แสดงธรรมโดย   พระอาจารย์มหาบัว   ญาณสัมปันโน

เทศน์อบรมพระ   ณ   วัดป่าบ้านตาด

เมื่อ   วันที่   24   เมษายน   พุทธศักราช   2521

ดัดสันดานกิเลส

         อย่าเห็นงานใดเป็นงานสำคัญยิ่งกว่างานเดินจงกรม   นั่งสมาธิภาวนา   นี่คืองานของพระผู้มาบวชมาเพื่อชำระกิเลสอาสวะ   ซึ่งเป็นเสี้ยนเป็นหนามฝังจมอยู่ภายในจิตใจออกให้หมด   เพราะอำนาจแห่งความเพียรนี้เท่านั้น   อย่างอื่นไม่มีทางที่จะให้กิเลสหมดสิ้นไปได้ดังใจหมาย

         พระพุทธเจ้าเวลาทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อความตรัสรู้   พระองค์มีงานอะไรเข้าไปแทรก   เราได้คิดกันบ้างไหม   เราระลึกอยู่ทุกวันทุกเวลาว่า     พุทฺธํ   สรณํ   คจฺฉามิ   นั้นน่ะ   มีความหมายแค่ไหน   เราต้องระลึกปฏิปทาของพระองค์ท่านด้วยซิ   เวลาออกทรงผนวชพระองค์มีการงานเป็นความวุ่นวายเพื่อสั่งสมกิเลสความกังวลหม่นหมองที่ไหน....   ไม่มี   มีแต่ทรงประกอบความเพียรเพื่อการถอดถอนกิเลสโดยถ่ายเดียวเท่านั้น   เพียงแต่ยังไม่ทรงทราบวิธีการปฏิบัติ   จึงมีความล่าช้าและได้รับความลำบากไปเป็นธรรมดาของผู้นำแห่งสัตว์โลก

         แต่หลักใหญ่ก็คือ   ความสนพระทัยต่อความพากเพียรนั้นไม่มีใครสู้ท่านได้   เวลานั้นไม่ปรากฎว่ามีงานใดมาแทรกแซงบ้างเลย   พระสาวกอรหัตอรหันต์เหล่านั้น   มีองค์ไหนบ้างที่ยังไม่ได้บรรลุธรรมหรือตรัสรู้ธรรม   แต่มีงานอื่นงานใดเข้ามาแทรกแซงให้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย   ท่านไม่มีนี่

         เรื่องการก่อสร้างโน่นก่อสร้างนี่ของท่านเหล่านั้นก็ไม่เห็นในตำรับตำรา   อยู่ที่ตรงไหนป่าไหน   เขาลูกไหน   มีแต่ท่านประกอบความเพียรเพื่อชำระกิเลส   เพื่อฆ่ากิเลสถ่ายเดียวในที่นั้นๆ   ท่านเดินจงกรม   นั่งสมาธิภาวนาอยู่ในสถานที่นั้นๆ   ซึ่งล้วนเป็นงานเพื่อถอดถอนกิเลส   ตรงตามพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่ประทานไว้สำหรับพระจริงๆนี่ควรจำควรระลึกเรื่องเหล่านี้เข้าสู่ใจของผู้ปฏิบัติเรา

         อย่าเอาเรื่องโลกเรื่องสงสาร   เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง   เรื่องสกปรกที่เห่อกันเข้ามาทำลายจิตใจของนักบวชและนักปฏิบัติภาวนา   จะเป็นบ้าไปด้วยกันหมดไม่อาจสงสัย

         เวลานี้พระธุดงคกรรมฐานเรากำลังเป็นบ้าเห่อกัน   เห่อในการก่อสร้างก็เห่อ   เห่อว่าเขานิยมนับถือก็เห่อ   เขานิมนต์ไปปลุกเสกที่นั่นที่นี่ก็เห่อ   สร้างนั้นสร้างนี้ก็เห่อ   ปลุกเสกนั้นปลุกเสกนี้ในบรรดาเครื่องรางของขลังต่างๆก็เห่อ   สิ่งนี้ก็ขลังสิ่งนั้นก็ขลังในตัวในย่ามพระธุดงคกรรมฐานเต็มไปด้วยของขลังๆ   ทั้งที่หัวใจหาความขลังไม่ได้เลย   แล้วจะเอาสิ่งนี้ขลังมาจากไหน

         ขอให้ขลังที่หัวใจของพระปฏิบัติจริงนี้เถอะน่ะ   มีจิตแน่วแน่ดำเนินตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าด้วยความพากเพียร   เพื่อถอดถอนกิเลสให้หมดไปโดยลำดับๆเถอะ   เรื่องความขลังไม่ต้องบอกไม่ต้องแสวงหาที่ไหนกันละ   มันขลังเอง   ขลังอยู่คนเดียว   ไม่ต้องไปขลังเพื่ออวดโลกอวดสงสารเขาหรอก   ไปอยู่ที่ไหนก็ขลัง   ถ้าหัวใจหมดจากสิ่งต่ำทราบแต่ชอบขลังๆนี้แล้ว   จิตไม่ดีดดิ้น   ไม่ดิ้นรนกวัดแว่ง   อยู่ด้วยความสงบสุขตามหลักธรรมชาติที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว

         สิ่งทั้งปวงในโลก   ไม่มีอันใดมาทำลายคุณค่าของใจได้   นอกจากกิเลสประเภทต่างๆมีความโลภ   ความโกรธ   ความหลง   ราคะตัณหา   เป็นตัวการสำคัญ   นี่แลคือสิ่งที่เหยียบย่ำทำลายจิตใจให้หาคุณค่าไม่ได้   ให้หาความขลังไม่ได้   เพราะฉะนั้น   จงดำเนินจิตภาวนาตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน   อุบายวิธีเหล่านี้เป็นทางเดินที่ถูกต้อง   เป็นอุบายวิธีถอดถอนกิเลสได้โดยลำดับ   จนถึงความสิ้นสุดวิมุตติพระนิพพานไม่นอกเหนือไปจากความพากเพียรที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้นี้ไปได้เลย

         อย่าหลงโลกหลงสงสาร   โลกนี้ล้วนแต่สิ่งอนิจจังและหัวใจมีกิเลส   อย่าได้ปลงใจเชื่อง่ายๆ   ใครหรือเพศใดก็ตามถ้าไม่ปฏิบัติตามศีลธรรมอันเป็นหลักความดีเครื่องตายใจ   ไม่งั้นจะลืมตัวมั่วสุมแล้วเสียไปได้จริงๆ   ให้น้อม   พุทฺธํ   สรณํ   คจฺฉามิ   นี้ไว้ภายในใจองค์ใดประพฤติปฏิบัติดีประพฤติปฏิบัติชอบ   ตลอดถึงความรู้ความเห็นที่จะเป็นเครื่องชักจูงหรือเป็นคติเตือนใจเราได้   จงยอมรับเป็นกัลยาณมิตรหรือเป็นครูเป็นอาจารย์และคบค้าสมาคมเข้าใกล้ชิดสนิทสนมโดยธรรม

         ในธรรมท่านก็กล่าวไว้ว่า     ถ้าท่านทั้งหลายมีเพื่อนฝูงอันเป็นกัลยาณมิตรซึ่งเป็นคติเครื่องสอนใจซึ่งกันและกันได้   ให้พึงไปกับกัลยาณมิตรหรือท่านองค์นั้นเถิด   หากว่าไม่มีกัลยาณมิตรที่ควรคบแล้วไซร้พึงไปคนเดียว   แต่อย่าทำความลากมกนะ   แน่ะท่านสอนไว้   จำไว้เป็นคติตลอดไป

         ใจอย่าเล็งที่ไหนอย่าเล็งอะไรมากยิ่งกว่าธรรม   อย่าตื่นโลกตื่นสงสาร   ทุกวันนี้ยิ่งมีแต่ของปลอมเครื่องยั่วยวนกวนใจ   ทำลายธรรมะภายในใจให้แหลกเหลว   ล้อมหน้าล้อมหลังและแทรกซึมเข้ามาทุกด้าน   คืบคลานเข้ามาทุกแห่งทุกหน   ไม่ว่าในวัดนอกวัดสถานที่ต่างๆตามบ้านตามเมืองแทบไม่เว้น   มีแต่เรื่องทำลายศีลธรรมแทบทั้งนั้นจะไว้ใจได้อย่างไร   ผู้ปฏิบัติเพื่อเห็นภัยในสิ่งที่เป็นภัย   ยังมองไม่เห็นสิ่งเป็นภัยที่ใกล้ชิดติดตัวอยู่รอบด้านแล้ว   จะพ้นภัยได้อย่างไร

         ผลที่มันแสดงออมาก็คือความรุ่มร้อน   ที่สุมอยู่ภายในตลอดเวลาที่สัมผัสสัมพันธ์กัน   เราต้องการความรุ่มร้อนหรือ   ทั้งที่เราบวชมาเพื่อความร่มเย็น   ทำอย่างไรถึงจะให้มีความร่มเย็น   ก็ต้องฝืนกิเลส   ประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าผู้ทรงได้รับความร่มเย็นมาแล้วเพราะการปฏิบัติ

         แถวแนวของพระพุทธเจ้าของสาวกท่านดำเนินอย่างไร   ให้ยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์อย่าให้เสื่อมคลายลงไป   อย่าให้อ่อนกำลังลงไป   เป็นก็เป็น   ตายก็ตาย   เพื่อพุทธบูชา   ธรรมบูชา   สังฆบูชา   ด้วยข้อปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส   เอา...ตายไหนก็ตายเถอะลูกศิษย์ตถาคต   ตายด้วยความมีคุณค่าเพราะความเพียรอันอาจหาญชาญชัย

         เรื่องขลังตรงนั้นขลังตรงนี้   นั่นคือความคิดอุตริหลอกตัวเอง   แล้วก็ลุกลามไปไม่มีประมาณ   อย่าไปหาของขลังๆอย่างที่ทำกันนั้นน่ะ   ปลุกเสกนั้นปลุกเสกนี้   และแสดงอภินิหารก่อสร้างนั้นก่อสร้างนี้เพื่ออวดอภินิหารกัน   แต่หัวใจไม่สนใจมองดูบ้างว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้น   ไม่ใช่อภินิหารบ้าร้อยตัวมันปลูกโรงละคอนอยู่ในนั้นจะเป็นอะไรไปได้ย้อนจิตมาดูกันบ้างหรือเปล่านักปฏิบัติเราน่ะ

         อภินิหารของพระก็เป็นผู้ปราบปรามกิเลสให้อยู่หมัดล่ะซิ   ไม่มีกิเลสตัวใดที่จะแทรกขึ้นมาภายในจิตใจได้   กิเลสทุกประเภทหมดไม่มีเหลือภายในจิตใจเลย   เหลือแต่ขันธ์ล้วนๆนั้นแลคือผู้ขลัง   เป็นผู้มีอำนาจ   เป็นผู้แผ่อำนาจภายในตัวเอง   ปราบกิเลสให้อยู่หมัดไม่มีเหลือ   นี่แหละอำนาจอยู่ตรงนี้   ความขลังอยู่ตรงนี้   เมื่อได้ถึงขั้นความขลังเต็มภูมิแล้ว   อยู่ไหนก็ขลัง   ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับสมมุติทั้งหลายที่พาให้ขลัง   แต่ขลังอยู่ในหลักธรรมชาติของจิตของธรรมล้วนๆ   ซึ่งมีอยู่ภายในใจที่ได้ชำระสิ่งสกปรกโสมมหาคุณค่าไม่ได้ออกหมดแล้ว   นี่ความขลังอยู่ตรงนี้   เราจะไปหาความขลังที่ไหนตื่นโลกตื่นสงสารไปไหน

         เดี๋ยวนี้กำลังกำเริบนะ   กรรมฐานเราน่ะ   ทำให้วิตกวิจารณ์กับกรรมฐานสายท่านอาจารย์มั่นอยู่มากทีเดียว   เดี๋ยวนี้ใครก็ว่าเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นๆ   เพราะประชาชนเคารพนับถือท่านอาจารย์มั่น   เฉพาะอย่างยิ่งภาคกลาง   ซึ่งมีความสนใจใฝ่ธุดงคกรรมฐาน   ธุดงควัตรสายท่านอาจารย์มั่น   ดูซิพอมีเวลาว่างบ้าง   เขาอุตส่าห์ตะเกียกตะกายมาด้วยความหิวกระหาย   อยากพบอยากเห็นอยากกราบไหว้บูชาาพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ   ที่มีอรรถมีธรรมภายในใจ   ด้วยความหิวกระหายมานาน   เพราะฉะนั้นพอว่างเวลาใดจึงพากันมาภาคอีสานมิได้ขาด   ยิ่งนับวันมากขึ้นโดยลำดับ   ที่น่าเห็นใจสงสารมาก   เราดูไหมเราเห็นไหมประชาชนทุกชั้นวรรณะที่หลั่งไหลมาน่ะ   วัดไหนก็แต่ภาคกลางแทบทั้งนั้นมาจองกฐินไว้หมด   ด้วยแรงศรัทธาพาให้เป็น   พอว่างเวลาใดก็พากันมา   แม้ว่างเพียงวันเสาร์อาทิตย์แค่นั้นก็เอา   ยิ่งมีวันปิดชดเชยบ้าง   หรือมีงานทางราชการหยุดวันหนึ่งและมีวันศุกร์คั่นอยู่ตรงกลาง   ลาได้กี่วันเขาก็ลามานี่เขาหาของดีจากพระธุดงค์กรรมฐาน   พากันทราบบ้างหรือยัง

         ส่วนพวกเราซึ่งอยู่ในแนวรบเพื่อชัยชนะ   คว้าเอาของดีและดีเลิศมาครองได้คิดอย่างไรบ้าง   หรือคิดแต่กลัวโรงละครภายในใจจะชำรุด   ต้องพะวักพะวงซ่อมอยู่ไม่หยุดด้วยวิธีการดังกล่าวมา   (แบบเสกๆ   สรรๆ   ปลูกๆ   สร้างๆ)   พระเราผู้ที่จะสามารถทรงของดีไว้ให้เขาได้อาบได้ดื่มอย่างเต็มจิตเต็มใจนั้น   มันจะเป็นการขายตัวโดยไม่รู้ตัวนะ   ถ้าไม่รับคิดและเตรียมตัวให้สมเพศแต่ในขณะบวชหรือในขณะนี้เป็นต้นไป

         ธรรมดาของจิตที่มีกิเลส   พอมีอะไรมายั่วนิดๆ   ส่งเสริมนิดๆ   มันเป็นบ้าไปทันทีทันควันทีเดียวแหละ   นี่ไม่ว่าใจใคร   ว่าให้ใจเราใจท่านที่อยู่ด้วยกันและรู้อยู่ด้วยกันนี่แหละ   มันลืมตัวตรงนี้   เพราะจิตไม่มีหลัก   ถ้าจิตมีหลักแล้วเป็นยังไงก็ไม่หวั่นไม่ไหว   เวลาที่จะอนุโลมผ่อนผันตามโลกสงสารตามกาลอันควรก็อนุโลมเสียเล็กๆน้อยๆ   เพราะโลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน   คำว่ากาลเทศะ   ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมทราบความหนักเบามากน้อย   ในสถานที่,   กาล,บุคคล,   พออนุโลมก็อนุโลมไปเสีย   พอหมดเหตุการณ์ที่ควรอนุโลมแล้วก็ดีดพั๊บเข้ามา   คงเส้นคงวาอยู่ตามเดิม   เพราะจิตมีหลักย่อมไม่ฝ่าฝืนเหตุผลอรรถธรรม

         ถ้าจิตไม่มีหลัก   หากฎเกณฑ์ไม่ได้   เคร่งก็เคร่งเสียจนเป็นทิฐิมานะ   ถ้าลงหย่อนยานแล้วเคร่งกลับตัวไม่ได้ดีดตัวไม่ได้   จมไปเลย....นั่น   ให้พากันระมัดระวัง   เรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดกับใครแต่จะเกิดกับพวกผู้ปฏิบัตินี่เอง   ต่อไปนี้กรรมฐานจะไม่เหลือแล้วนะเพราะความลืมตัวนั่นแหละจะสังหารให้วอดวายน่ะ   เห็นเขาชมเชยสรรเสริญบ้างก็เป็นบ้าไป   ไม่ได้สติยับยั้งตัว   จงพากันระมัดระวังตรงนี้ให้มาก

         ผู้มุ่งธรรมย่อมไม่สนใจกับสิ่งใดมากยิ่งกว่าธรรม   ยืนเดินนั่งนอนย่อมมีสตินี่จึงได้ขื่อว่าผู้มีความเพียร   มีสติอยู่กับตัว   ไม่ได้อยู่กับธรรมบทใดอาการใดก็ตามให้มีสติอยู่มีความรู้สึกอยู่กับตัวจนกลายเป็นสัมปชัญญะ   คือมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ   เพราะการฝึกฝนอบรม   ทีแรกก็ขาดวรรคขาดตอน   แรกจริงๆ   ก็ล้มลุกคลุกคลานสติสตังไม่ค่อยมี   แต่การพยายามเพราะอำนาจแห่งความมุ่งมั่นเป็นเครื่องฉุดลากกันไป   ก็พยายามถูไถไปได้   ค่อยเข้มแข้งขึ้นโดยลำดับๆ

         นี่ได้เคยพูดให้หมู่เพื่อนฟังไม่ทราบกี่ร้อยกี่พันครั้ง   ว่าได้เคยเป็นอย่างนั้นมาแล้ว   ล้มลุกคลุกคลาน   แต่สำคัญความมุ่งมั่นมีมาก   การกระทำของเรายังไม่รู้วิธี   ลูบๆ   คลำๆ   ด้นๆ   เดาๆ   ไป   ล้มบ้างลุกบ้างคลานไปบ้าง   ทั้งๆที่ความตั้งใจมีมากแต่เพราะความไม่เข้าใจงานก็ต้องเป็นอย่างนั้นไปก่อน   เวลาฝึกอบรมเข้าโดยลำดับๆจิตก็ค่อยคล่องแคล่ว   ค่อยรู้วิธีและปรากฎผลขึ้นมาพอให้เห็นเล็กๆน้อยๆ   เป็นเครื่องแปลกประหลาด   เป็นเครื่องสะดุดใจ   เป็นเครื่องทำให้เกิดความดูดดื่มต่อความพากเพียรที่จะทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้โดยลำดับ   มันก็ค่อยตั้งตัวขึ้นมาได้   จนใจมีความสงบเย็น...   ก็รู้

         ใจถ้าหาความสงไม่ได้แล้วอย่าเข้าใจว่าเพศพระนี้จะมีความสุขนะ   สุขเพียงร่างกายเฉยๆนั่นไม่มีคุณค่าอะไร   ยังเป็นเครื่องเสริมกิเลสขึ้นไปอีก   มีแต่กินแต่นอนอยู่เฉยๆ   มันเสริมกิเลสให้มีกำลังมากนะ   ร่างกายเนื้อมีกำลังมาก   ต้องทับใจ   ราคะก็มาก   ฉันอะไรเข้าไปพอมีกำลังแข็งแรง   กิเลสคอยแต่จะกำเริบ   ผมเองรู้   แม้สมัยกำลังเรียนหนังสืออยู่ก็ยังรู้   กำลังวังชาทางกายของเรามีเต็มที่เราก็รู้   ว่ามันทับจิตใจให้กวัดแกว่งผิดปกติ   ฉันนมไม่ได้จิตคอยแต่จะกำเริบท่าเดียว   ต้องได้ระมัดระวังอาหารที่เป็นภัยต่อจิตใจอยู่เสมอ

         เพราะฉะนั้น   แม้กำลังเรียนหนังสือก็ไม่ยอมฉันนม   เวลาเขามาทำบุญให้ทานได้มาก็ถวายพระผู้ใหญ่ไปเสีย   เราไม่ฉัน   ยิ่งออกมาปฏิบัติแล้ว   ไม่ฉันเลย   จนท่านอาจารย์มั่นท่านรู้นิสัย   เมื่อตาปะขาวต้มมัน   เขาเทเอานมผสมแจกพระ   ท่านรีบสั่งตาปะขาวเลยนะ   ว่านี่ตาปะขาว   ท่านมหาท่านไม่เอานมนะ   ตักถวายท่านมหาก่อน   แล้วค่อยผสมนมทีหลังนะ   ท่านรู้นิสัยของเรา   รู้เรื่องของเราและยกเราเป็นต้นเหตุ   แล้วหาอุบายสอนพระในวงนั้นเอง   ท่านฉลาดมากนี่

         คิดดูผมเคยฉันช้อนเมื่อไร   เวลาผมไปอยู่ที่นั่น   ท่านก็รู้ความตั้งใจของผมมีขนาดไหน   ท่านรู้อย่างเต็มใจ   เราตั้งใจขนาดไหนเราก็รู้เต็มใจของเรา   ท่านก็รู้เต็มใจของท่าน   เพระาผมเคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องการฉันช้อน   ท่านว่าพระกรรมฐานฉันช้อนดูแล้วมันขวางตาขวางใจ   สะดุดใจทันที   ท่านว่ามันเหมือนพระเจ้าชู้   ขุนนาง   การฉันเพื่อความเห็นภัย   จะหาอะไรมาเป็นความสะดวกสบาย   มาโก้เก๋อย่างนั้น   มันขัดกันกับความเห็นภัยในการฉัน

         โดยหลักฐานพยานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า   ปฏิสงฺขา   โยนิโส   ปิณฺฑปาตํ   ปฏเสวามิฯ   นั้น   ฉันพอยังอตภาพให้เป็นไปเท่านั้น   ไม่ได้มีอะไรกับรสกับชาติ   ไม่ได้ไปดูดดื่ม   ไปสนใจอะไรกับสิ่งเหล่านั้น   ฉันพอยังชีวิตให้เป็นไปในวันหนึ่ง   เพื่อระงับเวทนาความทุกข์ในธาตุในขันธ์ไปเท่านั้น   การเอาช้อนมาซดโฮกๆๆ   มันก็เป็นการส่งเสิรมกิเลส   เป็นพระเจ้าชู้ไปละซิ   ท่านว่าองค์ท่านเอง   ท่านก็ไม่ฉันช้อนด้วย

         เราฟังท่าน   ฟังด้ยวความสนใจจริงๆ   ไม่สักแต่ว่าฟัง   ท่านว่าอะไรมันเยิ้มๆเข้าไปในหัวใจ   มันถึงใจเลย   เคยพูดให้หมู่เพื่อฟังเสมอ   อยู่กับท่านถึงแปดปี   ไม่เคยมีความเคยชินกับท่านเลย   ท่านจะพูดทีเล่นที่จริงมันก็จับปั๊บๆๆ   ตลอดเวลาเหมือนเทป

         นี่พูดถึงเรื่องราคะตัณหา   มันกำเริบรุนแรงและรวดเร็วเวลาธาตุขันธ์มีกำลังมันคอยแต่จะกำเริบ   ฉันมากมันก็กำเริบ   และทับจิตนั่นแหละไม่ใช่ทับอะไร   เราเคยเป็นมาหมดแล้ว   เวลาธาตุขันธ์มีกำลังเต็มที่เราก็รู้   เหมือนกับว่ามันดีดปึ๋งปั๋งๆ   มีอะไรมาเพิ่มนิดหนึ่งก็เสริมทันที   จึงต้องระงับด้วยการฉันน้อยหรืออด   ให้กำลังกายอ่อนเพลียลงของมันไปเรื่อยๆ   ไม่ส่งเสริม   ภาวนาก็ดีดขึ้นๆ   อุบายวิธีฝึกฝนเจ้าของต้องรู้   ไม่รู้ไม่ได้

         ที่นี้พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านก็รู้ว่าผมไม่ฉันช้อน   เวลาผมออกจากท่านไปเที่ยวที่ไหนๆทั้งๆที่ท่านก็รู้ว่าผมไปด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่เต็มฐาน   ไปทรมานอยู่ตามป่าตามเขาลูกไหนๆท่านก็รู้   แล้วท่านทำไมพูดขึ้นมาว่า   ท่านมหานานมานัก   ไปหลายวันแล้ว   มัวไปซดซ้ายซดขวาอยู่ที่ไหนกัน   นั่นฟังซิ   ท่านตีหน้าผากตีกระบาลพระรู้ไหม   พระองค์ดื้อๆมันมีที่แสดงให้ท่านเห็น   ท่านไม่พูดตรงๆ   ถ้าพูดตรงๆมันจะเจ็บมากไป   กิเลสตัวดื้อของพระจะเกิดขึ้นมา   แล้วจะเป็นบาปแก่ตัวเอง   ท่านจึงหาอุบายพูดอย่างนั้น   ว่าท่านมหานี่ไปซดซ้ายซดขวาอยู่ที่ไหนนา   ไม่เห็นมา   ทั้งๆที่ท่านก็รู้ว่าเราตั้งใจขนาดไหน   เราไม่เคยแตะช้อนเลยท่านก็รู้   แต่ทำไมท่านพูดอย่างนั้น   ก็คือท่านสอนหมู่สอนคณะในวงนั้นนั่นเอง   เวลาขากลับพระก็เล่าให้เราฟังจนได้แหละ   ท่านพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับเรา   พระจะต้องเล่าให้ฟังหมด   บรรดาอุบายของท่านอาจารย์มั่นพูดกับพระหรือพูดถึงเรา

         ฉะนั้น   ต้องระวังการขบการฉัน   ผัดๆ   มันๆ   ถ้ามากๆ   มันก็เสริม   นี่รู้เจ้าของตอนธาตุมีกำลัง   ไม่ได้หมายถึงทุกวันนี้   ทุกวันนี้อะไรมันก็อย่างว่านั่นแหละ   ถ้าเป็นความต้องการทางธาตุขันธ์   เราก็ต้องการให้ฉันได้นั่นแหละ   ส่วนที่ว่ามันจะไปเสริมกำลังให้เป็น   ราคะ   โทสะ   โมหะ   นั้นเราไม่ได้สนใจ   ไม่ได้คิด   แต่มันฉันไม่ได้เพราะเวลานี้ธาตุมันชำรุดของมันแล้ว   นี่พูดให้หมู่เพื่อฟังในการปฏิบัติต่อตัวเอง   ที่มีอายุพรรษาน้อย   มันเป็นไปได้นะ   เรื่องธาตุเรื่องขันธ์มีอะไรไปเสริมมันแสดงตัวขึ้นมาทันที   การภาวนาไม่สะดวก   ผู้เป็นนักภาวนาสังเกตจิต   จะต้องทราบเรื่องธาตุเรื่องขันธ์มันเกี่ยวข้องกับจิตอย่างไรบ้าง   นอนมากมันก็แสดง   ถ้านอนมากราคะจะแสดงอาการกำเริบผิดปกติเหมือนกัน   ต้องได้ระมัดระวัง

         วิธีการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เล่นๆนะ   ต้องมีอุบายแยบคายสำหรับตัวเองสังเกตตัวเอง   สักแต่ทำไปสุ่มสี่สุ่มห้าไม่คิดหน้าคาดหลัง   ไม่ทบทวนเหตุผลโดยทางปัญญาแล้วมันไม่ได้เรื่อง   มันต้องใช้หัวคิดปัญญา

         หมู่เพื่อที่มาอยู่ใหม่นี้ก็ให้ดู   มาศึกษาอบรม   ตามีให้ดู   ท่านพาทำยังไง   หมู่เพื่อนทำยังไง   หูมีให้ฟัง   ท่านพูดอะไร   ให้ดูให้ฟัง   ชื่อว่ามาศึกษาอบรม   ไม่ใช่มาฟังครูบาอารย์ขึ้นต้น   นโม   ตสฺส   ถึงว่าจะเทศน์   การเห็นด้วยตาได้ยินด้วยหูสิ่งที่มาสัมผัสอายตนะของเรา   ที่เกี่ยวข้องกับหมู่กับเพื่อน   ครูบาอาจารย์   ล้วนแต่เป็นการฟังการศึกษาทั้งนั้น   ถ้าเราจะเป็นผู้สนใจต่อการศึกษา   ต้องได้รับการศึกษาการอบรมอยู่ตลอดเวลา   โดยหลักธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกัน

         อย่างไรอย่าลืม   เรื่องการก่อการสร้างยุ่งเหยิงวุ่นวายอย่าหามาทับมาถมจิตใจ   นี้ไม่ใช่งานเพื่อถอดถอนกิเลส   เป็นงานเพิ่มกิเลส   งานสั่งสมกิเลสมากขึ้น   ให้เกิดความกังวลวุ่นวาย   เพราะการสร้างเกี่ยวกับการเงิน   เกี่ยวกับผู้อื่น   เวลานี้ทราบกันไหมว่าเงินกำลังมีอำนาจ   เหยียบย่ำทำลายศีลธรรม   วัดวาอาวาส   ตลอดถึงหัวใจพระเณรแหลกไปหมด   ได้พากันคิดหรือยัง   รีบคิดนะ   ไม่คิดได้หรือมันเกี่ยวข้องกับเราอยู่ทุกเวลา   ตามองเห็นพั๊บ   อดคิดไม่ได้   มันต้องคิด   อะไรๆมีแต่เงินๆ   ใจเมื่อไปทางนั้นแล้วย่อมลืมธรรมนั่นแหละ   ปล่อยให้วัตถุเข้ามาเหยียบย่ำทำลายจิตใจเสีย   เลยไม่ได้เรื่องได้ราวในสิ่งที่ต้องการคืออรรถธรรมอันเป็นของประเสริฐ

         บวชมาแทนที่จะมาถอดถอนกิเลส   มันกลับกลายเป็นเรื่องมาสั่งสมกิเลสด้วย   งานนั้นงานนี้   ด้วยการเสาะการแสวง   ด้วยความพอใจในสิ่งนั้นสิ่งนี้ซึ่งเป็นด้านวัตถุไปเสีย   แล้วมันสั่งสมกิเลสวันหนึ่งๆมากเท่าไร   เราจะว่าเราเป็นกรรมฐาน   เราไม่ได้คิดถึงเรื่องว่าอะไรที่ว่าเป็นภัยแก่จิตใจเวลานี้   จึงหาความสงบร่มเย็น   หาความสว่างแจ่มใสภายในจิตไม่ได้   นั่นคืออะไรพาให้เป็น   ก็คืออารมรณ์ของใจนั่นเอง   อารมณ์ความอยาก   อารมณ์ความหลง   ความฟุ้งเฟ้อความเห่อกับหมู่กับเพื่อนกับวัตถุนิยม   สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องทำลายจิตใจทั้งนั้น   ผู้ตั้งใจเป็นอรรถเป็นธรรมไม่ต้องยุ่ง

         บิณฑบาตรได้อะไรมาฉันพอ   เท่านั้นพอ   ได้น้อยได้มากพอ   ไม่ได้สนใจว่าอาหารมีน้อยอาหารมีมาก   อาหารนี่รสดีไม่ไดี   ไม่สนใจ   พอยังชีวิตให้เป็นไปเท่านั้น   เป็นที่พอใจแล้ว   ขอให้ได้บำเพ็ญธรรมะ   ขอให้ธรรมะสมบูรณ์   สิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญ   เป็นเพียงอาหารปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้น   ความพากเพียรให้สมบูรณ์นั้นเป็นที่พอใจ   นี่เคยได้เหตุได้ผลมาอย่างนี้   จะรู้มากรู้น้อยก็รู้มาด้วยวิธีการนี้   ไม่ได้รู้มาด้วยความเหลือเฟือ   ความอิ่มหนำสำราญ   การกินมากนอนมาก   อยู่สะดวกสบายก็เคยมาแล้ว   แต่ไม่ได้รู้ด้วยวิธีนี้   รู้ด้วยความอดอยากขาดแคลนต่างหาก   เพราะฉะนั้น   จึงกล้าพูดได้ว่า   ธรรมเจริญแก่ผู้ปฏิบัติด้วยความอดอยากขาดแคลน   เขียมๆ   แต่ธรรมหาความเจริญไม่ได้   หรือธรรมฉิบหายไปเพราะความฟุ่มเฟือย   ความเหลือเฟือ   เช่นวัดป่าบ้านตาดนี้เหลือเฟือมาก   แต่จะทำอย่างไรมันเป็นอัธยาศัยใจศรัทธาของประชาชน   เป็นเพียงว่ากระซิบกระซาบบอกพระบอกเณรเราให้รู้วิธีปฏิบัติตัวเอง   ต่อปัจจัยไทยทานทั้งหลายโดยรอบคอบ   ไม่ลืมตัว

         คนนั้นนำมา   คนนี้ก็นำมา   มันขาดได้เมื่อไร   ก็อย่างที่เห็นๆนั่นแหละ   เขาก็อยากจะได้บุญเป็นเจตนาของเขา   เราก็ไม่มีอะไรที่จะตำหนิเขา   แต่เราซึ่งเป็นนักฏิบัติก็ให้รู้ตัวเอาเอง   เพื่อปฏิบัติให้เหมาะสมไม่ให้เสียทางด้านจิตใจของเรา   อาหารประเภทใดที่เป็นภัยต่อการภาวนา   อาหารประเภทใดที่เป็นคุณต่อธาตุต่อขันธ์   ไม่เป็นภัยต่อการภาวนา   ให้ยึดอันนั้นเป็นสำคัญยิ่งกว่าลิ้นกว่าปากกว่าท้อง   อย่าให้ลิ้นปากท้องวิ่งแซงหน้าธรรม   ถ้าลิ้นปากท้องได้เดินหน้าธรรมแล้ว   ธรรมหาทางก้าวไม่ได้   หากทางออกไม่ได้   เพระฉะนั้น   ก็ต้องให้ธรรมเดินหน้าลิ้นปากท้องเสมอ   อย่าถือลิ้นเป็นใหญ่ยิ่งกว่าธรรม   เรื่องปากเรื่องท้องอย่าถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าธรรม   ผู้นี้แหละผู้จะได้ผลในการปฏิบัติ

         เอาทุกข์ก็ยอมรับว่าเราทำงาน   เราฝึกทรมานกิเลส   กิเลสมีกำลังขนาดไหน   เราจะไปทำเบาๆหย่อนๆ   อ่อนๆ   กำลังได้หรือ   กิเลสมีกำลังขนาดไหนก็ต้องได้ทุ่มเทกันเต็มที่   ถึงคราวเป็นเอาเป็น   ถึงคราวตายเอาตายไม่เสียดายชีวิต   เหล่านี้เราได้เคยทำมาแล้ว   ไม่ใช่มาคุยให้หมู่เพื่อนฟังเฉยๆ   ด้วยความโอ้อวดนะ   เราทำมาแล้วทั้งนั้นบางครั้งสละชีวิตทุ่มกันลงเลย   ว่าเอาตายก็ตายเถอะเราถอยไม่ได้   นั่น   ถึงขนาดนั้นก็มี   ไม่ทราบกี่ครั้งกี่หนแล้ว   ไม่ว่าไปอยู่สถานที่กลัวเคยทำแล้ว   เอากลัวอะไรกลัวตรงไหน   เดินบุกป่าเข้าไปที่นั่นเลย

         ขณะเดินจงกรมจิตมันหลอก   เหมือนกับเสือมีกี่สิบตัวไม่ทราบได้   มาหมอบอยู่ข้างทางจงกรมเป็นสิบๆ   รอบทางจงกรม   ดูซิสัญญาอารณ์มันหลอกเรา   ฮึ...มันยังไงกันนี่   เสือทั้งแผ่นดินจะถือเป็นอาหารอันเอร็ดอร่อยเฉพาะพระไม่เป็นท่าองค์เดียวเท่านี้หรือ   ถึงได้มาคอยรุมกินแต่พระองค์เดียวนี้   เสือตัวไหนใหญ่ที่สุดมันอยู่ที่ไหนสัญญามันก็หลอก   มันอยู่ตรงนั้น   เอา...ไปให้ตัวนี้กินก่อนเถอะ   แล้วก็ก้าวออกจากทางจงกรมไปหาเสือตัวที่สำคัญว่าใหญ่ๆ   นั้น   แต่...ไม่มี   นั่นเห็นไหม   มันหลอกเราหนึ่งครั้งแล้วนะ   จำไว้   เอาไปอีกตรงไหน   มันก็หลอกเราว่าตรงนั้นๆ   ว่าตรงนี้ๆ   ก็บุกป่าเข้าไปพร้อมกับตัดสินใจ   เอานะวันนี้นะ   ถ้าความกล้าหาญไม่เกิดไม่ชนะความกลัวเหล่านี้ได้แล้ว   คืนนี้ทั้งคืนจะไปไม่หยุด   ใครจะว่าเป็นบ้าเป็นบอเพราะเที่ยวเวลาค่ำคืนในดงไหนป่าไหนบ้านไหนก็ตามเถอะ   วันนี้จะดัดสันดานมันละ   เราไม่เป็นบ้า   เราดัดกิเลสตัวมันหลอกลวงให้กลัวต่างหาก   ก็บุกใหญ่พิจารณาไปเรื่อย   บุกไปเรื่อย   พิจารณาไปเรื่อย   ว่าเสืออยู่ตรงไหนบุกเข้าไป   ไม่มีฟืนมีไฟบุกเข้าไปกลางคืนมืดๆเลย   มีแต่ผ้าอังสะเท่านั้นแหละติดตัว

         เอากินก็กินเถอะ   พระหนักศาสนาพระแบบนี้   พระขี้ขลาดหวาดกลัวอย่าให้อยู่หนักศาสนานานเลย   เอา...ถ้าไม่รู้ให้ตายวันนี้   ไม่ตายให้รู้   มีเท่านั้นในหัวใจ   ถ้าไม่เกิดความกล้าหาญจนเป็นที่แน่ใจตัวเองขึ้นเมื่อไรแล้ว   จะกลับไม่ได้วันนี้   เอา...เอาให้ถึงเหตุถึงผลกัน   เสือมีเท่าไรมากินเราวันนี้   มากินพระขี้ขลาดหนักศาสนาองค์เดียวนี้   เอากินกินเถอะไม่เสียดายอะไรทั้งนั้น   พาบุกเรื่อยเดินเรื่อย   กำหนดพิจารณาเรื่อย   ว่าที่นั่น   ว่าที่นี่   ว่าที่นี่ว่าที่นั่น   เสือตัวนั่นเสือตัวนี่   เสือตัวนี่เสือตัวนั่น   อยู่ที่นี่อยู่ที่นั่น   แต่ไปที่ไหน...   ไม่มีเสือนี่   นี่มันหลอกเรา   รู้เพลงของมันเรี่อยๆ   ตามกันทัน   ก็กำหนดพิจารณาไม่ถอยนี่   ไม่ใช่บุกป่าแบบบ้าๆบอๆ   แต่บุกป่าแบบภาวนาจะว่าไง   นี่เป็นวิธีภาวนาดัดสันดานตัวจึงทำแบบนั้น   พอรู้เข้าๆ   เข้าใจเรื่อยๆ   ทีนี้จิตมันก็กล้าหาญขึ้นมา

         โอ้โฮ   บทเวลามันกล้าหาญก็ตัวสั่นเหมือนกับเวลามันกลัวนะ   ทีนี้ไม่ว่าอะไรจะมาทำให้กลัว   แม้หมดโลกนี้ก็ไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น   กล้าหาญจนตัวสั่น   ดูซิอำนาจแห่งธรรมเวลาเราปฏิบัติ   ไม่ว่าเสือไม่ว่าช้างอะไรมาก็เถอะ   มันจะอ้าปากกัดเรา   เราสามารถโดดเข้าในปากมันได้เลยโดยมันจะงับเราไม่ได้   ช้างก็ช้าง   เสือก็เสือเถอะ   ไม่กลัวทั้งสิ้น   ยังจะเดินเข้าไปหามันได้สบาย   อะไรก็ตามขึ้นชื่อว่าศัตรูหรืออันตรายแล้วไม่มีกลัว   เมื่อไม่กลัวแล้วไปทำไมทีนี้   เมื่อไม่กลัวแล้วก็กลับ   กลับมาเดินจงกรมสบาย   ไม่มีอะไรละที่นี่   จึงได้เห็นโทษของมัน

         นี่เป็นระยะเป็นครั้งคราว   ไม่ใช่มันระงับมันดับไปทีเดียวหมดไม่ต้องแก้ไขกันอีกนะ   มันมีขึ้นอีกได้เหมือนกัน   วันใดวันหนึ่งมันแสดงขึ้นมาอีก   เราก็สำทับมันทันทีว่า   จะเอาอีกเหรอ   นั่น   เพราะเคยเห็นเหตุผลจากกันมาแล้วนี่   เราได้เหตุได้ผลจากวิธีการนี้มาแล้ว   พอถูกสำทับว่าจะเอาอีกเหรอ   มันก็หมอบเลย   นี่พูดเรื่องความกลัว   กลัวแบบนี้และดัดกันแบบนี้ก็มี   เหล่านี้เป็นอุบายวิธีของแต่ละรายจะผลิตขึ้นมาใช้   ฉะนั้น   การปราบปรามกิเลสจึงต้องมีหลายวิธี   ที่เห็นว่าเหมาะสมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเป็นระยะๆไป

         พูดถึงทุกขเวทนา   กำหนดกันไว้สว่างรุ่งขึ้นวันใหม่เป็นอย่างน้อย   หรือมันจะเตลิดเปิดเปิงไปกว่านั้นก็แล้วแต่เหตุการณ์   แต่อย่างน้อยต้องสว่างเป็นวันใหม่เสียก่อนถึงจะลุกจากที่นี่ได้   เมื่อยังไม่ถึงนั้น   เอา...อะไรจะขาก็ขาดไปเถอะ   วันนี้จะถอยกันไม่ได้ถ้าไม่รู้สัจธรรม   พอพูดแล้วก็ยกมือสาธุขึ้นเลย   ยกมือขึ้นสาธุว่า   สัจธรรมมีเท่าไรขอจงแสดงให้ข้าพเจ้ารู้เห็นให้หมดในคืนวันนี้   ข้าพเจ้าจะฟังสัจธรรมนี้จนถึงสว่างหรือสลบตายไปเท่านั้น   หากสลบล้มลงไป   ได้สติเมื่อไรจะลุกขึ้นมานั่งทันที   ไม่มีข้อยกเว้น   ไม่มีข้อแม้   เช่นเว้นปวดถ่ายหนักถ่ายเบา   ไม่ให้มีข้อยกเว้นกันเลย

         มีเหตุอันตรายฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในวงวัดเท่านั้น   เช่น   เกิดขึ้นกับครูบาอาจารย์หรือพระเณรในวัดนั้นเรายกให้เพราะอยู่กับหมู่กับเพื่อน   แต่สำหรับเจ้าของจะเป็นอะไรก็เป็นเถอะ   ไม่ให้มีการลุกจากที่นั่งสมาธิภาวนา   มันจะปวดขี้   เอา...ทะลักออกไปเลย   เราลุกออกจากที่แล้วเราล้างได้   เราขี้ใส่ตักแม่ขี้ใส่มือแม่ในเวลาเป็นเด็กเล็ก   ทำไมเราขี้ได้   ขี้ใส่ตัวใส่ผ้าของเราเอง   ทำไมเราล้างไม่ได้วะ   หากว่าเราไปมีข้อแม้แล้วมันจะหาทางออก   เดี๋ยวปวดหนักเดี๋ยวปวดเบา   เลยไม่ได้เรื่อง   เมื่อไม่มีอะไรอื่นแล้วมัดมันไว้เลย

         ตอนทุกขเวทนาหนักๆนั่นแหละที่สำคัญมาก   โอ้โฮ   คนเราเมื่อจนตรอกจนมุมจริงๆ   แล้วมันไม่ได้โง่อยู่ตลอดไปนะ   นี่ก็ได้ความรู้ขึ้นมาอีกแง่หนึ่ง   เวลาจนตรอกจนมุมหากทางไม่ได้นั้น   อตฺตา   หิ   อตฺตโน   นาโถ   จะโผล่ขึ้นมาเองและเด่นทีเดียวละ   ก็ไม่มีใครช่วยเหลือเรานี้   เราต้องช่วยตัวเอง   เจ็บปวดหนักลำบากมากเท่าไร   ทุกข์มากเท่าไร   สติปัญญหมุนติ้วๆ   ค้นหาความจริง   มันทุกข์ที่ตรงไหน   เอ้าทุกข์ที่ตรงไหนมาก   เอาตรงนั้นเป็นที่หมาย   เอาตรงนั้นเป็นสนามรบเป็นสถานที่พิจารณา   เช่น   เอวมันปวดมาก   เอาตรงนั้นเป็นที่หมาย   เอาตรงนั้นเป็นสนามรบเป็นสถานที่พิจารณา   เช่นเอวมันปวดมาก   มันจะหัก   เอวมันจะหักตรงไหน   อะไรจะหักอะไรจะเจ็บหนังหรือเจ็บ   กระดูกหรือเป็นทุกข์หรือเอ็นเป็นทุกข์หรืออะไรเป็นทุกข์     เรายกข้อเปรียบเทียบเข้าให้ทันเหตุทันผลปุ๊บปั๊บๆ   ทุกข์มากเท่าไรปัญญายิ่งหมุน   จะอยู่เฉยๆไม่ได้   ความอยากให้ทุกข์ดับไปเท่าไร   ยิ่งเป็นการเพิ่มสมุทัยให้ทุกข์ทวีรุนแรงมากขึ้น

         เราต้องพิจารณาให้เห็นความจริง   ฟาดกันลงไปจนละเอียด   แยกแยะเสียจนชัดเจน   เนื้อเป็นเนื้อ   หนังเป็นหนัง   เอ็นเป็นเอ็น   กระดูกเป็นกระดูก   ต่างอันต่างจริง   สรุปแล้วกายเป็นกาย   ต่างอันต่างจริง   เวทนาเป็นเวทนาเป็นความจริงล้วนๆ   ประจักษ์ขึ้นกับใจว่า   อ๋อ   ที่ท่านว่า   ทุกฺขํ   อริยสจฺจํ   เป็นความจริง   เป็นอย่างนี้เอง   ไม่ต้องถามใครเลย   มันรู้ประจักษ์ใจ   กายก็เป็นความจริงของกาย   เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นสุขเป็นทุกข์   เวลานำไปฝังดินหรือนำไปเผาไฟ   เมื่อจิตไม่ได้ครองอยู่ในร่างนั้นแล้ว   ไม่เห็นเขาว่าอะไรใครเป็นคนว่า

         ทุกข์นี่มันเกิดขึ้นมาจากไหน   ถ้าว่าใจเป็นทุกข์   ใจมันมีอยู่ทุกเวลาทำไมทุกข์ประเภทนี้จึงพึ่งมาเกิด   แล้วทุกข์ประเภทนี้ดับไป   ทำไมใจจึงไม่ดับด้วย   ถ้าว่าใจเป็นทุกข์   ทุกข์เป็นใจ   เป็นอันเดียวกันจริงๆ   ถ้าว่ากายเป็นทุกข์   ทุกข์เป็นกายก็เหมือนกัน   เวลาทุกข์นี้ดับไป   ทำไมกายยังมีอยู่   ไม่เห็นดับไปด้วยล่ะ   มันแยกมันแยะ

         กำหนดพิจารณาที่ไหน   จิตจ่อลงไปๆ   กำหนดลงไป   พอมันรอบของมันแล้ว   ทุกข์ดับหมดเลยไม่มีเหลือ   ต่อจากทุกข์ดับหมดแล้ว   กายหายเงียบไปหมดจากความรู้สึก   แต่ใครอย่ามาคาดนะ   ให้เป็นตามหลักธรรมชาติของตนเอง   จะมาคาดอย่างนั้นไม่ได้   ต้องเป็นสมบัติของใครของเรา   ตาาจริตนิสัยของใครของเราจะแสดงขึ้นมาอย่างไรจะทราบเองเป็นสัทิฎฐิโก   อย่าคาดเรื่องของผู้นั้นผู้นี้มาใส่ตัว   จอกจากจะยึดเอาปฏิปทาการดำเนินของท่านมาประพฤติปฏิบัติ   เพื่อให้เห็นผลตามจริตนิสัยของตนเท่านั้นนั้นถูกต้อง

         การปฏิบัติจะมายึดว่าจิตของเราเป็นอย่างท่าน   คือ   ดับร่างกายทุกส่วนในความรู้สึก   ไม่มีอะไรเหลือ   ทั้งที่จิตไม่เป็นเหมือนท่านว่า   นั่นไม่ถูก   เพราะเป็นความดับด้วยสัญญาความคาดหมายต่างหาก   ต้องให้เป็นขึ้นกับตัวจริงก็รู้เอง   ข้อนี้จะไปคิดไปยึดไม่ได้นะ   ให้เป็นตามนิสัย   แม้แต่ผมเองก็รู้เคยเป็นหลายอย่าง   ผมก็ไม่ค้านเจ้าของ   เพราะป็นความจริงแต่ละอย่างๆ   จะค้านความจริงได้เหรอ   เวลามันดับหมดจนไม่มีอะไรเหลือเลยในบรรดาส่วนของกาย   เหลือแต่จิตที่เป็นของอัศจรรย์ล้วนๆเท่านั้น

         เมื่อเหลือแต่จิตโดยเฉพาะ   อะไรจะอัศจรรย์เท่าเล่า   ทั้งๆที่อวิชชายังมีอยู่ภายในใจนะ   แต่ขณะนั้นมันอัศจรรย์ที่สุดเพราะไม่เคยรู้เคยเห็นนี่   มันรวมลงอย่างบอกไม่ถูก   เมื่อกายเป็นกาย   เวทนาเป็นเวทนา   จิตเป็นจิต   ต่างอันต่างจริงแล้วมันก็ไม่กระทบกัน   หลังจากนั้นมันก็พังทลายลงไปแล้ว   เวทนาดับหมดๆ   กายหายเงียบไปในความรู้สึกขณะนั้น   เหลือสักแต่ว่ารู้   พูดไม่ได้นะว่ามีแต่ความรู้ล้วนๆ   เด่นๆ   อย่างนี้   พูดไม่ได้   ละเอียดกว่านั้นไปอีก   เราพูดได้แต่ว่าสักแต่ว่ารู้   หากเป็นของอัศจรรย์อย่างยิ่ง   ฟังดูซิไม่มีอะไรปรากฎเลย   นี่ละผลของปัญญเกิดขึ้นจากความคิดค้นในเวลาจนตรอกจนมุม

         เพราะฉะนั้น   จึงว่าคนเราน่ะไม่ได้โง่อยู่ตลอดไปนะ   เป็นแต่ปกตินิสัยมนุษย์เราชอบพึ่งพิงคนอื่น   ไม่ชอบพึ่งตัวเอง   มันจึงไม่ได้เรื่อง   นิสัยของมนุษย์เราปกติธรรมดาเป็นอย่างนั้น   แต่เวลาถึงคราวจนตรอกจนมุมหาที่พึ่งไม่ได้จริงๆแล้ว   มันย้อนเข้ามาหาตัวเอง   พึ่งตัวเองเป็น   อตฺตา   หิ   อตฺตโน   นโถ   ขึ้นมาประจักษ์ใจ   อันนี้เด่นชัดในเวลานั้น   พอได้ที่หนหนึ่งแล้ว   ใจยิ่งมีความกล้าหาญชาญชัย   ครั้งต่อไป   เอ๊า   ฟาดลงไปอีก

         แต่การพิจารณาจะยึดอารมณ์อดีตที่เคยพิจารณาได้ผลมาแล้วมาพิจารณาอีกอย่างเดิมไม่ได้นะ   ต้องให้มันคิดขึ้นมาสดๆร้อนๆ   ด้วยอุบายของเราในปัจจุบันแต่ละครั้งให้คิดขึ้นมาเอง   แม้จะตรงกับอุบายกันอันเก่าก็ได้...ไม่ผิด   และได้ผลเท่ากัน   ขอให้คิดค้นขึ้นมาสดๆร้อนๆ   ในปัจจุบัน   เป็นความถูกต้องเหมาะสมในการแก้กิเลสทุกประเภทและทุกๆครั้งไป   ถ้าไปคาดเอาอุบายของวันนั้นมาใช้เอาอุบายของวันนี้มาใช้....ไม่ได้นะ   มันต้องเอาอุบายใหม่เท่านั้นมาใช้   คิดขึ้นมาปัจจุบัน   ค้นขึ้นมาพิจารณาขึ้นมาเป็นปัจจุบัน   มันหากรู้ขึ้นมาเอง   นั่นแหละเหมาะกับการแก้กิเลสที่มีอยู่ในปัจจุบันและอยู่ภายในจิต   พิจารณาแยกแยะโดยอุบายต่างๆ   ตามแต่ความแยบคายของเต่ละราย

         การพิจารณาจงดูให้ชัด   กระดูกมีมาแต่วันเกิด   เมื่อเจ็บปวดกระดูก   มันเข้าใจว่ากระดูกเป็นทุกข์   จิตมันก็สงวนกระดูก   เกาะยึดในกระดูก   กำหนดดูกระดูกและกำหนดดูทุกข์ว่าเป็นอันเดียวกันไหม   รูปลักษณะมันต่างกันไหม   ทุกข์ไม่มีรูป   ไม่มีลักณะ   แต่กระดูกมันมีรูปมีลักษณะ   มีสีสันวรรณะ   หนัง,   เนื้อ,   เอ็นเหมือนกัน   ทุกขเวทนามันไม่มีรูปมีลักษณะ   มันต่างกันอย่างนี้   แยกลงไป   พิจารณาลงไป   จิตมันจ่อๆ   กำหนดลงไป   ทุกข์มากเท่าไรมันยิ่งหมุนติ้วๆจนเข้าใจชัดเป็นสัดเป็นส่วนแล้วปล่อย   เห็นชัดแล้วปล่อย   ใจก็เข้าสงบตัวอย่างสนิทพร้อมความอัศจรรย์เกินคาด   ไม่ถามใคร

         สมาธิประเภทนี้อาจหาญมาก   ผิดกับสมาธิที่เรากำหนดโดยทางอารมณ์ของสมถะแล้วสงบตัวลงไปอยู่มาก   เพราะอย่างผมนี้ชำนาญทางสมาธิมานาน...ไม่ใช่คุย   พูดให้หมู่เพื่อนฟังซึ่งเป็นลูกศิษย์ลูกหา   พูดเป็นกันเอง   พูดให้ฟังตามความสัตย์ความจริง   เรื่องสมาธินี้ชำนาญจริง   เพระาจิตติดสมาธิอยู่ตั้งห้าปี   กำหนดให้ลงเมื่อไรได้ทุกเวลาไม่มีฝืน   เพราะความชำนาญนั่นเอง   พอกำหนดให้ลงไป   มันแน่วอยู่นั้นเสีย     แต่ไม่อาจหาญเหมือนกับสงบลงไปด้วยปัญญา   ซึ่งกำหนดพิจารณารู้เท่าทันทุกสิ่งทุกอย่าง   แล้วปล่อยให้สงบลงไป   นี่มันอาจหาญมากนะ   สง่าผ่าเผยอยู่ภายในนั้นแหละ   ผิดกันกับที่เข้าไปสงบอยู่เฉยๆอยู่มาก

         วิธีการนี้พอถอนออกมาแล้วก็ได้ความอาจหาญ   เป็นคติเครื่องยึดและดำเนินเป็นอย่างดี   นี่เป็นวิธีการแบบหนึ่งของการสมาธิภาวนา   แม้จะไม่แสดงไว้ในแบบแผนตำรับตำราก็ไม่สงสัยว่าจะผิดไป

         เมื่อได้เห็นผลครั้งหนึ่งแล้วเท่านั้น   ทีนี้จิตใจมันกล้าหาญเป็นคนใหม่ขึ้นมาเลย   เรื่องความตายไม่สะทกสะท้าน   มีแต่จะให้รู้ความจริงเท่านั้น   เอา...ตายก็ตายเถอะ   แน่ใจเจ้าของด้วยว่าจะไม่พลังไม่เผลอเพราะอำนาจแห่งทุกขเวทนามาครอบงำในเวลาจะตาย   เพราแน่ใจว่าเวลาจะตายจริงๆ   ทุกข์จะเอาเวทนาหน้าไหนมาหลอกเราวะ   ก็เวทนาที่ปรากฎอยู่เวลานี้แล   เวลาเกิดความทุกข์สาหัสก็จะเป็นอย่างนี้   ไม่ผิดจากนี้ไปเพราะเราได้พิจารณาชัดเจนแล้ว   ได้รู้แล้ว   ได้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว   ว่าเป็นสัจธรรมเต็มภูมิ   ใจก็เป็นสัจจะคือความจริงอันหนึ่งเต็มภูมิของใจ   เวลาจะตายจะเอาอะไรมาหลอกเราวะ   จะเอาเวทนาหน้าไหนมาหลอกเราให้หลงล่ะ   แน่ใจว่าไม่หลง

         แล้วยังแยกแยะขันธ์ดูอีกว่าอะไรตาย   เมื่อเข้าใจขนาดนั้นแล้ว   ธาตุสี่   ดิน   น้ำ   ลม   ไฟ   สลายตัวลงไปต่างหาก   มันตายที่ไหน   มันสลายจากส่วนผสมลงไปสู่ธาตุเดิมของมันตามหลักความจริงต่างหากนี้   จิตก็เป็นจิตต่างอันต่างจริง   ใจจึงอาจหาญชาญชัยต่อความเป็นความตายต่อความทุกข์ความลำบาก   ใจยิ่งสง่ายผ่าเผยขึ้นมาโดยลำดับๆนั่นฟังซิ   ความจริงเป็นอย่างนั้น

         การสละตายมาอย่างนี้ได้สละมาไม่ทราบว่ากี่ครั้งแล้ว   เกี่ยวกับเรื่องความกลัวอะไรๆก็เคยทำแบบนั้นสละตายแบบนั้น   เรื่องทุกขเวทนา   มันกลัวทุกขเวทนาก็ต้องสละตายแบบนั้น   แล้วได้ผลทุกแบบที่ทำมานี้   เฉพาะอย่างยิ่งการนั่งภาวนา   ถ้าลงวันไหนได้ฟาดกันตลอดรุ่งแล้ว   วันนั้นต้องได้รู้จิตยอดเยี่ยมทุกวัน   เป็นแต่เพียงว่ามันลงได้ยากง่ายต่างกัน   ช้านานต่างกัน   ถ้าคืนที่อากาศดีๆยิ่งให้ฝนพรำด้วยแล้วนั่งภวานาตลอดรุ่งวันนั้นช่วยได้ดีทีเดียว   ถูกสัปปายะ   ดินฟ้าอากาศเป็นที่สบายช่วยการภาวนาได้ดี   พิจารณาธรรมทั้งหลายเหมือนกับคีมปากคมๆนั่นแล   พอหนีบปั๊บติดปั๊บๆ   กำหนดพิจารณาอะไรมันเข้าใจปั๊บๆ   ทะลุๆ   ทีเดียว   ก็ลงผึง   แน่วแน   อัศจรรย์เกินคาด

         วันเช่นนั้นทุกขเวทนาไม่ครอบงำมากเหมือนวันอื่นๆ   ที่อากาศไม่อำนวย   นั่งเวลาเท่ากันก็ตาม   สำคัญที่จิตลงได้ง่ายได้ยาก   จิตพิจารณายากพิจารณาง่าย   ลงยากลงง่าย   ถ้าวันไหนได้พิจารณาฟาดกันจนบอบช้ำแทบจะเป็นจะตายแล้วใจถึงลงวันนั้นทุกข์มาก   ร่างกายบอบช้ำมาก   ออกจากสมาธิมาแล้วยังเจ็บปวดไปหลายเวลา   ถ้าวันไหนจับปั๊บติดปั๊บๆ   ลงปุ๊บ   และพอถอนขึ้นมากำหนดพิจารณาอีกลงปุ๊บอีก   ทุกขเวทนาไม่พอจะมาครอบงำได้   พอถึงเวลาแล้วลุกไปเฉย   ธรรมดา   เหมือนไม่ได้นั่งตลอดรุ่งมาก่อนเลย   ไม่มีความเจ็บปวดอะไร

         อ๋อ...   ทำให้ระลึกย้อนหลังไปถึงพระพุทธเจ้าแลสาวกที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติ   จิตขณะที่เป็นอยู่เอกเทศเพียงอันเดียวนั้น   ไม่ได้รับทราบอะไรในส่วนร่างกาย   จะอยู่ไปตั้งกัปตั้งกัลปทำไมจะอยู่ไม่ได้   เป็นอย่างนั้นนะจิต   แม้ร่างกายเป็น   อนิจฺจํ   ทุกฺขํ   อนตฺตา   แต่จิตมันไม่ได้มาเกี่ยวกันเลยในขณะนั้น   หากร่างกายแตกสลายไปตามกฎของมัน   ก็คงไม่กระเทือนถึงจิตในขณะที่เป็นเช่นนั้นอยู่   เพราะไม่เกี่ยวข้องกันเลยในขณะนั้น

         เรามาเทียบเรื่องทุกขเวทนาว่ามีมากมีน้อยทั้งๆที่เวลาเท่ากัน   เพราะการพิจารณาลำบากสะดวกต่างกัน   นี่เราก็ได้ข้อคิดได้เป็นคติสอนเจ้าของ   แต่อย่างไรก็ตาม   ผลอัศจรรย์ต้องทุกครั้งทุกคืน   ถ้าลงได้ทำถึงขนาดนั้นแล้วได้ทุกครั้งไม่มีพลาด

         นี่การภาวนา   สำหรับผมมันฟากตาย   แต่เราก็พอใจเมื่อคิดย้อนหลังก็ภูมิใจความเพียรของตัว   พอมาอยู่กับหมู่เพื่อเห็นทำกันงิบๆ   แง๊บๆ   งอบๆ   แงบๆ   รำคาญตารำคาญใจ   บอกเตือนแทนที่จะเข้าอกเข้าใจเพราะเป็นของหยาบๆ   ยังต้องบอกซ้ำๆซากๆ   มันยิ่งรำคาญ   เอ...มันยังไงกันนี่   มันทำให้ฉงนสนเท่ห์ในใจ   เอ๊ะ...ยังไงนี่ต่างองค์ก็ตั้งจิตตั้งใจมาฟังมาปฏิบัติ   แต่ทำไมพูดอย่างนี้ๆ   ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจนี่นา   ไม่ใช่ของรายละเอียดอะไรพอที่จะท่องบ่นสาธยายเหมือนสวดมนต์สวดพร

         ฉะนั้น   จงเร่งพิจารณาให้เป็นจริงเป็นนจังตามหลักธรรม   อย่าเอาเรื่องอะไรมายุ่งเหยิงวุ่นวายภายในใจ   ถ้าเดินตามนี้กิเลสมันจะทนได้หรือ   พระพุทธเจ้าแก้กิเลสด้วยวิธีนี้   ด้วยอุบายเหล่านี้   ทำไมกิเลสเป็นประเภทเดียวกันกับครั้งพุทธกาล   ธรรมะเครื่องแก้กิเลสก็ประเภทเดียวกัน   ความเพียรก็ประเภทเดียวกัน   แล้วทำไมจึงแก้กันไม่ได้วะ   มันน่าคันฟันแทนจริงๆนี่

         อกาลิโกหมายถึงอะไร   กิเลสก็มีอยู่กับหัวใจเราตลอดกาลเวลา   ธรรมะคือความพากเพียรเป็นต้นผลิตขึ้นมา   เพราะมีอยู่ตลอดกาลเวลาเหมือนกัน   หากแก้กิเลสได้แล้วก็เป็นอกาลิกจิต   อกาลิกธรรม   เป็นธรรมแท่งเดียว   หากาลเวลาไม่ได้   แน่ะ   จะให้พูดอะไรยิ่งกว่านี้ไปอีก   มันหมดภูมิของผู้เทศน์แล้ว   เอาเท่านี้แหละ

- จบ -