การปฏิรูปการศึกษา
ครูและบุคลากรทางการศึกษาทำอะไร
ได้อะไรจากการปฏิรูปการศึกษา
ดร.สงบ ลักษณะ
รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
บทความนี้ขอทำหน้าที่เก็บสาระผลงานการประชุมปฏิบัติการเรื่องการปฏิรูปการศึกษาที่ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมเมื่อ
29 เมษายน 2544
และผลความคืบหน้าของการเตรียมการที่กระทรวงศึกษาธิการดำเนินงานร่วมกับสำนักงานปฏิรูปการศึกษา
มาเล่าสู่กันฟัง
ความอยากรู้ของผู้มีส่วนได้เสียกับการปฏิรูปการศึกษามีมาก
แต่ข่าวสารที่ปรากฎกลับมีน้อยไม่ได้ดังใจ
ผู้คนรู้แต่เพียงว่าจะมีการยุบรวม
กระทรวง ทบวง กรม
ตั้งเป็นกระทรวงใหม่
จะลดจำนวนกรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
มาเหลือ 5 กรมในชื่อของสำนักงาน 5
ชื่อ และมีหน่วยงานอิสระอีก 7
หน่วยงาน
และผู้คนรู้แต่เพียงว่าจะมีการออกพระราชบัญญัติ
23 ฉบับเพื่อให้มีผลบังคับใช้ 20
สิงหาคม 2545
รวมถึงจะมีการปรับเปลี่ยนอัตรากำลังจัดที่ทำงานของข้าราชการกันยกใหญ่
แต่ที่ผู้คนอยากรู้ คือ
เด็กและเยาวชนในวัยเรียนจะมีอะไรดีขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงนี้
ผู้ปกครองและประชาชนจะได้อะไร
ครูและบุคลากรทางการศึกษาเขาจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจอะไร
เขาจะต้องเริ่มทำตัวอย่างไร
และเขาจะมีสุขหรือทุกข์เพิ่มขึ้นอย่างไร
จากการปฏิรูปการศึกษา
สิ่งที่มีความเข้าใจขั้นต้นให้ตรงกัน
คือ
เป้าหมายสำคัญของการปฏิรูปการศึกษามุ่งไปที่ความปรารถนาให้เด็กและเยาวชนไทยทุกคนเป็นคนเก่ง
เป็นคนดี เป็นคนมีความสุข
เป็นกำลังของประเทศชาติในอนาคต
เราต้องการสร้างพวกเขาให้เป็นมนุษย์ปัญญา
มนุษย์คุณธรรม
และมนุษย์ที่ปรับตัวได้เก่งให้ก้าวทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลก
ผ่านทางการเรียนรู้ต่อเนื่องตลอดชีวิต
ความสำเร็จของเป้าหมายนี้
จำเป็นต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวงในปัจจัยองค์ประกอบต่าง
ๆ ให้เอื้อต่อการดำเนินงาน
ไปสู่ผลที่เด็กและเยาวชน เช่น
จำเป็นต้องยกเครื่องกันใหม่ในเรื่องระบบหลักสูตร
กระบวนการเรียนรู้
วิธีการทำงานของครู อาจารย์
ผู้บริหารการศึกษาและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงเรื่องการจัดทรัพยากร
การใช้เทคโนโลยี
และการบริหารจัดการ
กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่ง
ของการรับประกันและคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ทั้งโดยรัฐ
โดยหน่วยงานราชการ
และโดยบุคลากรรวมถึงประชาชนทุกฝ่าย
ให้เป็นไปอย่างเหมาะสมดีงาม
และมีความยั่งยืนในความต่อเนื่องเอาจริง
ท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวชัดเจนว่า
กฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ
ควรคิดทีหลัง
เราควรคิดตั้งต้นในผลลัพธ์ที่เราอยากได้ก่อน
ตามมาด้วยการช่วยกันคิดยุทธศาสตร์หรือแนวดำเนินงานหลัก
ที่จะเป็นวิถีทางนำไปสู่การบรรลุผลลัพธ์ได้ครบ
ตรง รวดเร็ว และประหยัด
หลังจากนั้นค่อยย้อนกลับมาดูกฎหมายหรือกฎระเบียบต่าง
ๆ ว่ามีสิ่งใดที่เอื้อประโยชน์
มีสิ่งใดที่เป็นอุปสรรค
และควรมีสิ่งใดเพิ่มเติม
ก็ดำเนินการด้านกฎหมายได้
นี่แสดงว่ากฎหมายทำหน้าที่เป็นเพียงเครื่องมือให้เกิดความสะดวกในการทำงานเท่านั้น
ไม่ใช่คิดกฎหมายก่อนเป็นคัมภีร์
แล้วค่อยมาคิดวิธีทำงานให้เข้ากับกฎหมาย
ปัญหาที่คาใจครู อาจารย์
ผู้บริหารการศึกษา
และบุคลากรทางการศึกษาต่าง ๆ
มีค่อนข้างมาก เช่น
ตำแหน่งหน้าที่ปัจจุบันจะ
เปลี่ยนไปอย่างไร
บทบาทหน้าที่ใหม่คืออะไร
ปัจจุบันเขาต้องเตรียมตัวอย่างไร
ปัญหาอุปสรรคของการทำงานในปัจจุบันจะได้รับการแก้ไข
อย่างไร
ผลการตอบแทนทั้งในด้านเงินและความเจริญเติบโตในสายงานจะเป็นอย่างไร
เป็นต้น
หัวใจสำคัญของความสำเร็จของการพัฒนามนุษย์ให้มีคุณสมบัติล้ำเลิศสมบูรณ์
อยู่ที่การส่งเสริมให้มีกระบวนการเรียนรู้ที่มี
ประสิทธิภาพสูงสุด
ครูจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการจัดการเรียนการสอน
บทบาทใหม่ของครูมีหลายประการ
เช่น
เปลี่ยนความคิดจาก
ครูเป็นผู้สอน (Teacher -Teaching) มาเป็น
ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ (Learner-Learning)
เรียนรู้จากการปฏิบัติจริงจากการทำโครงงาน
(Project based Learning)
เรียนรู้จากการทำกิจกรรมแสวงหาความรู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองอย่างสนุกสนาน
(Activity based Learning)
ครูต้องมีความสามารถในการออกแบบระบบการเรียนการสอนที่เน้นมาตรฐานผลการเรียนรู้
ทั้งมาตรฐานสากล (Global Literacy) เช่น
วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
ภาษาต่างประเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศ
มาตรฐานความรู้ความสามารถ
ในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นชาติไทย
วัฒนธรรม คุณธรรม
และมาตรฐานความรู้ความเข้าใจในเรื่องของท้องถิ่น
ระบบการเรียนการสอนจะครอบคลุมถึงการกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้
การกำหนดเนื้อหาสาระ
การกำหนดกิจกรรม
กระบวนการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ
การใช้สื่อการเรียนการสอน
การติดตามประเมินผลการเรียนรู้
ในแนวทางของ
การรับประกันผลการเรียนรู้ของผู้เรียนทุกคนเต็มศักยภาพ
ระบบตำแหน่งใหม่ของครู
และศึกษานิเทศก์ จะมี 4 ระดับ คือ
ระดับปฏิบัติการ ระดับชำนาญการ
ระดับเชี่ยวชาญ และระดับ
เชี่ยวชาญพิเศษ
ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา มี 4
ระดับเหมือนกัน แต่เรียกชื่อว่า
ระดับรองผู้อำนวยการ
ระดับผู้อำนวยการ ระดับผู้อำนวย
การชำนาญการ
และระดับผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ
อัตราเงินเดือนตั้งต้นของแต่ละระดับก็กำหนดให้มากทัดเทียมวิชาชีพสาขาอื่น
เพื่อจูงใจให้คนเก่งคนดีมาทำงาน
และเพื่อสงวนรักษาคนเก่งคนดีให้อยู่กับงาน
อุทิศตนกับงานจนลดความกังวลเรื่องฐานะเศรษฐกิจ
ในบรรดาตำแหน่ง 4
ระดับที่กล่าวถึงนั้น
ระดับแรกเงินเดือนตั้งต้นที่ 19,920
บาท ระดับที่สองตั้งต้นที่ 30,850 บาท
ระดับที่สามตั้งต้นที่ 38,030 บาท
และระดับที่สี่ตั้งต้นที่
55,290 บาท
นอกจากเงินเดือนแล้วครูและบุคลากรทางการศึกษา
ยังได้รับเงินตอบแทนในรูปของเงินวิทยฐานะ
หรือเงินประจำตำแหน่งด้วย
นอกจากนี้
ถ้าข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
มีผลงานดีเด่น
หรือผู้ที่ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ
เช่น ครูแห่งชาติ ฯลฯ
ก็จะได้รับเงินตอบแทนที่เรียกว่า
เงินวิทยพัฒน์ ด้วย
ครูหรือบุคลากรทางการศึกษา
ที่เดิมมีข้อจำกัดในการออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวในการทำวิจัยหรือพัฒนางานวิชาชีพ
จะได้รับประโยชน์
จากเงินกองทุนส่งเสริมและพัฒนาครู
คณาจารย์และผู้บริหาร
หลักการสำคัญของการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของครู
และบุคลากรทางการศึกษา คือ
1. ความเป็นมืออาชีพในการทำงาน
ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับความสามารถในการนำตนเองไปสู่การทำงานที่ได้มาตรฐาน
รับผิดชอบต่อผลที่จะเกิดขึ้น
สามารถแสวงหา
คิดค้นวิธีการที่แหลมคมที่จะรับประกันความสำเร็จของการบรรลุผลที่
พึงปรารถนา
สามารถแก้ปัญหาปรับปรุงกระบวนการทำงานของตนอยู่ตลอดเวลา
2. การส่งเสริมคนเก่งคนดี
ระบบใหม่ของการบริหารจัดการด้านบุคคล
จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพในการแสวงหาคนเก่ง
คนดีเข้ามาทำงาน
พิทักษ์ปกป้องส่งเสริม
รักษาให้คนเก่งคนดีคงอยู่ในระบบงานมีกำลังใจมีความสุขในการทำงาน
ช่วยเหลือพัฒนาผู้ด้อยความสามารถให้มีความสามารถในการทำงาน
แต่ถ้าเหลือกำลังช่วยเหลือ
ก็ต้องมีวิธีกำจัด
ผู้ไม่พึงปรารถนาออกจากระบบได้
ในการประชุมปฏิบัติการครั้งที่แล้ว
ที่ประชุมเป็นห่วงว่าครูเก่งครูดียังมีจำนวนน้อย
ระบบใหม่จะต้องไปค้นหาครูเก่งครูดีให้พบ
ส่งเสริมให้เติบโต เช่น
ประเมินเข้าสู่ระดับตำแหน่งสูงขึ้นโดยไม่ต้องให้เขา
ต้องมาทำเอกสารผลงานวิชาการ
ให้ทุนสนับสนุนให้เขาเผยแพร่ขยายผลความเก่งความดี
สู่เพื่อนครูได้สะดวกยิ่งขึ้น
3.
การจัดเครื่องมีอเครื่องใช้อำนวยความสะดวกแก่ครู
การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่สนองความแตกต่างของผู้เรียน
ในด้านความสามารถ ความสนใจ
และความต้องการ
จำเป็นต้องใช้สื่อ
อุปกรณ์การเรียนรู้และเทคโนโลยีช่วยการเรียนที่
หลากหลาย
ในช่วงที่ผ่านมาครูต้องรับภาระและใช้เวลามากไปกับการสร้างสื่อช่วยการเรียนการสอนด้วยตนเอง
ทำให้มีเวลาน้อยลงในการปรับปรุงกิจกรรมการเรียนรู้
อีกทั้งการที่สถานศึกษามีสื่อ
อุปกรณ์ และเทคโนโลยี
อย่างสมบูรณ์แตกต่างกันมีผลทำให้มาตรฐานคุณภาพของการจัดการศึกษามีความแตกต่างกันระหว่างสถานศึกษาต่าง
ๆ
ดังนั้นถ้ารัฐรับภาระสร้างความเสมอภาคระหว่างสถานศึกษาในการมีความพร้อมในด้านเครื่องมือเครื่องใช้อำนวยความ
สะดวกแก่ครู
ก็จะเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความสำเร็จของคุณภาพการเรียนรู้ตามแนวปฏิรูปการศึกษาได้มากขึ้น
4. การสร้างวัฒนธรรมคุณภาพ
การบริหารจัดการทางการศึกษาในทุกระดับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานศึกษา
จำเป็นต้องสร้างวิสัยทัศน์
กระบวนการคิดตัดสินใจ
กระบวนการวางแผน
กระบวนการปฏิบัติงาน
และเจตคติค่านิยมกันใหม่
ให้เน้นไปที่การมองเป้าหมายความสำเร็จในผลลัพธ์ที่ทุกคนต้องการและเห็นพ้องต้องกัน
ร่วมกันคิดค้นวิธีการที่แหลมคม
ที่จะนำไปสู่ผล
พอใจกับการประเมินตรวจสอบผลการทำงาน
และรับผิดชอบต่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อผลที่ดีขึ้นอยู่เสมอ
ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับตรงกันว่า
การปฏิรูปการศึกษา
เป็นเรื่องของทุกคนทุกฝ่ายที่จะมีส่วนร่วม
เราอาจจะเริ่มจากการทบทวนบ่นถึงปัญหาอุปสรรคของการจัดการศึกษา
แต่เราจะต้องรีบคิดเสนอแนะทันทีว่าเราจะช่วยกันแก้ปัญหาอุปสรรคนั้น
ๆ ได้อย่างไร และเราคงไม่ต้อง
เน้นมากนักว่าครู
และบุคลากรทางการศึกษาจะได้อะไรจากการปฏิรูปการศึกษา
แต่จะไปเน้นว่าเด็กและเยาวชนควรได้อะไร
และเราจะช่วยให้อะไรและทำอะไร
เพื่อเด็กและเยาวชน ได้บ้าง
กลับสู่หน้าแรก
ที่ตั้ง แผนภูมิการบริหารงาน
คำขวัญโรงเรียน ที่ปรึกษาโรงเรียน
คณะครู ภูมิปัญญาท้องถิ่น
คณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กรรมการห้องเรียน ประชากรนักเรียน
โครงการที่สำคัญ ผลการจัดการศึกษา ภาพกิจกรรม