู้อ่านจงติดตามดูลวดลายของคู่ต่อสู้ต่อไป
         อายตนะ   ๖   ได้แต่   ตา   ที่เห็นวัตถุรูป   ๑   หู   ที่เสียงดังมากระทบ   ๑   จมูก   ที่สูบกลิ่นสารพัดทั้งปวง   ๑   ลิ้น   ที่รับรสทุกๆ   อย่างที่มาปรากฏสัมผัส   ๑   กาย   ที่ถูกสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอันจะรู้ได้ทางกาย   ๑   ใจ   ความรู้สึกนึกคิดในอารมณ์นั้นๆ   ๑
         อายตนะทั้ง   ๖   นี้ย่อมรับทำหน้าที่แต่ละแผนกๆ   ไม่ปะปนกัน   เช่นตารับทำหน้าที่แต่เฉพาะไว้ดูรูปเท่านั้น   ตกลงว่าบรรดารูปทั้งหลายแล้ว   จะเป็นรูปชนิดใดอย่างไร   หยาบละเอียด   แม้แต่รูปอสุภะอันแสนน่าเกลียดก็มอบภาระให้ตาดูไป   ให้หูดูแทนไม่ได้เด็ดขาด   เป็นต้น   ท่านจึงเรียกว่าเป็นใหญ่ในหน้าที่นั้นๆ
         ฉะนั้น   เมื่อพูดถึงอายตนะภายใน   ๖   แล้ว   จึงจำต้องพูดคู่ของอายตนะภายในไปพร้อมๆ   กันจึงจะเห็นประโยชน์ของอายตนะ   ๖   ที่ว่ามานั้นเป็นของอยู่ในตัวของเราท่านจึงเรียกว่าอายตนะภายใน   สิ่งที่เป็นคู่กับอายตะภายในเช่นรูปเป็นคู่กับตาเป็นต้น   ท่านเรียกว่าอายตนะภายนอก   อายตนะภายนอกก็มี   ๖   เหมือนกัน   อายตนะภายตัวไม่มีคู่เช่นมีแต่ตาอย่างเดียวไม่มีรูปให้เห็นก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลย   หรือมีแต่รูปอย่างเดียวไม่มีตาดูก็จะมีประโยชน์อันใด   แต่เมื่อเห็นรูปแล้วย่อมมีทั้งคุณแลโทษเหมือนๆ   กับผู้รับผิดชอบการงานในหน้าที่นั้นๆ   จะต้องรับผิดชอบทั้งดีแลไม่ดี   อายตนะภายในกับอายตนะภายนอกกระทบกันเข้านี่แหละที่ทำให้เกิดคุณแลโทษก็อยู่ที่ตรงนี้
         ฉะนั้น   อารมณ์ที่เกิดจากอายตนะทั้งสองนี้จึงเป็นเหมือนกับมิตรแลศัตรูไปพร้อมๆกัน   แต่มิตรไม่เป็นไรเรายอมรับทุกเมื่อ   แต่ศัตรูนี้ซิ   ตาเกลียดนักจึงคอยตั้งป้อมต่อสู้มัน
         อายตนะทั้ง   ๖   เมื่อใครได้มาเป็นสมบัติของตนครบถ้วนบริบูรณ์   ไม่วิกลวิกาลแล้วจึงนับได้ว่าเป็นลาภของผู้นั้นแล้ว   เพราะมันเป็นทรัพย์ภายในอันมีคุณค่ามหาศาล   ยากที่จะหาแลกเปลี่ยนซื้อขายกันในตลาดได้   ทรัพย์ทั้งหลายภายนอกจะมีมากน้อยสักเท่าไร   แลจะดีมีคุณค่าให้สำเร็จประโยชน์ได้ทุกประการก็ตาม   หากขาดทรัพย์ภายในเหล่านี้แล้ว   ก็ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเท่าไรนัก   อนึ่ง   ทรัพย์ภายใน   ๖   กองนี้มีแล้วใช้ได้ไม่รู้จักหมดสิ้นตลอดวันตาย   เป็นแก้วสารพัดนึกให้สำเร็จความปรารถนาได้ทุกสิ่ง   เมื่อโดยมิต้องลงทุนหรือหางจะลงทุนบ้างเล็กน้อยแต่ได้ยลล้นค่า   เหมือนกับได้ทิพย์สมบัติ   ๖   กองอย่างน่าภาคภูมิใจด้วย   หากใครได้เกิดมาในโลกนี้ไม่ได้สมบัติ   ๖   กองนี้   หรือได้แต่ไม่ครบถ้วน   ก็เท่ากับเป็นคนอาภัพในโลกนี้เสียแล้ว   สมบัติ   ๖   กองนี้เป็นของผู้ที่เกิดมาในกามโลก   มีขันธ์   ๕   โดยเฉพาะ   อารมณ์   ๕   ที่เกิดทาง   ตา   หู   จมูก   ลิ้น   กาย   ได้แก่   รูป   เสียง   กลิ่น   รส   โผฏฐัพพะ   บัญญัติํติธรรมเรียกว่า   "กามคุณ   ๕"   เพราะผู้ที่ได้ประสบอารมณ์   ๕   นี้แล้วชอบใจ   ดีใจ   ติดใจ   เข้าไปฝังแน่นอยู่ในใจ   เห็นเป็นคุณทั้งหมด   หากจะเห็นโทษของมันอยู่บ้างบางกรณี   แต่ก็ยากนักที่เอาโทษนั้นมาลบล้างคุณของมัน   ฉะนั้นเหมาะสมแล้วที่เรียกว่า   "กามคุณ"
         ปุถุชนผู้เยาว์ปัญญาเมื่อได้ประสบอารมณ์ทั้ง   ๕   นั้นแล้วจึงหวานฉ่ำ   เหมือนแมลงวันหลงใหลในน้ำผึ้ง   ติดทั้งรสทั้งกลิ่น   จะบินหนีก็เสียดาย   ผลที่สุดคลุกเคล้าเอาตัวไปจมลอยอยู่ในนั้น   กามคุณเป็นหลุมฝังของปุถุชนผู้เยาว์ปัญญาโดยความสมัครใจของแต่ละบุคคลโดยแท้   โลกที่มีธาตุ   ๔   ขันธ์   ๕   อายตนะ   ๖   บริบูรณ์   ท่านเรียกว่า   "กามโลก"   ทุกๆ   คนที่ยังพากันสร้างบารมีอยู่จำจะต้องเวียนว่ายมาเกิดในกามโลกนี้จนได้   เพราะกามโลกสมบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง   จึงทำให้ปุถุชนผู้เยาว์ปัญญาหลงใหลคิดว่าเกิดมาได้รับความสุขพอแล้ว   แม้พระพุทธเจ้าหรืออริยเจ้าทั้งหลายก่อนที่ท่านจะได้สำเร็จเป็นพระอริยะ   ท่านก็ต้องมาเกิดในกามโลกนี้อันเป็นวิบากผลกรรมของท่านแต่ชาติก่อน
         อนึ่ง   กามโลกนี้นับว่าเป็นสมรภูมิอย่างดีที่สุดของท่านผู้จะได้เป็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย   มรรคปฏิปทา   สมถะ-ฌาน-สมาธิ-สมาบัติ-วิปัสสนา   อันเป็นหนทางที่จะให้ถึงเป็นพระอริยเจ้า   ก็จำเป็นจะต้องมายืมสถานที่คือกามโลกนี้เป็นที่บำเพ็ญเจริญให้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์   ถ้าจะพูดให้สั้นแล้วเรียกว่า   ผู้จะพ้นจากกามโลกได้   ก็ต้องมาเกิดหรือมาศึกษาค้นคว้าในกามโลกนี้   ให้เห็นคุณแลโทษชัดแจ้งด้วยปัญญาแยบคายด้วยตนเองเสียก่อน   จึงจะเรียกว่ารู้แจ้งซึ่งโลกแล้วจึงจะหนีจากโลกนี้ได้โดยชอบธรรม   ถึงรูปโลกแลอรูปโลกก็เช่นนั้นเหมือนกัน
         ฉะนั้น   เมื่อท่านเหล่านั้นเกิดขึ้นมาในกามโลกนี้แล้ว   ด้วยบุญญาบารมีที่ท่านได้สะสมมานาน   แทนที่ท่านจะหลงเพลิดเพลินมัวเมาในกามทั้งหลายดังปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป   ท่านเลยเห็นตรงกับข้าม   อายตนะทั้ง   ๖   มีไว้ใช้เพื่อให้เกิดความสุขแก่ปุถุชนก็จริงแล   แต่ท่านผู้มีบารมีที่ได้บำเพ็ญมาควรที่จะได้ตรัสรู้ท่านเลยเห็นตรงกันข้าม   คือเห็นว่าที่แท้นั้นมันเป็นบ่อเกิดของอารมณ์   นำทุกข์มาให้เช่นตาเห็นรูปสวยแล้วขอบใจอยากได้มาเป็นของตัว   ก็เป็นทุกข์เพราะอยากได้   การพยายามที่จะให้ได้มาก็เป็นทุกข์   ได้มาแล้วก็เป็นทุกข์เพราะจะต้องบริหาร   หากรูปนั้นเสื่อมสูญฉิบหายไปโดยธรรมดาของมันอย่างนั้นก็ตาม   แต่ใจเราฝ่าฝืนไม่อยากให้มันเป็นไปอย่างนั้น   ก็เป็นทุกข์   เมื่อยังมีการเห็นเช่นนั้นอยู่   ก็เป็นทุกข์   เมื่อระลึกถึงรูปนั้นที่หายไปแล้ว   ก็ยังเป็นทุกข์อยู่อีก   อายตนะอื่นๆ   นอกนี้มีหูเป็นต้นก็เช่นเดียวกันนี้   เรื่องนี้   พระพุทธองค์ได้เคยประสบการณ์มาด้วยพระองค์เองแล้วจนเห็นโทษ   แล้วทรงสละทุกสิ่งทุกอย่างออกบวชบำเพ็ญทางใจ   (คือต่อสู้กับอารมณ์)   จนได้สำเร็จพระโพธิญาณ   พระองค์จึงนำเอาประสบการณ์แลหลักยุทธวิธีที่พระองค์ทรงใช้ได้ผลแล้วนั้นนำมาสั่งสอนแก่เหล่าศาสนิกชนต่อมา   หลักคำสอนของพระพุทธองค์ตั้งแต่อนุปุพพิกถา   มีทาน   ศีล   เป็นต้น   ล้วนแต่เป็นหลักยุทธวิธีทั้งนั้น   แต่เป็นยุทธวิธีเป็นขั้นๆ   ไป   ต่อสู้กับอะไร?   ท่านต่อสู้กับความตระหนี่   เห็นแก่ตัว   บางทีใจเป็นบุญกุศลอยากทำทานอยู่   แต่อีกใจหนึ่งคิดห่วงหน้าห่วงหลัง   กลัวจะขาดแคลน   หรือไม่เมื่อให้ท่านไปแล้วกลัวทรัพย์ที่มีอยู่จะไม่ครบจำนวน   ดังนี้เป็นต้นฯ
         ศีลก็ต่อสู้กับเสียดายความสุขสนุกเพลิดเพลินอันเป็นโลกียะที่เคยได้ประสบมาแล้วแลเห็นแก่ตัวเหมือนกันฯ   เมื่อผู้มาต่อสู้ทั้งสองทัพนี้จนพ่ายแพ้ไปได้แล้ว   จะเห็นกิเลสเหล่านั้นเป็นของน้อยนิดเดียว   ไม่มีกำลังอ้นน่ากลัวเลย   แล้วจะเห็นความสุขอันยิ่งใหญ่ในชัยชนะนั้น   จนจิตใจกล้าหาญ   มีความร่าเริงอิ่มใจเป็นอย่างยิ่งฯ   เรียกว่า   อ   นิสังสกถา   ฯ   คำสอนของพระองค์ยังสอนไว้ว่า   ชนะขั้นนี้ยังไม่เป็นการชนะอย่างเด็ดขาด   เพราะเป็นการชนะข้าศึกภายนอกมันยังอาจกลับกลอกได้   เพราะใจมันยังไปยินดีติดกับด้วยความสุขในกามคุณ   ๕   คือ   รูป-เสียง-กลิ่น-รส-โผฏฐัพพะ   อันเป็นอานิสงส์ของ   ทาน   ศีล   เท่านั้นฯ   กามคุณ   ๕   เป็นความสุขที่เจือไปด้วยทุกข์   สำหรับหลอกลวงบุคคลผู้มีปัญญาเยาว์ให้หลงติดอยู่   เหมือนกับปลากำลังหิวอาหารหลงเข้าไปฮุบเอาเหยื่อที่เขาหุ้มเบ็ดไว้ฉะนั้น   แล้วท่านสอนให้ต่อสู้กับความหลงผิดติดสุขในกาม   อย่าเห็นแก่ความหิวในเหยื่อเท่านั้น   โทษจะถึงความตายในภายหลัง   เรียกว่า   "กามทีนพโทษ"ฯ   เมื่อผู้มาพิจารณาเห็นโทษในกามคุณ   ๕   ว่าเป็นเหมือนกับยาเสพติดคิดเบื่อหน่ายคลายสละได้   ใจพ้นจากอามิส   เป็นอิสระสุขอยู่แต่ผู้เดียว   เรียกว่า   เนกขัมกถาฯ   แต่ยุทธวิธีตอนว่าด้วยอายตนะซึ่งจะอธิบายต่อไปนั้น   เป็นยุทธวิธีอย่างละเอียด   ต้องต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายกันจริงๆ   และสามารถให้ก้าวขึ้นสู่วิปัสสนาญาณทัสสนะได้ฯ
         ท่านผู้อ่านทั้งหลาย   เป็นที่น่าอัศจรรย์ไหม   พระพุทธองค์ทรงอุบัติเกิดขึ้นมาในกามภพ   เป็นอยู่ในกามภูมิ   แวดล้อมแล้วด้วยกามคุณ   ๕   ยั่วยวนแล้วด้วยกามกิเลสเหมือนๆ   กับปุถุชนคนเราทั้งหลาย   แต่พระองค์เห็นโทษแล้วในกามทั้งหลาย   จึงทรงแสดงหาอุบายหนีเอาตนรอดจนเป็นยอดของบุคคลผู้เป็นอิสระทั้งหลาย   โดยไม่มีใครเป็นครูอาจารย์แต่รู้แจ้งด้วยพระองค์เอง   ฉะนั้น   พระอานนท์เถระจึงชมเชยพระองค์ว่า   เป็นที่น่าอัศจรรย์หนอ   "พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ในโอกาส"   อธิบายว่า   พระพุทธองค์ทรงอุบัติเกิดขึ้นมาในกามภพ   แต่ไม่หลงติดอยู่ในกามภพ   ถึงจะแวดล้อมไปด้วยกามคุณ   ๕   แต่พระองค์ก็มิได้หลงใหลไปด้วย   ถึงจะอุบัติอยู่ในกามภูมิแต่พระองค์ก็มิได้จมอยู่ในภูมินั้น   รู้เท่าเข้าใจเห็นแจ้งชัดจริงทั้งคุณแลโทษพร้อมทั้งอุบายหนีให้พ้นจากมันเสียจนได้   ด้วยใจด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมของพระองค์เอง
         อายตนะทั้ง   ๖   ถึงแม้จะเป็นบ่อเกิดกองบุญของผู้ที่ยังปรารถนากามภพอยู่ก็จริงแล   แต่ผู้ที่เห็นโทษในกามภพแล้ว   ผลของบุญหรืออานิสงส์ของบุญนั้นมันกลับเป็นเครื่องผูกมัดจิตใจของผู้ต้องการพ้นจากกามไป   เปรียบเหมือนสมบัติทั้งหลายย่อมเป็นที่ปรารถนาแต่เฉพาะผู้ต้องการเท่านั้น   ส่วนผู้ที่ไม่ต้องการแล้วแม้จะถูกคนบางคนหาว่าเป็นบ้าก็ตาม   เขาผู้นั้นก็ยอมสละเพื่อเนกขัมมะ
         ฉะนั้น   อายตนะทั้ง   ๖   มีตาเป็นต้นมิใช่จะเป็นบ่อเกิดแต่กิเลสอันเป็นของหยาบๆ   เท่านั้น   ผลบุญกุศลที่เกิดจากอายตนะทั้ง   ๖   ก็จัดเป็นกิเลสของผู้เห็นโทษในกามภพด้วย   เช่นผู้ออกบวชก็เห็นโทษในกามตามนามบัญญัติว่า   เนกฺขมฺม   อยู่แล้ว   สรุปแล้วสัพพกิเลสทั้งหลายย่อมเกิดขึ้น   ณ   ทวารทั้ง   ๖   นี้ทั้งนั้น   ในอาทิตตปริยายสูตรที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่ชฏิลสามพี่น้องพร้อมทั้งบริวาร   ผู้บูชาไฟเพื่อปรารถนาในกามสุขว่า   "อายตนะทั้ง   ๖   มีตาเป็นต้น   เป็นของร้อน   ร้อนเพราะไฟคือราคะ   โทสะ   โมหะ"
         ท่านผู้อ่านบางคนอาจสงสัยว่า   ถ้าอายตนะทั้งหลายมีตาเป็นต้นเป็นของร้อนแล้ว   ไฉนมนุษย์คนเราทั้งหลายจึงเป็นคนอยู่ได้   ทำไมไฟคือกิเลสราคะเป็นต้นจึงไม่ไหม้ตายหมด   พูดดูเหมือนอายตนะทั้งหลายมีตาเป็นต้น   จะไม่มีประโยชน์ให้คุณเสียเลย   หากมีผู้คิดเห็นไปเช่นนั้นก็เป็นที่น่าเห็นใจเหมือนกัน   ปลาเกิดในน้ำจืดจะไปอยู่ในน้ำเค็มย่อมไม่ได้   สัตว์บางชนิดเกิดในน้ำร้อนแต่มันก็อยู่ได้ไม่ตาย   หนอนเกิดในที่สกปรกแลเหม็นคลุ้งมันก็เพลินสนุกอยู่ได้ไม่เห็นมีอะไรแปลก   ไฟมิใช่จะให้แต่โทษอย่างเดียว   คุณของไฟก็มีมาก   คุณแลโทษเป็นแต่บทรำพันแต่ละทัศนะของแต่ละบุคคลเท่านั้น
         อายตนะ   ๖   มีตาเป็นต้น   ผู้เกิดมามีไม่ครบบริบูรณ์   ทางพระศาสนาถือว่าเป็นกรรมเก่าของผู้นั้น   คนพิการแม้จะบวชในพระศาสนาพระวินัยบัญญัติก็ห้าม   สมจริงตามนั้น   โลกอันนี้จะเป็นที่น่าอยู่น่าชมสนุกสนานก็เพราะมีอายตนะทั้ง   ๖   นี้เอง   หากขาดอายตนะอันใดอันหนึ่งไปเสียแล้ว   ก็เรียกได้ว่าความสุขในโลกนี้ไม่สมบูรณ์   นี่ก็แสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วว่า   อายตนะทั้ง   ๖   แต่ละอย่างมีความสำคัญแลคุณประโยชน์มากแก่ความเป็นอยู่ของผู้เกิดมาสักเพียงไร   เกจิอาจารย์บางท่านยังแสดงอายตนะทั้ง   ๖   เทียบกับสวรรค์   ๖   ชั้นอีกด้วย   พอสมจริงดังท่านว่าอีกเหมือนกัน   เพราะท่านพูดต้นเหตุ   อายตนะทั้ง   ๖   เป็นบ่อเกิดของกามาพจรกุศลทั้งหลาย   หรือผู้มีอายตนะทั้ง   ๖   แล้วก็เหมือนกับได้ทิพย์สมบัติ
         ฉะนั้น   ที่ท่านแสดงไว้ในอาทิตตปริยายสูตรว่า   อายตนะเป็นของร้อนนั้น   ท่านหมายเอาอายตนะทั้งหลายมีตาเป็นต้น   สัมผัสกับรูปแล้ว   วิญญาณอาศัยของสองอย่างนั้นเกิดขึ้น   ว่าเป็นของร้อน   แล้วพระองค์แจงออกไปว่าร้อนเพราะอะไร?   ร้อนเพราะมีเชื้อเดิมอยู่แล้วในตานั้นที่ไปเห็นรูป   ๓   อย่างได้แต่   ราคะความกำหนัดย้อมใจ   ๑   โทสะความโกรธขึ้งเคียด   ๑   โมหะความหลงไม่รู้เท่าเข้าใจในเหตุผลของสิ่งนั้นๆ   ๑   ของสามอย่างนี้เป็นเหตุให้เกิดความร้อน   อายตนะอื่นๆ   นอกจากนี้ก็เช่นเดียวกัน   ถ้าสิ่งสามอย่างนี้เป็นเชื้ออยู่แล้ว   หูฟังเสียง   จมูกถูกกลิ่น   ลิ้นถูกรส   กายถูกสัมผัส   ใจคิดไปในอารมณ์ต่างๆ   ย่อมร้อนเหมือนกันทั้งหมด   ความจริงอายตนะทั้ง   ๖   นี้มิใช่ไฟเป็นของร้อนอะไรเลย   อายตนะ   ก็เป็นอายตนะอยู่ดีๆ   นี่เอง   ถ้าอายตนะ   ๖   เป็นไฟไปหมดแล้ว   ตนตัวคนเราทั้งหมดก็เป็นเชื้อที่ให้ไฟไหม้ไปหมดแล้วแต่นาน   หรือไม่ก็เป็นนรกตลอดกาลเท่านั้นเอง   ที่ว่าเป็นของร้อนเพราะมันมีเชื้อไฟสามอย่างดังอธิบายมาแล้วอยู่ในนั้น   หรือไม่ก็มีอยู่ในอายตนะภายนอกทั้ง   ๖   มีรูปเป็นต้น   เปรียบเหมือนไม้แห้งสองอันเอามาสีกันเข้า   ต่างก็มีเชื้อไฟอยู่ในตัวของแต่ละอันอยู่แล้ว   เมื่อเอามาสีกันเข้าจึงจะเกิดไฟขึ้นมาฉะนั้น   ถ้าไม่เอามาสีกันถึงจะมีเชื้อไฟอยู่ในตัว   ไฟนั้นก็ไม่อาจเกิดขึ้นมาได้
         ฉะนั้น   พระพุทธองค์จึงสอนให้ระวังสังวรเมื่อตาเห็นรูปเป็นต้น   ก็อย่าให้กระทบแรง   ได้แก่ให้มีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่า   ตาก็มีเชื้อไฟอยู่ในตัว   รูปก็มีเชื้อไฟอยู่ในตัว   แล้วก็ให้ระวังใจว่าราคะก็เกิดขึ้นที่ใจนี้   โทสะก็เกิดที่ใจนี้   โมหะก็เกิดที่ใจนี้   ทั้งสามอย่างนี้มันล้วนแต่เป็นของร้อนทั้งนั้น   คนรู้จักของร้อนแลเคยได้ประสบความร้อนมาด้วยตนเองก่อนแล้ว   เมื่อมีผู้รู้เรื่องนั้นดีกว่า   ฉลาดกว่า   มาแสดงโทษให้ฟัง   เขาก็จะเข้าใจได้ดีแลได้ความรู้ฉลาดเพิ่มขึ้น   หากเขาผู้นั้นไม่รู้จักความร้อนแลโทษของความร้อน   หรือไม่เคยได้ประสบความร้อนมาด้วยตนเองก่อนแล้ว   ท่านผู้รู้ทั้งหลายก็ไม่ทราบว่าจะสอนให้เขาเข้าใจได้อย่างไร   ท่านอุปมาความร้อนของไฟสามกองไว้ว่า   "ราคะมีความร้อนเหมือนกับน้ำร้อน"   น้ำปกติเป็นของเย็น   คนที่ถูกความร้อนแผดเผาย่อมระลึกถึงน้ำ   หรืออาบน้ำไม่ก็ดื่มเพื่อระงับความร้อนกระวนกระวายเสีย   แต่เมื่อน้ำมากลายเป็นของร้อนไปจึงยากที่บุคคลผู้จะรู้ได้   ตราบใดความร้อนของน้ำยังไม่สัมผัสกับตัวด้วยตนเอง   ก็ยังไม่รู้โทษของความร้อนของน้ำอยู่ตราบนั้น   ความใคร่ความพอในยินดีในกามคุณห้า   ย่อมเป็นที่พอใจแลปรารถนาของผู้ยังมีความหิวอยู่   เหมือนกับผู้ถูกความร้อนแล้วรู้สึกแลหิวกระหายน้ำฉะนั้น   เมื่อดื่มน้ำเข้าไป   ความร้อนหรือความหิวกระหายนั้นก็ระงับไป   แล้วความหิวกระหายอื่นก็เกิดขึ้นมาแทน   มิฉะนั้นเปรียบเหมือนอสรพิษกัด   แล้วมียาดีๆ   มาใส่ให้หายพิษได้ทันที   แต่แล้วก็กัดอีกอยู่อย่างนั้นร่ำไป   แต่ท่านผู้หมดความหิวแล้วย่อมไม่มีความอยากกรหาย   แม้แต่ไฟคือราคะความกำหนัดรักใคร่   ก็ไม่เข้าไปย้อมใจของท่านให้ชุ่มได้   ฉะนั้น   ท่านจึงไม่มีความหิวแลความอยากแล้ว   อายตนะทั้งหลายของท่านจะเป็นเหตุให้เกิดไฟคือราคะได้อย่างไร
         โทสะ   มีความร้อนเปรียบเหมือนไฟไหม้ป่า   ธรรมดาไฟป่าเมื่อเผาตนเองแล้ว   ก็ย่อมลุกลามไหม้สิ่งที่อยู่รอบๆ   ไฟไม่เหลือ   แม้ที่สุดของแห้งแลของสด   จะเป็นของสะอาดหรือโสโครกก็ตาม   ไฟย่อมไหม้หมดโดยไม่เลือก   ไฟคือโทสะนี้ก็เหมือนกัน   เมื่อมันติดลุกเกิดขึ้นในใจของผู้ใดแล้ว   ย่อมเผากายใจของตนเองให้เดือดร้อนกระวนกระวาย   แล้วเผาคนอื่นให้เดือดร้อนตามๆ   กันไป   คนผู้ดีมีจนมีคุณไม่มีคุณแม้แต่บิดามารดาผู้เกิดเกล้า   ไฟคือโทษ   ย่อมเผาไม่เลือก   ไม่ว่าไฟป่าหรือไฟบ้านเมื่อมันลุกลามขึ้นมาแล้ว   ใครๆ   เห็นเข้าย่อมกลัวทั้งนั้น   กิ้งก่ากิ้งกือตักแตนแมลงต่างเห็นเข้าแล้ว   ต่างก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพื่อเอาตนรอดทั้งนั้น   มนุษย์ได้สามัญญนามว่าเป็นผู้มีปัญญา   มีใจสูงแต่ก็อดที่จะเอาไฟคือโทสะมาเผากายใจของตนเองไม่ได้   นามบัญญัติที่ว่านั้นมันมีความหมายอะไรอยู่ที่ตรงไหนกันแน่   หรือว่ามันเป็นเพียงมนุษย์ปลอมๆ   เปล่าๆ   เท่านั้นหรือ
         โมหะ   มีความร้อนเปรียบเหมือนกับไฟไหม้แกลบ   ไฟแกลบใครๆ   ก็ทราบอยู่แล้วว่ามันมีเถ้าปกคลุมอยู่ข้างบน   แต่ข้างใต้มันร้อนระอุไม่แพ้ไฟอื่นเลย   นานๆ   ถ้ามีผู้ไปเขี่ยเถ้าของมัน   จึงจะแสดงประกายให้ปรากฏออกมา   ครั้นแล้วก็ค่อยเศร้าๆ   สงบลงไปร้อนกรุ่นอยู่ภายในตามเดิม   โมหะจริตก็เช่นนั้นเหมือนกัน   อารมณ์อันใดเกิดขึ้นในจิตจะร้อนแสนก็ไม่ค่อยจะแสดงอาการออกมาภายนอก   แต่มิใช่เพราะความรู้เท่าเข้าใจในอารมณ์นั้นๆ   ตามเป็นจริงแล้วปล่อยวางได้   ความร้อนมีอยู่แต่ไม่ทราบว่าจะแก้ไขความร้อนนั้นด้วยอุบายใด   มันมีแต่ความร้อนกับตันตื้อไปหมด   ไม่ว่าจะอยู่ในท่าไหนมันทำให้มึนงงไปทั้งนั้น   หรือที่เรียกว่ามืดแปดด้าน   ไม่มองเห็นช่องสว่างเอาเสียเลย   เรื่องนี้พูดไม่ถูกถ้าใครได้ประสบการณ์ด้วยตนเองแล้วจึงจะรู้ชัดยิ่งกว่าคนอื่นเล่าให้ฟัง   นี่พูดถึงลักษณะของไฟคือโมหะ   แต่ลักษณะของโมหะแท้ท่านแสดงไว้ในที่ต่างๆ   ว่า   ไม่รู้ในอริยสัจสี่   ไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาท   ไม่รู้อดีต   ไม่รู้อนาคต   แลไม่รู้ปัจจุบัน   หรือไม่รู้ในทั้งหมด   ที่กล่าวมาแล้วนั้นด้วยไม่รู้ทั้งที่จะทำให้หมดกิเลสสิ้นทุกข์ทั้งปวงด้วย   เรียกว่าโมหะ   ความจริงโมหะนี้มิใช่ไม่รู้อะไรทั้งหมด   โดยเฉพาะความร้อน   โมหะก็ยังรู้ว่าร้อนอยู่   แลเหตุให้เกิดความร้อนก็รู้อยู่เหมือนกัน   แต่ไม่ยอมละเหตุนั้น   เรียกว่ารู้แล้วแต่ไม่ยอมละ   รู้แล้วยิ่งเกิดมานะเพิ่มกิเลสขึ้นมาอีก   ความจริง   โมหะนี้ย่อมมีแก่สามัญญชนทั่วไปตลอดตั้งแต่พระเสขบุคคลก็ยังมีโมหะเหลืออยู่   ต่างแต่ว่าใครจะมีมากมีน้อยกว่ากันเท่านั้น   ใครมีความร้อนแลทุกข์ก็มาก   ใครมีน้อยความร้อนแลทุกข์ก็มีน้อย
         อายตนะเป็นบ่อเกิดของอารมณ์ทั้งดีแลไม่ดี   ใจเป็นผู้รับอารมณ์   ถ้าดีก็ชอบใจติดใจ   ถ้าไม่มีก็ไม่ชอบใจเสียใจ   วิสัยของปุถุชนย่อมเป็นอยู่อย่างนี้   ผู้เห็นโทษของอารมณ์ว่าเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ดังนี้แล้ว   ย่อมตั้งสติระวังสังวรในอายตนะนั้นๆ   โดยยึดอุดมคติว่า   "อารมณ์ที่เข้ามาทางอายตนะทั้ง   ๖   เป็นเครื่องทำลายความสุขสงบของจิตอย่างยิ่งแล้ว   ก็ตั้งสติระวังสังวรในอายตนะนั้นๆ   ต่อไป   เพื่อความเกษมสุขอันปราศจากอามิส   นี้เป็นทางเอกทางเดียวเท่านั้นที่จะนำผู้ประพฤติปฏิบัติตามให้ถึงนิรามิสสุข"   นอกนี้แล้วไม่มีหวัง   สมดังพระพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ทรงสอนพระภิกษุ   ๕   รูปที่ต่างก็พากันระวังสังวรในทวารทั้ง   ๕   มีตาเป็นต้น   แล้วเห็นอำนาจประโยชน์ว่าที่ตนทำนั้นถูกต้องดีแล้ว   แลนำความสุขมาให้สมดังประสงค์   โดยสรุปใจความได้ว่า   "ภิกษุผู้สำรวมในแต่ละทวาร   ย่อมยังคุณประโยชน์ให้สำเร็จได้ทั้งนั้น   ภิกษุผู้สำรวมแล้วในทวารทั้งปวง   ย่อมพ้นทุกข์ได้"   ดังนี้ฯ
         เนื่องจากไฟสามกองอันเป็นข้าศึกเกิดติดอยู่กับตัวตลอดกาล   จึงเป็นของลำบาทยากที่จะไม่ให้ไฟนั้นร้อนถึงตัวได้   ผู้ที่คุ้มกันไฟอันติดอยู่กับตัวแต่ไม่ให้ร้อนถึงตัวได้จึงนับว่าเป็นบุคคลน่าอัศจรรย์อย่างเยี่ยม   เราท่านทั้งหลายโดยเฉพาะผู้ที่ออกบวชแล้วหรือผู้ที่เห็นโทษในกามทั้งหลายโดยได้นามสมัญญาว่า   เนกฺขมฺม   ขอได้ติดตามยุทธวิธี   ซึ่งจะได้อธิบายต่อไปนี้ดูว่า   เมื่อทำตามแล้วจะได้คุณประโยชน์สมจริงหรือไม่   โดยยึดเอาอุดมคติดังกล่าวแล้วข้างต้นเป็นที่ตั้ง   ทั้งผู้ที่ออกบวชแล้วแลไม่ออกบวช   หากยังไม่เห็นโทษในกามคุณห้าอยู่แล้ว   ก็ไม่ทราบว่าจะไปต่อสู้กับใครเพื่อประโยชน์อันใด   เพราะไฟสามกองดังกล่าวแล้วย่อมเกิดขึ้น   ณ   ที่อายตนะ   ๖   อันมีอยู่ในตัวของเราท่านทุกคนนี้เอง   ผู้ไม่เคยทำจิตของตนให้สงบก็จะทราบว่าความสุขเกิดจากความสงบได้อย่างไร   จึงเป็นที่น่าเสียดายมาก   จะเห็นได้แต่ความเพลิดเพลินของจิตอันหลงระเริงสนุกเฮฮาไปตามอารมณ์ที่ตนชอบใจเท่านั้น   ว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง   เหมือนกับปลาผู้ไม่รู้เรื่องความสนุกสนานที่มีอยู่ในป่าเถื่อนดงดอนอันเต่าผู้เป็นสหายเห็นแล้วนำมาเล่าสู่ฟัง
         ฉะนั้น   เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีฉันทะความพอใจในอันที่จะระวังสังวรในอายตนะ   ๖   ต่อไป   ผู้ที่ได้ฝึกฝนอบรมจิตให้เข้าถึงความสุขสงบอันปราศจากอามิสได้แล้ว   ย่อมเห็นภัยในอารมณ์ที่เกิดจากอายตนะเหมือนข้าศึกที่น่ากลัวฉะนั้น
         ชั้นสูงจากสวรรค์ลงมา   ต่ำแต่นรกขึ้นมา   เป็นภูมิที่อยู่ของกามาพจรสัตว์ผู้ล่องลอยอยู่ในกามคุณห้า   มนุษย์เกิดมาด้วยอำนาจวิบากของกามาพจรกุศล   จึงต้องวนวุ่นอยู่กับกลิ่น   คือกามารมณ์   อายตนะทั้ง   ๖   จึงทำหน้าที่รับเอาอารมณ์ขนาดหนักอยู่ตลอดเวลา   ถึงแม้จะเห็นโทษว่าเป็นของวุ่นวายนำมาซึ่งความเดือดร้อน   แต่ก็จำต้องรับวิบากไปตามกาล   เพราะได้ตกอยู่ในห้วงของกรรมแล้ว   ผู้เห็นโทษเท่านั้นจึงคิดที่จะต่อสู้เพื่อเอาชนะมันได้   แล้วดำเนินตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า   "ให้ตั้งสติระวังอย่าให้หลงใหลไปตามกระแสของอารมณ์ทั้ง   ๖   เพราะทวารทั้ง   ๖   นี้จำต้องใช้มันอยู่ตลอดเวลา"   ตาเห็นรูปก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากกามาพจรกุศล   รูปที่ตาเห็นก็เป็นวัตถุที่อยู่ในกามภูมิ   ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากกามาพจรกุศล   ใจผู้รับรู้รับเห็นอารมณ์ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากกามาพจรกุศล   ฉะนั้น   อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากสัมผัสของสองอย่างนั้นจึงต้องเป็นกามาพจรสืบไปด้วย   คือมียินดียินร้าย   ชอบใจแลไม่ชอบใจแล้วแต่ไฟสามกองคือ   ราคะความรักใคร่ชอบใจ   โทสะความไม่พอใจขึ้งโกรธ   ความคับแค้นแน่นอุรา   โมหะความลุ่มหลงมัวเมาเข้าใจผิด   ติดในอารมณ์นั้นๆ   แล้วเข้าไปยึดถือเอามาเป็นตนเป็นของตน   ก็เข้ามารุมเผากายใจของตนให้เร่าร้อนเป็นทุกข์   หูแลเสียง   จมูกแลกลิ่น   ลิ้นแลรส   กายแลสัมผัส   ใจแลธรรมารมณ์   ทั้ง   ๕   นี้ก็มีอาการเช่นเดียวกัน   แล้วบางที่ก็ต้องใช้พร้อมๆ   กันทั้ง   ๖   ทวารก็มี   บางที่ก็ต้องเพียง   ๒-๓-๔-๕   บ้าง   สุดแล้วแต่กรณี   ตลอด   ๒๔   ชั่วโมง   หากตนคนนั้นมีอายุ   ๕๐-๖๐-๗๐   ขึ้นไปละ   ลองคิดดูว่าความเร่าร้อนเป็นทุกข์ของเขานั้นจะมีมากน้อยสักเท่าไร   บางคนอาจสงสัยว่า   อายตนะนี้นอนหลับแล้วไม่ต้องใช้   ขอเฉลยไว้   ณ   ที่นี้เลยว่าต้องใช้   คือ   "มโนทวาร"   คือใจ   มีอายตนะครบถ้วนอยู่แล้วเรียกว่า   "อายตนะภายใน"   มันทำงานอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน   กายพักผ่อนนอนหลับแล้ว   ใจไม่หลับที่เราเรียกกันว่าฝัน   แล้วในฝันนั้น   มันมีขันธ์   ๕   อายตนะคนบริบูรณ์เลย   แต่ที่ไม่ฝันนั่นเป็นเพราะสัญญานามธรรมไม่ร่วมทำงานด้วย   แท้ที่จริงใจนี้ไม่มีการพักผ่อนหลับนอนเลย   ใจจะพักทำงานได้ก็ต่อเมื่อใจได้อบรมกรรมฐานโดยถูกต้อง   แล้วเข้าถึงฌาน   (คือภวังค์จิต)   ถ้าจะพูดให้ชัด   ภวังค์จิต   ก็ยังไม่ชื่อว่า   "จิตพักโดยสมบูรณ์   ต้องเข้าถึงนิโรธสมาบัติ   ดับความรู้สึกนึกคิดทั้งหมด   แม้แต่ลมหายใจก็ไม่ปรากฏ"   เพราะภวังค์เป็นแต่หยุดงานอันเกี่ยวข้องด้วยอารมณ์หรืออายตนะภายนอกเท่านั้น   ส่วนอายตนะภายในใจซึ่งเกิดกับดับพร้อมอยู่   ณ   ที่ใจโดยเฉพาะแล้วหาได้หยุดไม่   ยังคงทำงานอยู่ตามเดิม   แต่มันเป็นงานอันละเอียดเฉพาะส่วนตัว   ถ้าจะเปรียบแล้วเหมือนกับเราหยุดรับงานอื่นๆ   มีงานรับแขกเป็นต้น   แล้วเข้าห้องเขียนหนังสือเป็นต้น   ฉะนั้น   ผู้ที่ไม่ได้ระวังสังวรในอายตนะทั้งหลาย   จึงต้องได้รับความเดือดร้อนเป็นทุกข์มาก   เพราะอารมณ์มากแลมีทั้งดีทั้งชั้ว   ผู้มาพิจารณาเห็นโทษแล้ว   จึงต้องระวังสังวรในอายตนะทั้งหลาย   เพื่อมิให้ใจหลงใหลไปในอารมณ์ต่างๆ
         ฉะนั้นงานนั้นจึงต้องใช้ทั้งสติแลปัญญาแยบคายอันฉลาดแหลมลึก   แลความกล้าหาญอดทนจึงจะเอาชนะกับอารมณ์ได้   เช่นตาเห็นรูป   ธรรมดาใครๆ   ก็ต้องการดูแต่ที่สวยๆ   เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินเจริญตาเจริญใจ   ซึ่งกามสัตว์ทั่วไปปรารถนาอยู่แล้ว   แต่ผู้เห็นโทษแล้วกลับเห็นความเพลิดเพลินนั้นเป็นความหลงใหลไร้สาระอย่าว่าแต่ถึงกับเพลิดเพลินเลย   แม้ขณะที่จิตแล่นออกไปจากความเป็นหนึ่งของจิต   ก็เห็นเป็นภัยอันใหญ่หลวงแล้ว   สมกับที่ว่า   "ภยทสฺสี   ผู้ที่ปกติเห็นภัยมีประมาณเล็กน้อย"
         เนื่องจากกายแลจิตเป็นวิบากของกามาพจรกุศล   แลตกอยู่ในท่ามกลางของกามภูมิดังกล่าวแล้ว   ฉะนั้น   จิตจึงมักตกไปในกามารมณ์ได้ง่าย
         ผู้เห็นโทษแล้วจึงต้องใช้อุบายให้ตรงกันข้าม   เห็นตามเป็นจริงว่า   รูปเป็นแต่สักว่าธาตุ   ๔   ขันธ์   ๕   หรือเห็นเป็นอสุภะของไม่งาม   ไม่เที่ยงแท้แน่นอน   เป็นทุกข์   เป็นของสูญเปล่าหาแก่นสารไม่ได้   เป็นต้น   เมื่อพิจารณาไปๆ   จิตมันถอนออกจากอุปาทานความเห็นผิดเดิมเสียได้   มาเห็นแน่ชัดในใจด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงว่า   ที่เห็นเป็นคนเป็นมนุษย์บุรุษชายหญิง   สวยไม่สวย   น่ารักน่าเกลียดนั้น   แท้จริงนั้นเป็นความหลงเข้าใจผิดต่างหาก   หาได้เป็นไปตามนั้นไม่   ผู้มีปัญญามาพิจารณาเห็นอย่างนี้เรียกว่าผู้ตื่นจากหลับหรือความหลงจึงจะตรงกันว่า   เนกฺขมฺม   โดยแท้
         ท่านผู้อ่านทั้งหลาย   ข้าศึกตีวงล้อมเราอยู่ทั้ง   ๖   ทิศ   มันหมายพิชิตแย่งเอาอิสระของเรา   หากเราไม่ใช้กำลังศรัทธาพละ,วิริยพละ,สติพละ,สมาธิพละ,ปัญญาพละ   ยอมสละชีพเพื่อความอยู่รอดของตนแล้ว   มีหวังเป็นทาสของข้าศึกอย่างแน่นอน   ข้าศึกอย่างที่ว่านี้ถึงชนะมันแล้วก็อย่าได้วางใจ   ข้าศึกภายในมันเข้าลักษณะที่ว่า   ไส้เกิดเป็นหนอน   คนสนิทคิดขบถได้ง่ายกว่าคนอื่นไกล   ชนะเพราะเห็นตามเป็นจริงแล้วอย่าได้ประมาทว่า   จะได้ไม่หลงเห็นผิดอีก   ข้อนั้นจะไม่สมหวังตลอดไป   เพราะใจเป็นของเบากลับกลอกได้ง่าย   อนึ่งใจที่เราปฏิวัตินั้นมันได้หลงใหลในอารมณ์มานานแสนนาน   การที่ใจกลับกลอกหลงใหลไปสู่สภาพเดิมเป็นของง่าย   เหมือนน้ำไหล
         ท่านผู้อ่านทั้งหลาย   อารมณ์ที่เข้ามาทางทวาร   ๖   เปรียบเหมือนข้าศึกของใจ   ที่หวังจะแย่งเอาความสุขสงบของผู้มีความสงบอยู่แล้ว   ผู้ต้องการจะชิงชัยเอาชนะก็คือสติโดยใช้ปัญญาอันคมกล้าเป็นอาวุธในยุทธสนามอันกว้างศอกยาววาหนาคืบนี้เอง   ใจเป็นผู้หลง   ใจก็ต้องเป็นผู้แก้ความหลงของตนเอง   ใจจึงต้องรับหน้าที่ต่อต้านกับความหลงอย่างหนัก   การปฏิวัติความหลงของใจให้เกิดปัญญาเห็นตามเป็นจริง   มิใช่ของทำง่าย   จำต้องใช้ความพยายามอย่างพลีชีพ   เป็นทหารหาญเอาเยี่ยงอย่างพระบรมครูของเราจึงจะชนะได้   ถึงเราชนะความหลงใหลแล้ว   อายตนะทั้ง   ๖   อันเป็นช่องทางให้ใจเกิดความหลงก็คงยังเป็นอายตนะแลอยู่ร่วมกันกับผู้ชนะนั่นเอง   คนสนิทคิดขบถย่อมทำได้ง่ายกว่า   คนอื่นไกลเป็นไหนๆ   มันจะเข้ากับหลักที่ว่าไส้กลับกลายเป็นหนอน   คิดว่า   "ผู้เอาชนะแล้วจะไม่แพ้อีก"   ข้อนั้นจะไม่สมหวังตลอดไป   ใจเป็นของกลับกลอกได้ง่ายแล้วก็เคยหลงใหลเข้าใจผิดมานานแสนนาน   กว่าที่เราจะมาปฏิวัติให้เห็นชัดของจริงตามเป็นจริงจึงเป็นของทำได้ยาก   เมื่อผู้ชนะแล้วจึงไม่ควรประมาทด้วยประการทั้งปวง
         ให้เห็นอารมณ์ที่เข้ามาในทวารทั้ง   ๖   ว่าจะเป็นภัยคุกคามแก่ความสงบสุของใจอยู่เสมอ   ในหลักปฏิบัติท่านสอนให้เจริญ   "วสีห้า"   คือ
         ให้ชำนาญในการพิจารณาอารมณ์   ไม่ว่าอารมณ์ใดๆ   ใกล้ไกล   หยาบละเอียด   ให้พิจารณาให้ได้ให้เห็นชัดเหมือนกันหมด   ๑
         ให้ชำนาญในการเข้าจิต   คือเข้าฌาน-สมาธิให้ได้ในอิริยาบทใด   อยู่ในสถานที่ใดก็ให้เข้าให้ได้ทุกขณะ   ๑
         ให้ชำนาญในการตั้งอยู่ของจิต   คือเมื่อจิตเข้าฌาน-สมาธิได้แล้ว   จะให้จิตนั้นตั้งอยู่ในขั้นใดภูมิใด   ช้านานสักเท่าไรก็ได้ตามประสงค์   ๑
         ให้ชำนาญในการตรวจตราชั้นภูมิของจิตทั้งของตนแลของคนอื่น   ๑
         ให้ชำนาญในการถอนจิต   คือจิตเข้าถึงฌาน-สมาธิแล้ว   เวลาจะถอนออกจากนั้นมา   ให้รู้จักลักษณะอาการนั้นๆ   ของจิต   มิใช่เวลาจะถอนปุ๊บปั๊บถอนออกมาเลย   ๑
         ผู้ชำนาญในวสีห้านี้   ฌาน-สมาธิของผู้นั้นจะไม่มีเสื่อมเลย   พระพุทธองค์จึงทรงตรัสย้ำว่า   "ภาวิตา   พหุลีกตา   อภิญฺญาย   สมฺโพธาย   นิพฺพานาย   สํวตฺตติ"   แปลว่า   ท่านทั้งหลายจงทำให้มาก   เจริญให้ยิ่ง   จึงจะเป็นไปเพื่อความตรัสรู้   เพื่อความดับทุกข์ดังนี้   คือพระองค์ประสงค์ว่า   ทั้งผู้ที่กำลังเจริญอยู่ก็ดีหรือผู้ที่เจริญเป็นไปแล้วก็ดีในกรรมฐานหรือฌาน-สมาธิ-วิปัสสนาใดๆ   ก็ตาม   ไม่ให้ประมาท   จงพากันเจริญอยู่เสมอๆ   เพราะสิ่งที่จะยั่วยวนชวนให้เราหลงใหลมีอยู่รอบตัวในตัวของเรานี้ตลอดกาล
         ถ้าผู้ใดมาเห็นว่าตัวของเราทั้งหมดพร้อมด้วยสิ่งแวดล้อม   ตกอยู่ในภายใต้ของกามคุณห้า   จะทำอย่างไรๆ   ก็เอาชนะมันไม่ได้   ไปไม่พ้นแล้ว   ผู้นั้นชื่อว่า   "เป็นผู้ยอมแพ้แล้วแต่ยังไม่ทันออกสู่สนาม"   ถ้าผู้ใดมาเห็นว่า   การรักษาอายตนะทั้ง   ๖   เป็นการยุ่งยากลำบากมาก   ผู้นั้นได้ชื่อว่า   "กำลังต่อสู้กับข้าศึกอยู่   ชัยชนะมอบไว้ให้แก่กาลเวลาในอนาคต"   ถ้าผู้ใดมาเห็นว่า   อายตนะทั้ง   ๖   เรารู้เท่าเข้าใจตามความเป็นจริงแล้ว   อารมณ์ทั้ง   ๖   เราเอาชนะมันได้แล้ว   ผู้นั้นได้ชื่อว่า   "ใกล้อวสานแห่งการแพ้ต่อข้าศึกอยู่แล้ว   ความหายนะกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เข้าทุกวินาที"
         ธาตุ   ๔   เป็นวัตถุธาตุล้วนๆ   ไม่ได้เกี่ยวด้วยจิต   ขันธ์   ๕   อายตนะ   ๖   เป็นธาตุประสม   แต่ไม่ได้จัดว่าเป็นตัวกิเลส   เป็นแต่บัญญัติธรรมเท่านั้น   ผู้หลงผิดคิดว่าธรรมสามกองนี้เป็นตน   เป็นของของตน   แล้วเข้าไปยึดถือเอามาไว้เป็นอุปาทาน   จึงจัดเป็นกิเลส   ผู้จะกล่าวถึงโลกสามแล้วก็ต้องกล่าวอยู่ในขอบเขตของธรรมสามกองนี้   ผู้เจริญสมถะ-วิปัสสนา-กรรมฐาน   ต้องการจะข้ามพ้นโลกสาม   ก็มาตั้งต้นบันไดขั้นแรกตรงที่ธรรมสามกองนี้   ธรรมสามกองนี้จึงเป็นทั้งโลกียะแลโลกุตตร
         ผู้มายกเอาธรรมสามกองนี้ขึ้นมาปรารภโดยเห็นว่ามนุษย์   สิงสาราสัตว์สารพัดซึ่งมีอยู่ในโลกนี้   นับตั้งแต่ตัวของเราเป็นต้นไป   เห็นเป็นเราเป็นของของเรา   เป็นมนุษย์บุรุษชายหญิง   เป็นนั่นเป็นนี่   เรียกว่าผู้เห็นโลกเป็นเรา
         ผู้มาพิจารณาเห็นโลกมีตัวเราเป็นต้น   เห็นเป็นแต่สักว่าเป็นธาตุ-ขันธ์-อายตนะเท่านั้น   ไม่มีอะไรทั้งหมด   ที่สมมติบัญญัติว่าอันนั้นเป็นนั่นเป็นนี่   เป็นแต่สมมติบัญญัติลมๆ   แล้วๆ   ตามชอบใจของตนเท่านั้น   แท้จริงสิ่งนั้นหาได้เป็นไปตามนั้นไม่   มันมีแต่บัญญัติคือ   ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ   เท่านั้น   เช่นสมมติว่าผู้ชายชื่อขาว   เมื่อเข้าไปตรวจตัวจริงแล้ว   ผู้ชายจะไม่มีจริง   จะมีแต่วัตถุธาตุเท่านั้นซึ่งจะแยกออกไปก็เป็นธาตุ-ขันธ์-อายตนะต่างหาก   คำว่าชายก็มีเพศหรือลักษณะอันเป็นเครื่องหมายต่างออกจากเพศหญิงเท่านั้น   คำว่าขาว   ก็แสดงลักษณะของธาตุดินอีก   คนอื่นแลสิ่งอื่นนอกออกไปจากตัวของเราแล้วก็มีนัยดังแสดงมาแล้วนี้ทั้งนั้น   ผู้มาพิจารณาเห็นอยู่อย่างนี้   เรียกว่าผู้พิจารณาเห็นโลกสามตามความเป็นจริง   ผู้พิจารณาเห็นเช่นนั้นแล้ว   เข้าไปหลงติดเพลิดเพลินอยู่กับความเห็นของตนนั้น   เรียกว่าผู้ติดอยู่ในโลกสาม   เมื่อเห็นเช่นนั้นชัดแจ้งด้วยญาณทัสสนะอันชอบแล้ว   จิตปล่อยวางเห็นเป็นสภาวธรรมตามเป็นจริงว่า   "ทุกสิ่งทุกอย่างมีความเกิดขึ้นมาแล้ว   ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วก็แตกดับสลายไป   เป็นธรรมดา"   เรียกว่าผู้รู้แจ้งโลกทั้งสาม   ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ   เป็นธรรมกลางๆ
         ผู้ตกอยู่ในกามโลกก็ไปดึงเอาธรรมสามกองนั้นมาเป็นอัตตา   หลงใหลเพลิดเพลินไปตามธรรมสามกองนั้นจะให้เกิดกามโลกไป   ผู้มาพิจารณาธรรมสามกองนั้นเห็นชัดเจนด้วยปัญญาวิปัสสนา   แต่ยังถอนความรู้ความเห็นนั้นไม่ได้   เรียกว่าผู้ยังติดอยู่ในรูปโลก   ผู้มาพิจารณาเห็นเช่นนั้นแล้ว   แลเห็นว่าการที่มาชอบใจพอใจอยู่กับความรู้ความเห็นเช่นนั้นเป็นของหยาบ   ปล่อยวางความจำที่ว่าชอบไม่ชอบหรือความเป็นของเฉยๆ   นั้นเสียได้   แล้วอยู่ด้วยความไม่มีอะไรทั้งหมด   เรียกว่าผู้ติดอยู่ในอรูปโลก   ที่เรียกว่าโลกเพราะไปติดอยู่กับความที่ว่ามีหรือไม่มี   หรืออัตตาอนัตตา
         ท่านผู้มีปัญญามาพิจารณาเห็นโลกสาม   รู้ตามความเป็นจริงดังอธิบายมาแล้ว   ท่านไม่เข้าไปยึดเอาโลกสามมาเป็นอัตตาหรืออนัตตา   เป็นแต่เอาโลกสามนั้นมาเป็นเครื่องวัดปัญญาญาณทัสสนะของท่านว่า   นั่นโลกสาม   นั่นปัญญาผู้รู้เห็นตามเป็นจริง   ความรู้ที่รู้จริงจะต้องรู้แล้วปล่อยวาง   ไม่หลงเข้าไปยึดเอาความรู้นั้นเข้ามาเป็นอัตตาหรืออนัตตาอย่างนี้ๆ   เมื่อตรวจดูจิตของตนก็ผ่องใสสะอาดพอๆ   กับความรู้ความสงบ   ไม่ยิ่งไม่หย่อน   เป็นความรู้ที่ปราศจากความปรุงแต่งใดๆ   ทั้งหมด   แม้แต่ความจำในอดีต   อนาคต   ก็มิได้เอามาใช้ในที่นั้น   แต่เมื่อเอามาเทียบกับความรู้ชัดในนั้นที่นั้นแล้ว   ตรงกับความจริงทุกๆ   ประการ   แต่มันชัดแจ้งกว่า   มีรสชาติกว่า   เมื่อมาตรวจดู   ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ   ก็เป็นจริงตามสัญญาบัญญัติอยู่อย่างนั้น   มันมีสภาพเป็นอยู่อย่างไรมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นตามปกติของมัน   จิตของท่านจึงไม่อยู่นอกอยู่ในแลไม่นึกไม่เอา   สิ่งใดมีสภาพเป็นอยู่อย่างไรมันก็เป็นอยู่เช่นนั้นตามเคย   เมื่อธาตุ-ขันธ์-อายตนะยังเป็นไปอยู่   คือยังไม่แยกออกจากกัน   ต่างก็ทำงานตามหน้าที่ของความเป็นอยู่ของธาตุนั้นเรียกว่า   "ธาตุปริวัติ"   ความเป็นอยู่ของขันธ์นั้นเรียกว่า   "ขันธ์วิบาก"   ความเป็นอยู่ของอายตนะนั้นเรียกว่า   "ฉฬังคุเปกขา"   เมื่อธรรมสามกองนี้แยกกันแล้ว   ผู้รู้ผู้สำรวมรักษาผู้พิจารณาผู้มาเห็นตามเป็นจริงก็หมดหน้าที่ตามๆ   กันไป   สมมติบัญญัติก็ไม่มี   คำพังเพยโบราณท่านว่า   "น้ำเพียงใด   ดอกบัวเพียงนั้น"   ความจริงดอกบัวมันอยู่บนน้ำ   สายบัวต่างหากเป็นเครื่องวัดความลึกตื้นของน้ำ   พร้อมกันนั้น   น้ำก็เป็นเครื่องวัดของสายบัวไปในตัว   รูปธรรม   นามธรรม   จิต   กิเลส   นิพพาน   ย่อมเป็นเครื่องวัดของกันแลกันฉะนั้น   ธรรมเป็นของละเอียดมาก   ยากที่ผู้มีปัญญาทั้งหลายจะอธิบายให้ถูกต้องถึงเนื้อแท้ของธรรมได้บริบูรณ์   แต่ถูกต้องที่สุดก็คือเป็นผู้หวังดีต่อผู้อื่น   แล้วพยายามอธิบายอรรถธรรมนั้นเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจตามความสามารถภูมิปัญญาของตนๆ   พระสัพพัญญูพุทธะแลสาวกพุทธะก็มีฐานไม่เสมอกัน   แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็มีปัญญาสามารถทำหน้าที่ของตนๆ   ให้บรรลุตามความประสงค์ของตนได้
         ผู้เขียนก็ขอสารภาพว่า   ธรรมบรรยายที่แสดงมาทั้งหมดนี้   คงอธิบายไม่ถึงตามความลึกซึ้งของธรรมนั้นทั้งหมดเป็นแน่   แต่ด้วยอำนาจศรัทธาในท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย   จึงได้เขียนเสนอเพื่อจะได้นำเอาไปพิจารณา   หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย   หากผิดพลาดคลาดเคลื่อนในอรรถธรรมข้อใดหมวดใด   ขอท่านผู้รู้ทั้งหลายได้โปรดกรุณาให้คำแนะนำตักเตือนผู้เขียนด้วย   จะขอบพระคุณในความกรุณาเป็นอย่างยิ่ง.
= จบ =