วิตถารกถา ( กถาแสดงโดยละเอียดกว้างขวาง
) แห่งภาวนาวิธี
- คำพรรณา ( ต่อไป ) นี้เป็นคำกล่าวอย่างพิสดารในข้อว่า
" อย่าทำภาวนาวิธีทั้งปวงให้เสื่อมไป บำเพ็ญขึ้นเถิด "
นี้ โดยกล่าวภาวนาวิธีแห่งกรรมฐานทั้งหมด จับปฐวีกสิณเป็นต้นไป ณ กาลบัดนี้
ปฐวีกสิณ
- ความพิสดารว่า ภิกษุผู้ตัดปลิโพธเล็กน้อยเสียได้อย่างนี้แล้ว
กลับจากบิณฑบาต หลังอาหาร บรรเทาความเมา
อาหารแล้ว นั่งอย่างสบาย ( มหาฎีกาว่า นั่งสบายอย่างนั่งกรรมฐาน คือขัดสมาธิ
ตั้งกายให้ตรง ) ในโอกาสที่
สงัด พึงถือเอานิมิตในดินที่แต่งขึ้นหรือไม่แต่งก็ได้ จริงอยู่ ข้อนี้พระโบราณาจารย์
ก็ได้กล่าวไว้ว่า " พระโยคาวจร
ผู้จะขึ้นเอาปฐวีกสิณ ถือเอานิมิตในดิน ที่แต่งขึ้น
- หรือมิได้แต่งขึ้นก็ตาม ( แต่ต้อง
) เป็นดินมีที่สุด คือมีกำหนด สัณฐานกลม ชักวงรอบได้ มิใช่ ( กว้างใหญ่จน )
ไม่มีที่สุด คือไม่มีกำหนดสุด สัณฐานไม่กลม ชักวงรอบไปไม่ได้ ขนาดเท่ากะโล่หรือเท่าชามอ่าง
เธอทำนิมิตนั้นให้ขึ้นดี
( มหาฎีกาว่า ลืมตาดูจนถือเอานิมิตในดินนั้นได้แล้ว หลับตานึกดูนิมิตนั้นปรากฏเหมือนในขณะลืมตาดูเมื่อใด
เมื่อนั้นชื่อว่า ทำให้เป็นอุคคหนิมิตนั่นเอง ) กำหนดจดจำไว้อย่างดี ครั้นเธอทำนิมิตนั้นให้ขึ้นดี
กำหนดจดจำไว้
อย่างดีแล้ว จะเป็นผู้เห็นอานิสงส์ มีความสำคัญ ( ในปฐวีนิมิต ) ว่าเป็นดวงแก้วแล้วตั้งความยำเกรง
( ในนิมิตนั้น
ด้วยเห็นเป็นสำคัญไม่ปล่อยให้เสื่อมไปเสีย ) รัก ( นิมิตนั้น ) อยู่ ผูกจิตไว้มั่นในอารมณ์
( คือนิมิตที่ขึ้นดี ) นั้น
เธอสงัดจากกามทั้งหลายทีเดียว ฯลฯ เข้าถึงปฐมฌานอยู่ " ดังนี้
- พระโยคาวจรผู้ใดเคยบวชในพระศาสนาหรือว่าบวชเป็นฤษี
ทำจตุกฌาน หรือ ปัญจกฌานในปฐวีกสิณให้เกิด
มาแล้วแม้ในอดีตภพ นิมิตในดินที่มิได้แต่ง ( ดังกล่าว ) ในคำอรรถกถาโบราณนั้น
คือในที่ ( ดิน ) ที่เขาไถแล้ว
หรือในที่วงกลมแห่งลานนวดข้าว ย่อมเกิดขึ้นได้แก่พระโยคาวจรผู้มี ( ภาวนามัย
) บุญ ผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย
( แห่งภาวนา ) เห็นปานนั้น ดุจพระมัลลกเถระ
- ได้ยินว่า เมื่อท่านองค์นั้น (
เพ่ง ) ดูที่ ( ดิน ) ที่เขาไถแล้ว นิมิตขนาดเท่าที่ ( ที่ดูเห็น ) นั้นได้เกิดขึ้น
ท่านขยายนิมิตนั้นยังปัญจกฌานให้เกิดแล้วเจริญวิปัสสนามีฌานเป็นบาทฐาน ได้บรรลุพระอรหัต
- ส่วนพระโยคาวจรผู้ใดมิได้ทำบุญญาธิการไว้อย่างนั้น
พระโยควจรผู้นั้นอย่าพึงทำกรรมฐานวิธีที่เรียนมาในสำนัก
ของอาจารย์ให้ผิดไป เว้นกสิณโทษ ๔ ประการเสีย แต่ง ( วง ) กสิณขึ้นเถิด ก็โทษแห่งปฐวีกสิณมี
๔ เนื่องด้วย
ความปนกันแห่งดินสีเขียว ดินสีเหลือง ดินสีแดง และดินสีขาว ( มหาฎีกาว่า ปนกันโดยนำดินต่างสีมาปะติด
กันเข้ากลายเป็นดินหลายสีก็ดี ปนกันโดยนำดินต่างสีมาคลุกขยำเข้ากันกลายเป็นดินสีอะไรไปอีกก็ดี
) เพราะเหตุนั้น
พระโยคาวจรอย่าถือเอาดิน ( เหนียว ) อันมีสี ( เป็นโทษ ) มีสีเขียวเป็นอาทิ พึงแต่ง
( วง ) กสิณด้วยดิน
( เหนียว ) มีสี ( ผ่อง ) ดังสีอรุณ เช่นกับดินในท้องคงคา ( มหาฎีกาว่า ในสีหลทวีป
( ลังกา ) มีแม่น้ำสายหนึ่งชื่อ
โรวนคงคา ดินทางตลิ่งพังของแม่น้ำนั้นเป็นดินสี ( ผ่อง ) ดังสีอรุณ คำที่ว่านี้
หมายเอาดินในแม่น้ำนั้น หาใช่
แม่คงคาในชมพูทวีป ( อินเดีย ) ไม่ ) ก็แล ( วง ) กสิณนั้นไม่ควรแต่งในที่เป็นที่สัญจรไปมาแห่งอนุปสัมบันทั้งหลาย
มีสามเณรเป็นต้นในกลางวิหาร แต่ควรแต่งในที่มิดชิดทางท้ายวิหาร เป็นเงื้อมเขา
หรือบรรณศาลาก็ดี ทำเป็นชนิด
เคลื่อนที่ได้ก็ได้ เป็นชนิดตั้งอยู่กับที่ก็ได้
วิธีแต่งวงกสิณชนิดเคลื่อนที่ได้
- ใน ( วง ) กสิณ ๒ ชนิดนั้น ชนิดเคลื่อนที่ได้
พึงผูกท่อนผ้าเก่า หรือแผ่นหนัง หรือเสื่อลำแพนก็ได้ เข้าที่ไม้
( สะดึง ) ๔ อันแล้ว เอาดินที่เก็บรากหญ้า ก้อนกรวด และทราย ( หยาบ ) ออกแล้ว
ขยำดีแล้วมาฉาบแต่งให้เป็น
แผ่นกลมได้ขนาดดังกล่าวมาแล้ว ลงในท่อนผ้าเก่าหรือแผ่นหนัง หรือเสื่อลำแพนที่ตรึงไว้นั้น
( วง ) กสิณชนิด
เคลื่อนที่ได้นั้น เวลาจะบริกรรม พึงวางราบลงที่พื้นแล้วจึง ( เพ่ง ) ดู
วิธีแต่งวงกสิณชนิดตั้งอยู่กับที่
- ( วง ) กสิณชนิดตั้งอยู่กับที่
พึงตอกหลักเข้าหลายๆ อันลงที่พื้นดินโดยอาการแห่งฝักบัว ( คือตอกให้ข้าง
ล่างสอบข้างบนผายโดยรอบ สัญฐานดังฝักบัว ) แล้วตรึง ( หลักเหล่านั้นให้ติดกัน
) ด้วยเถาวัลย์ แต่ง
( เป็นโครง ) ขึ้น ( การแต่งกสิณชนิดนี้เห็นจะต้องมีกัปปิยการกช่วยทำ เพราะมีการขุดดินและตัดเถาวัลย์
)
ผิว่าดิน ( ในที่ ) นั้นไม่พอ พึงใช้ของอื่นรองข้างล่างแล้ว จึงแต่งกสิณให้มีสัณฐานกลม
กว้างประมาณ ๑ คืบ
๔ นิ้ว ด้วยดินสีอรุณที่ชำระดีแล้วลงข้างบน อันที่จริงคำว่า " ขนาดเท่ากะโล่
หรือขนาดเท่าชามอ่าง " ( นั้น )
พระโบราณจารย์กล่าวหมายเอาประมาณ ( ๑ คืบ ๔ นิ้ว ) นี้นั่นเอง ส่วนคำว่า "
เป็นดินมีที่สุด มิใช่
( กว้างใหญ่จน ) ไม่มีที่สุด " เป็นต้น
- ท่านกล่าวไว้เพื่อตัดตอน ( ขนาด
) ปฐวีนิมิตนั้น เพราะเหตุนั้น พระโยคาวจรแต่งวงกสิณให้ได้กำหนดขนาด
ดังกล่าวนั้นแล้ว อย่าใช้เกรียงไม้เพราะมันทำให้เกิดสีที่แตกต่างกัน ( มหาฎีกาว่า
เพราะเกรียงไม้บางชนิด ที่มียาง
มาก จะทำให้ดินสีอรุณเปลี่ยนสีไปไม่สม่ำเสมอกันได้ ) ( คือสีที่เป็นโทษ ) พึงใช้เกรียงหินปาด
( ดิน ) ทำให้เรียบ
เช่นหน้ากลองแล้วกวาดสถานที่นั้นเสีย ( ให้เตียน ) ไปอายน้ำแล้วจึงมานั่งที่ตั่งอันตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว
มีเท้าสูง
ประมาณคืบ ๔ นิ้ว ซึ่งจัดไว้ตรงจุดที่มีระยะ ๒ ศอกคืบแต่วงกสิณ เพราะเมื่อนั่งไกลกว่านั้น
กสิณจะไม่ชัด ใกล้กว่า
นั้น กสิณโทษจะปรากฏ ( มหาฎีกาว่า รอยอะไรเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งนั่งห่างพอสมควรย่อมมองไม่เห็น
แต่ถ้านั่งใกล้เพ่ง
ดูเข้าจะเห็น เช่นรอยฝ่ามือ ซึ่งอาจหลงตาในเวลาแต่งกสิณ ) อนึ่ง ผู้นั่งสูงไป
จะต้องโน้มคอลงดู ( นานเข้าจะ
ปวดคอ ) นั่งต่ำไป ( จะต้องคุกเข่าขึ้นดู นานเข้า ) เข่าจะปวด เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรพึงนั่งตามนัยที่กล่าวนั้น
แล้ว
- เห็นโทษในกามทั้งหลาย โดยนัย (
พระบาลี ) ว่า กามทั้งหลายมีคุณน่ายินดีน้อย ดังนี้เป็นอาทิ ( จน ) เกิด
ความพอใจในฌาน อันเป็นเครื่องสลัดกามออกไป ยังปีติและปราโมชให้เกิด ด้วยระลึกถึงพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์
มีความเคารพเกิดขึ้นในข้อปฏิบัติ ด้วยคิดเห็นว่า " ปฏิทานี้ นั้นเป็นทางที่พระพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า
และพระอริยสาวก ทั้งปวงปฏิบัติกันมาแล้ว ( จน ) บัดนี้ " ปลูกความอุตสาหะขึ้นด้วยความหวังว่า
" เราจะต้องเป็นผู้
มีส่วนแห่งรสของปวิเวกสุข ด้วยข้อปฏิบัตินี้เป็นแน่แท้ " ดังนี้แล้วลืมตาดูโดยอาการพอดี
( เพ่งดู ) ถือเอานิมิต
ภาวนาไป เพราะผู้เหลือกตา ( ดู ) ตาจะเมื่อย และดวงกสิณจะปรากฏเกิน ( จริง )
ไปด้วย โดยวิธีนั้น นิมิต ( แท้ )
ก็จะไม่เกิดขึ้นแก่เธอ ผู้หรี่ตา ( ดู ) ดวงจะไม่ชัด ซ้ำจิตก็จะหดหู่ไปเสียด้วย
แม้โดยวิธีอย่างนี้ นิมิต ( แท้ ) ก็ไม่เกิด
( เหมือนกัน ) เพราะเหตุนั้น ต้องลืมตาโดยอาการพอดี ( เพ่งดู ) ถือเอานิมิตภาวนาไป
ดุจดูนิมิตแห่งหน้า ( ของตน )
ที่หน้าแว่น ฉะนั้น ไม่ต้องพิจารณาสี ไม่ต้องใส่ใจถึงลักษณะ ( แห่งปฐวีนิมิตนั้น
) * แต่ว่าจะทิ้งสีเสียก็ไม่ได้
พึงทำ
ให้มันเป็นสิ่งเสมอกันกับที่อาศัย ( ของมัน คือนึกเสียว่า สีนั้นเป็นอันเดียวกับดินซึ่งเป็นที่อาศัยของมัน
แยกกันไม่ออก )
- * มหาฎีกาว่า คนที่ดูเงาหน้าของตนในแว่นนั้นย่อมไม่เหลือกตา
ไม่หรี่ตา ไม่พิจารณาสีของแว่น ทั้งไม่ได้ใส่ใจ
ถึงลักษณะของแว่นด้วย แต่ใช้ตามองดูพอดี เห็นแต่เงาหน้าของตนเองเท่านั้น ฉันใด
พระโยคาวจรนี้ก็ฉันนั้น
เพ่งดูปฐวีกสิณด้วยอาการพอดี ขวนขวายแต่ถือจะเอานิมิตเท่านั้น ไม่พะวงถึงสีและลักษณะ
คำว่าลักษณะ
ท่านหมายเอาลักษณะของปฐวีธาตุ คือความแค่นแข็ง )
- ตั้งจิตไว้ในบัญญัติธรรม ( คือโลกโวหาร
) มนสิการไปโดยอุสทโวหาร ( คือ คำที่ขึ้นปาก พูดกันมาก ) บรรดาชื่อ
ของดินทั้งหลาย เช่น ปฐวี มหี เมทนี ภูมิ วสุธา วสุนฺธรา พระโยคาวจรชอบชื่อใด
ชื่อใดเป็นคำอนุกูลแก่สัญญา
( คือช่วยให้กำหนดจดจำง่าย ) สำหรับเธอ ก็พึงว่าชื่อนั้น ก็แต่ว่าชื่อคือ ปฐวี
นั่นแหละเด่น เพราะฉะนั้น พึงภาวนา
ว่า ปฐวี ปฐวี โดยเป็นชื่อเด่นอย่างเดียวเถิด พึงลืมตาดูพักหนึ่งแล้วหลับตานึกหน่วงดูพักหนึ่ง
( สลับกันไป )
อุคคหนิมิตยังไม่เกิดขึ้นเพียงใด พึงภาวนาโดยนัยนั้นแลเพียงนั้น แม้ ๑00 พัก
๑,000 พัก แม้ยิ่งกว่านั้นก็ดี เมื่อเธอ
ภาวนาไปอย่างนั้น ในขณะใดหลับตานึกหน่วงดู นิมิตมาสู่คลอง ( แห่งมโนทวาริกชวนะ
หมายถึง นิมิตนั้นเข้ามาสู่ใจ
เห็นนิมิตนั้นด้วยใจ ) ดุจในเวลาลืมตา ในขณะนั้นชื่อว่าอุคคหนิมิตเกิดแล้ว ตั้งแต่เวลาที่อุคคหนิมิตนั้นเกิดแล้วไป
ไม่พึงนั่งในที่นั้น พึงเข้าไปสู่ที่อยู่ของตนแล้วนั่งในที่อยู่ของตนนั้นภาวนา
( ต่อไป ) ( มหาฎีกาว่า ถ้าเมื่ออุคคหนิมิต
เกิดแล้ว ยังดูวงกสิณ ภาวนาอยู่อีก ปฏิภาคนิมิตก็ไม่เกิด แล้วนั่งอยู่ใกล้เช่นนั้นก็อดดูไม่ได้
ท่านจึงแนะให้ย้าย
ที่เสีย )
- อนึ่ง เพื่อแก้ความชักช้าด้วยการที่ต้องล้างเท้า ต้องการรองเท้าชั้นเดียวคู่
๑ และไม้เท้าอัน ๑ สำหรับเธอ เผื่อว่า
ถ้าสมาธิที่ยังอ่อน ( นั้น ) เสื่อมไปด้วยเหตุอันเป็นอสัปปายะอะไรๆ ก็ดี เธอจะได้สวมรองเท้าถือไม้เท้าไปที่
๑
( ที่วงกสิณตั้งอยู่ ) นั้น ถือเอานิมิต ๒
( ได้แล้วกลับ ) มานั่งตามสบาย ภาวนา ( สืบไป ) พึงนึกเหนี่ยว ( นิมิต
)
แล้วๆ เล่าๆ ทำให้เป็นตักกาหตะ ( นึกมาได้ ) วิตตักกาหตะ ( นึกมาให้เป็นต่างๆ
ได้ ) ๓ เมื่อเธอทำอยู่อย่างนั้น
นิวรณ์ทั้งหลายจะราบลง กิเลสทั้งหลายจะระงับลงได้โดยลำดับ ( ระงับลงชั่วขณะที่เจริญสมาธิอยู่เท่านั้น
พอออกจาก
สมาธิ นิวรณ์และกิเลสต่างๆ ก็กลับมาเหมือนเดิม ) จิตจะตั้งมั่นด้วยอุปจารสมาธิ
ปฏิภาคนิมิตจะเกิดขึ้น
ความต่างกันแห่งอุคคหนิมิตกับปฏิภาคนิมิต
- ( ต่อไป ) นี้ เป็นความต่างแห่งอุคคหนิมิตที่กล่าวมาก่อนและปฏิภาคนิมิตนี้
ในคำที่กล่าวมานั้น
- ในอุคคหนิมิต กสิณโทษยังปรากฏอยู่ ๔
( ส่วน ) ปฏิภาคนิมิตเป็นราวกะว่าทำลายอุคคหนิมิตออกมาปรากฏ
เป็นนิมิตที่บริสุทธิ์ดีกว่าอุคคหนิมิตนั้น ๑00 เท่า ๑,000 เท่า ดุจแผ่นแว่นที่นำออกจากถุง
๕ ดุจเปลือกสังข์ที่ขัดอย่าง
ดีแล้ว
- ๑. มหาฎีกาว่า ให้ใช้รองเท้าชั้นเดียว
เพื่อไม่ให้มีเสียงเมื่อเดิน ให้ใช้ไม้เท้าด้วยเพื่อป้องกันอันตราย
- ๒. เมื่อย้ายที่มาแล้ว
อุคคหนิมิตอาจเสื่อมไปเสีย จึงกลับไปเพ่งใหม่ จนอุคคหนิมิตเกิดอีกแล้วจึงกลับ
เมื่อ
กลับมาถึงที่ ควรจะได้เข้าที่นั่งเจริญนิมิตต่อไปโดยเร็ว ท่านจึงแนะนำให้สวมรองเท้าเดินไปมา
จะได้ไม่ต้องเสีย
เวลาล้างเท้า
- ๓. ตักกาหตะ นั้นคือ นิมิตที่ติดตาอย่างสนิท
หลับตานึกดูเป็นมาทันที ก็หมายถึงอุคคหนิมิตนั่นเอง ส่วน
วิตักกาหตะ วิเศษขึ้นไปอีก คือนึกให้นิมิตแปลกไปจากเดิม เช่นขยายใหญ่ขึ้น หรือย่อให้เล็กลงโดยไม่ผิดส่วนได้
ก็คือว่าเกิดปฏิภาคนิมิตนั่นเอง
- ๔. กสิณโทษ คือ รอยอะไรต่างๆ
เช่น รอยนิ้ว รอยฝ่ามือ
- ๕. หมายถึง แว่นเขาขัดดีแล้วเก็บไว้ในถุง
เมื่อจะใช้ นำออกจากถุงใหม่ๆ ใสสะอาดยิ่งนัก
- ดุจดวงจันทร์ออกจากกลุ่มพลาหก
ดุจฝูงนกยาง ( ขาว บินอยู่ ) หน้าเมฆ ( ดำ ) แต่ว่านิมิตนั้นหาได้เป็น
สิ่งที่มีสีสัณฐานไม่ เพราะถ้ามันเป็น ( สิ่งมีสีสัณฐาน ) เช่นนั้นไซร้ มันก็จะพึงเป็นสิ่งที่รู้ได้ทางจักษุ
เป็นของ
หยาบ ลูบคลำได้ เข้าลักษณะ ๓ ( ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ) ได้ แต่นี่ไม่เป็นเช่นนั้น
แท้จริง
มันเป็นสิ่งที่เกิดแต่สัญญา ( ในภาวนา ) เพียงเป็นอาการที่ปรากฏแก่ผู้ได้สมาธิเท่านั้น
เองแหละ*
ก็แลตั้งแต่เวลาที่ปฏิภาคนิมิตนั้นเกิดขึ้นแล้ว นิวรณ์ทั้งหลายก็เป็นอันถูกข่มราบไป
กิเลสทั้งหลายก็
ระงับเรียบไป ( ชั่วขณะที่เจริญสมาธิ ) จิตเป็นอันตั้งมั่นด้วยอุปจารสมาธิแท้แล
สมาธิ ๒ ต่างกัน
- ก็สมาธิมี ๒ คือ อุปจารสมาธิ ๑ อัปปนาสมาธิ ๑ จิตเป็นสมาธิด้วยอาการ
๒ ในอุปจารภูมิอย่าง ๑ ในปฏิลาภภูมิ
อย่าง ๑ ใน ๒ ภูมินั้น ในอุปจารภูมิ จิตเป็นสมาธิด้วยการละนิวรณ์ เป็นปฏิลาภภูมิ
จิตเป็นสมาธิด้วยความปรากฏ
แห่งองค์ ( ฌาน ) ส่วนข้อที่ทำให้ต่างกันแห่งสมาธิ ๒ อย่าง ( นั้น ) ดังนี้ ในอุปจาร
องค์ ( ฌาน ) ทั้งหลายยังไม่เกิด
กำลัง เพราะความที่องค์ ( ฌาน ) ทั้งหลายยังไม่เกิดกำลัง
( แม้ ) เมื่ออุปจารสมาธิเกิดขึ้นแล้ว จิตจึงถือเอานิมิตเป็น
อารมณ์ได้พักหนึ่ง ก็ตกสู่ภวังค์เสียพักหนึ่งๆ ( ยังขึ้นๆ ตกๆ ) เปรียบเหมือนเด็กอ่อนเขาพยุงขึ้นยืน
( ตั้งไข่ )
ก็ล้มร่ำไป ฉะนั้น
- *
นิมิต ที่เกิดในสมาธินั้นเป็นสิ่งที่เกิดจาก สัญญา เจตสิก คือความจำในขณะ เพ่งกสิณที่แต่งขึ้น
แล้วสัญญา
ก็จำมาเกิดเป็น อุคคหนิมิต ในใจ ในขณะหลับตา จนถึงเป็น ปฏิภาคนิมิต นิมิตเหล่านี้ไม่ใช่
สิ่งที่มีอยู่จริง
เป็นเพียงสิ่งที่ได้มาจากสัญญาเท่านั้น จึงไม่ควรไปหลงใหลสิ่งต่างๆ ในนิมิตของสมาธินั้น
ว่าเป็นของจริงของแท้
เพราะไม่ใช่ของจริง แต่เป็นเพียงผลพวงมาจากความจำเท่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้นำมาใช้ประโยชน์ในการทำสมาธิได้
เพราะสามารถทำให้จิตจดจ่ออยู่กับนิมิต ที่สัญญาสร้างขึ้น เพื่อให้จิตจดจ่อในนิมิตนั้นเพียงอารมณ์เดียว
จิตก็จะเกิด
เป็นสมาธิได้ ก็คือ เอกัคคตา เจตสิกก็จะมีกำลังขึ้นได้
- มีสมณพราหมณ์ พวกนอกพระพุทธศาสนาบางพวกเข้าใจว่า
นิมิตที่เห็นในสมาธินั้นเป็นสิ่งที่เป็นจริง และ
เข้าใจว่าฌานสมาธิที่เกิดขึ้นซึ่ง ข่มนิวรณ์ ข่มกิเลส ได้ชั่วขณะนี้ เป็น นิพพาน
เพราะกิเลสไม่เกิดในขณะอยู่ใน
สมาธิ และเข้าใจว่านิมิตที่เห็นในสมาธินี้เป็นนิพพาน เป็นอัตตา เพราะขยายให้เล็กให้ใหญ่ได้ตามใจชอบ
แท้จริงแล้วเป็นความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งสิ้น ซึ่งปรากฏใน พรหมชาลสูตร ใน
ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ๕
- ส่วนในอัปปนา องค์ ( ฌาน ) ทั้งหลายเกิดมีกำลังแล้ว
เพราะความที่องค์ ( ฌาน ) ทั้งหลายเกิดมีกำลังแล้ว
เมื่ออัปปนาสมาธิเกิดขึ้นแล้ว จิตตัดภวังค์วาระเดียวแล้วย่อมตั้งอยู่ คือเป็นไปตามทางกุศลชวนะ
( ฌานจิต )
โดยลำดับตลอดทั้งคืนทั้งวันทีเดียว เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีกำลังลุกขึ้นจากที่นั่งแล้ว
พึงยืนอยู่ทั้งวันก็ได้ฉะนั้นแล
- ในสมาธิ ๒ อย่างนั้น อันการทำปฏิภาคนิมิตที่เกิดขึ้นพร้อมกับอุปจารสมาธินั้นให้เกิดขึ้นได้เป็นการยากยิ่ง
เพราะฉะนั้น ถ้าพระโยคาวจรอาจทำนิมิตนั้นให้เจริญ ( จน ) บรรลุอัปปนา โดยบัลลังก์เดียวนั้นได้ไซร้
นั่นเป็นการดี
ถ้าไม่อาจไซร้ ดังนั้นเธอพึงเป็นผู้ไม่ประมาทรักษานิมิตนั้นไว้ ดังนางแก้วรักษาครรภ์อันเกิดแต่พระเจ้าจักรพรรดิ์
ฉะนั้นเถิด ด้วยเมื่อรักษานิมิตไว้ได้อย่างนี้ ความเสื่อมแห่งฌานที่ได้แล้วย่อมไม่มี
( แต่ ) เมื่อการรักษาไม่มี
ฌานที่ได้ๆ แล้วก็ย่อมเสื่อมไป
วิธีรักษานิมิต
- นี้เป็นวิธีรักษา ในการรักษานิมิตนั้น ( คือ )
- พระโยคาวจรพึงเว้น ๗ สิ่ง คืออาวาส ( ที่อยู่ ) โคจรคาม
การพูดคุย บุคคล โภชนะ ฤดู
อิริยาบถ เหล่านี้ที่เป็นอสัปปายะเสีย พึงเสพ ๗ สิ่ง ( นั้น ) ที่เป็นสัปปายะเถิด
ด้วยเมื่อ
พระโยคาวจรใดๆ ก็ดี ปฏิบัติได้อย่างนั้นอัปปนาย่อมจะ ( เกิด ) มีโดยกาลไม่นานเลยแล