พระผู้วิเศษ
โดย พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
เทศนาอบรมข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ
ณ อาคารรัชมังคลาภิเษก กระทรวงศึกษาธิการ
วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๕

ณ โอกาสต่อไปนี้ จะได้แสดงธรรมคำสั่งสอนอันเป็นแนวทาง
แห่งการปฏิบัติของพุทธบริษัททั้งหลายเราเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ
มีพระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสนา พระพุทธเจ้า พระสงฆ์เป็นพระของเรา
เมื่อเรามัวเข้าใจเฉพาะแต่ว่าพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ เป็นพระของเรา
เราอาจจะลืมนึกพระอีกสององค์ซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างเรา

พระสององค์นั้นคือพระพ่อกับพระแม่ พระสององค์นี้เป็นพระผู้วิเศษ
วิเศษเสียยิ่งกว่าพระเจ้าในศาสนาคริสต์ เพราะท่านเป็นผู้สร้างเรามา
และท่านเป็นผู้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เรา ให้ร่างกาย ให้จิตใจ ให้วิชาความรู้
ให้ทรัพย์สมบัติ บรรดาที่เป็นทรัพย์สมบัติของท่าน ท่านยกให้เราผู้เป็นบุตรหมด
แล้วก็พ่อแม่ไม่เคยมีความอิจฉาตาร้อนในลูกของตน มีแต่ความรักเมตตาปรานี
ซึ่งท่านทั้งหลายที่มีครอบครัวและบุตรตัวเล็กก็คงจะเข้าใจดี

โบราณท่านว่า คนเรานี่จะนึกถึงและซาบซึ้งในคุณของพ่อของแม่ด
ีก็ต่อเมื่อตัวมีบุตร เห็นจะเป็นความจริง ซึ่งในเรื่องพุทธประวัติ
พระเจ้าอชาตศัตรูไปหลงคำยุยงของท่านเทวทัต ซึ่งท่านเทวทัต
เป็นผู้มักใหญ่ใฝ่สูง มีความต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้าแทนองค์พระศาสดา
จึงคิดลอบปลงพระชนม์ของพระพุทธเจ้าด้วยประการต่าง ๆ
แต่ก็ไม่สำเร็จได้
นัยว่าพระเจ้าพิมพิสารซึ่งเป็นพระบิดาของพระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้
ทรงอุปถัมภ์และคอยป้องกันภัย ถวายแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดมา

ก็ภายหลังเมื่อท่านเทวทัตเห็นท่าทีว่าจะไม่สำเร็จ ก็ไปยุยงพระเจ้าอชาตศัตรู
ซึ่งเป็นรัชทายาท เป็นโอรสของพระเจ้าพิมพิสาร โดยให้ทูลขอราชสมบัติ
จากพระบิดา ในที่สุดพระบิดาก็พระราชทานราชสมบัติให้เจ้าชายอชาตศัตรู
เป็นผู้ครองแผ่นดิน แต่กระนั้นท่านเทวทัตก็ไม่เลิกละการยุยงส่งเสริมโดยอ้าง
เหตุผลว่า แม้พระองค์จะพระราชทานราชสมบัติให้แล้วก็ตาม เผื่อว่าเกิด
ขัดพระทัยหรือทรงพระพิโรธอาจจะยึดคืนก็ได้

ถ้าอย่างนั้นเราจะทำอย่างไร ทางที่ดีที่สุดขอให้พระองค์ปลงพระชนม์
พระบิดาเสีย เป็นการแน่นอนที่สุด ลงผลสุดท้ายพระเจ้าอชาตศัตรูก็หลงเชื่อ
จับพระบิดาเข้าไปขังไว้ในคุกทรมานด้วยประการต่าง ๆ จนพระองค์สิ้นพระชนม์

เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์เพราะการทรมานนั้น มหาดเล็กผู้เฝ้าดูเหตุการณ์เมื่อ
ทราบว่าพระเจ้าพิมพิสารเสด็จสวรรคตแล้ว ก็ชวนกันจะเข้าไปกราบบังคมทูล
พระเจ้าอชาตศัตรู พอเข้าไปถึงห้องท้องพระโรง พร้อม ๆ กันนั้น
ในระยะเดียวกันนั้นเอง โอรสของพระเจ้าอชาตศัตรูก็ประสูติพอดี ผู้ที่เฝ้า
ดูแลเหตุการณ์ก็เตรียมที่จะไปกราบทูลเรื่องพระโอรสประสูติ
แล้วก็ไปพบกันที่ห้องโถง พอรู้เรื่องราวแล้ว ทั้งสองก็ปรึกษาหารือกันว่า
เราจะเอาเรื่องอะไรขึ้นไปกราบบังคมทูลก่อน ทีนี้ก็ลงความเห็นกันว่า
เอาเรื่องพระโอรสประสูติกราบบังคมทูล
พอเสร็จแล้วก็กราบบังคมทูลว่า

"สมเด็จพระบรมราชินีทรงประสูติพระโอรสแล้วพระเจ้าค่ะ"

พระเจ้าอชาตศัตรูยังไม่ได้ถามเลยว่าเป็นชายหรือเป็นหญิง
กลับไปถามว่า

"เอ้อ! บิดาเราเป็นอย่างไร"

"สิ้นพระชนม์เสียแล้ว พระเจ้าค่ะ"

มารู้สึกเอาตอนนั้นว่าตัวได้ทำผิดแล้ว แต่ว่ามันสายเสียแล้ว อันนี้เป็นหลักฐาน
ที่ส่อแสดงให้เราเข้าใจที่โบราณท่านมักจะสอนลูกสอนเต้าว่า เอ้อ! ถ้าหากว่า
พวกเจ้ายังไม่มีลูกมีเต้า พวกเจ้าก็จะยังไม่คิดถึงบุญคุณของพ่อแม่ดอก
เมื่อมีลูกมีเต้าออกมานั่นแหละ จึงได้สำนึกบุญคุณของพ่อของแม่

อันนี้ลอง ๆ ไปพิจารณาดู ดังนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงตรัสว่า มาตาปิตุอุปัฎฐานัง การอุปัฎฐากบิดามารดาเป็นมงคลอันสูงสุด
เพราะบิดามารดาเป็นพระพรหมของลูก บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของลูก
บิดามารดาเป็นเนื้อนาบุญของลูก เพราะฉะนั้น ชาวพุทธเรานี่ควรจะได
้รู้จักพระสององค์นี้ก่อน อย่างบางทีอาตมาเคยเห็นคนบางคนกำลังจัดของ
จะไปจังหันพระ ตาแก่ยายแก่มองดูแล้ว

"เออ! ของนี่น่าอร่อย แม่ขอกินหน่อยได้ไหม"

"ไม่ได้ ไม่ได้ ฉันจะเอาไปวัด บาป"

เพราะฉะนั้น ให้ถือคติเสียว่า เรามีมือสองข้าง วันหนึ่ง ๆ ก่อนที่จะยกขึ้น
ไหว้ใครต้องยกขึ้นไหว้พ่อแม่เราก่อน ถึงแม้ว่าท่านไม่อยู่ด้วยก็ตาม
พอตื่นจากที่นอนมาแล้ว พนมมือสองข้างขึ้น
"สาธุ .... ข้าพเจ้าไหว้พ่อไหว้แม่"ทำทุกวัน ๆ เป็นสิริมงคล

ถ้าหากว่าท่านอยู่ต่อหน้าเรา ก่อนจะไปทำงานทำการก็ยกมือขึ้นไหว้
หรือกราบตักท่านก่อน เพราะว่าออกไปข้างนอกแม้เราจะต้องไปพบเพื่อนฝูง
ผู้หลักผู้ใหญ่ เราจำเป็นจะต้องยกมือไหว้
เพราะฉะนั้น วันหนึ่ง ๆ เราต้องยกมือขึ้นไหว้พ่อแม่เราก่อน
ถ้ามีของอุปโภค บริโภคต้องยกประเคนให้พ่อแม่เราก่อน
ก่อนที่จะเอาไปให้คนอื่น หรือถวายพระก็ตาม
ต้องมีส่วนแบ่งให้พ่อให้แม่

ถ้าหากว่าใครจะเลี้ยงดูพ่อแม่ของตนเองให้มีความสุขสบายจริง ๆ
แม้ว่าเราจะมีทรัพย์สมบัติมากมายก่ายกองในโลกนี้ เรามอบทรัพย์
สมบัติบรรดาที่เรามีอยู่ไปประเคนให้พ่อให้แม่ทั้งหมด หรือว่าเรา
อาจจะเอาพ่อเอาแม่ของเรานี่ เอาพ่อนั่งบนบ่าข้างหนึ่ง เอาแม่นั่ง
บนบ่าข้างหนึ่ง เอาศรีษะของเรารองรับสำรับเครื่องอุปโภคบริโภค
เมื่อเวลาท่านหนักเบา ก็ให้ท่านถ่ายราดตัวลงไป ทำอยู่อย่างนั้นจน
ตลอดชีวิต ก็ไม่ชื่อว่า เป็นการสนองพระคุณของท่านให้ถึงที่สุดได้

มันง่ายนิดเดียว ถ้าจะทำง่ายนิดเดียว ที่ว่าง่าย ทำอย่างไร
ถ้าเรายังอยู่ในการปกครองใกล้ชิดพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่บอกว่า
"อย่านะลูก" หยุดทันที
"อย่านะ" หยุดทันที

ทำไมถึงต้องหยุด พ่อแม่บางคน ถ้าหากเห็นว่าลูกของตนไม่อยู่
ในโอวาทคำสั่งสอนไม่เชื่อคำสั่งสอน ทำอะไรเอาแต่ใจตัวเอง
บางทีถูกว่ากล่าวตักเตือน เดินลงส้นตึง ๆ หนึไปต่อหน้า
พ่อแม่บางคนใจอ่อน แถมเป็นโรคหัวใจด้วย ประเดี๋ยวคนแก่
ก็เป็นลมชักตาย หรือไม่ก็สลบไป

ถ้าเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น อนันตริยกรรม นี่คืออนันตริยกรรม
ท่านโมคคัลลาน์ว่าฆ่าพ่อฆ่าแม่ ท่านไม่ฆ่าให้ตายหรอกนะ
อย่าไปเข้าใจผิด ท่านหลงเชื่อคำภรรยาที่ไม่ชอบพ่อแม่ของท่าน
ภรรยาของท่าน ยุยงส่งเสริมบอกว่า

"ถ้าเอาตาแก่ยายแก่สองคนอยู่ในบ้าน ฉันจะไม่อยู่
ฉันจะกลับไปอยู่บ้านพ่อบ้านแม่ของฉัน"

ในช่วงนั้นท่านหลงรักเมียมากเกินไป ไปหลงเชื่อเมีย ก็เอาบิดามารดา
บรรทุกใส่ล้อเกวียนขับเข้าไปในป่าเลย พอไปถึงป่ารก ก็ทำไปจอดเกวียนเอาไว้
แล้วก็ทำทีเหมือนโจรวิ่งออกมาจากป่า ส่งเสียงร้อง เอามัน ๆ เอามัน ๆ
แล้วก็มาทุบตีพ่อแม่ โดยเจตนาคือหวังจะให้ตายนั่นแหละ แต่บังเอิญคุณแม่
ของท่านก็พูดขึ้นมาว่า

"ลูกเอ๊ย เจ้าหนีไปไกล ๆ พ่อแม่แก่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง
เจ้าเอาตัวรอดเถิด เจ้ายังน้อยยังหนุ่ม"

พอได้ยินเท่านั้นใจอ่อนเลย พอใจอ่อนลงก็ทำทีวิ่งหนึไป แล้วก็ย้อนกลับ
มาปลอบโยนพ่อแม่ แล้วก็นำกลับไปบ้าน เอาละ ระหว่างคนรักกับพ่อแม่

"ฉันต้องเลือกเอาพ่อแม่ของฉันเด็ดขาด เธอจะอยู่หรือไม่อยู่ไม่สำคัญ
ขอให้ฉันมีพ่อแม่อยู่เป็นคู่ชีวิตของฉันต่อไปพอใจแล้ว"

แต่กระนั้น แม้ท่านยังไม่ได้ทำให้พ่อแม่ถึงขนาดล้มตาย เพียงแต่ทุบตี
ให้เจ็บเท่านั้น บาปเป็นอนันตริยกรรม ไปเวียนว่ายเกิดอยู่ในนรกไม่รู้กี่หน
จนกระทั่งเกิดมาศาสนาพระสมณโคดมจึงได้มาอุปสมบท ได้สำเร็จพระอรหันต์
พอได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว พอจวนท่านจะปรินิพพานก็ถูกโจรทุบเสียจน
กระดูกแหลก จนได้เข้าฌานประสานกระดูก เหาะมาทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อ
นิพพาน อันนี้คือเศษของกรรม เศษของกรรมที่มันยังเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย

เรื่องของอนันตริยกรรมนี่มันเป็นกรรมหนัก ถ้าใครทำในชั่วชีวิตนี้
ชาตินี้เป็นอันหมดโอกาสที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน แต่ว่าชาติต่อ ๆ ไป
นั่นไม่เป็นอุปสรรค เพราะฉะนั้น กรรมหนัก ที่เราควรจะระมัดระวัง
อย่าประทุษร้ายพ่อแม่ของตน

การประทุษร้ายนี่ ประทุษร้ายทุบตีทางกายหรือทำให้เจ็บช้ำ ประทุษร้าย
ทางใจหมายความว่าทำให้เจ็บอกเจ็บใจหรือช้ำใจ หรือทำให้เสียใจ
เพราะฉะนั้น ให้ถือคติเอาไว้ว่า ถ้าผู้ใดจะรักเคารพบูชาพ่อแม่ของตน
จริง ๆ ในเมื่อท่านบอกว่า "อย่า" แล้ว หยุด ทันที

ถ้าหากสิ่งนั้นเรายังไม่พอใจ เอาไว้โอกาสหลังใจดี ๆ มาคุยกับท่าน
เพื่อเอาอกเอาใจท่าน อันนี้เป็นหลักอันหนึ่ง ที่ชาวพุทธเราต้องยึดถือ
เป็นหลักในการปฏิบัติ อันนี้เป็นการปฏิบัติกับพ่อกับแม่

** หมายเหตุ

จัดทำเมื่อ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๒
พบข้อบกพร่อง มีข้อเสนอแนะ บอกกันบ้างครับ
สารบัญธรรมปฏิบัติ
อ่านข่าวเมืองไทย